เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามี
แต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้
กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าว
แต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก
“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอคงจะอดตายจริง ๆ ก็คราวนี้ ซึ่งเธอยอมไม่ได้
“เอ๊ะ! มีไก่ด้วย!”
พอลองนึกถึงความทรงจำดูแล้ว ก็จำได้ว่าที่บ้านมีไก่ 6 ตัว ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้กินไข่ ซึ่งยุคนี้เป็นข้าวยากหมากแพง
ทุก ๆ บ้านจึงสามารถเลี้ยงไก่ 1 ตัว ต่อสมาชิก 2 คนในบ้าน แต่ไม่รู้ว่าทำไมไก่ที่บ้านจึงมีจำนวนเกินและไม่ถูกร้องเรียน
กัวเหม่ยอิงเข้าเล้าไก่ไปดูไข่ไก่ก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าจำไม่ผิดแม่ไก่พวกนี้ถูกเลี้ยงมาหลายปีแล้ว จึงออกไข่ให้วันละฟองหรือบางวันก็ไม่มีให้เก็บ แต่โชคดีที่วันนี้ไข่ในรังมีเกือบ ๆ สิบฟอง เธอจึงเก็บใส่ตะกร้าทั้งหมด
นอกจากไข่ไก่แล้ว กัวเหม่ยอิงยังเก็บแตงกวากับมะเขือเทศที่เหลือไม่กี่ลูกในสวนหลังบ้านด้วย วันนี้เธอจะทำผัดไข่ใส่แตงกวากับมะเขือเทศ
กัวเหม่ยอิงนำเครื่องปรุงที่เห็นในห้องออกมาใช้ เธอทำอาหารเป็นก็จริง แต่ถ้าไม่มีเครื่องปรุงต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่อร่อยอยู่ดี และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำมันที่มีอยู่เต็มไห ซึ่งเธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนซื้อมา แต่มันอยู่ในห้องของเธอก็แปลว่าเธอใช้ได้
“พี่สะใภ้ ให้ฉันทำเถอะค่ะ!”
“ตื่นแล้วก็ไปเตรียมตัว ฉันทำเสร็จหมดแล้ว” เธอส่ายหัวปฎิเสธ เหลือแค่รอแตงกวานิ่มก็เสร็จแล้ว
“พี่ตื่นนานหรือยังคะ” สะใภ้รองไม่ได้ออกไปเตรียมตัว แต่หล่อนเข้ามาช่วยเก็บอุปกรณ์ที่เธอยังไม่ได้ล้าง
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ก็สักพักแล้วแหละ” จะให้ตอบว่าเพิ่งจะตื่นก็ไม่ใช่
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาพวกนี้ไปล้างเองค่ะ พี่เตรียมข้าวให้ฉันเอาไปให้คุณแม่ก็พอ” หล่อนว่า
“อืม”
คล้อยหลังสะใภ้รองเดินออกไปไม่นานกัวเหม่ยอิงก็ยกหมอลงจากเตา ตักกับข้าวใส่ชามเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเอาไว้กินมื้อกลางวัน ส่วนที่เหลือกัวเหม่ยอิงแยกไว้เป็นสามชาม ชามแรกเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของสะใภ้รอง และชามสุดท้ายเป็นของแม่สามี
ส่วนหานเมิ่งลู่นั้นยังกินข้าวไม่ได้แต่กัวเหม่ยอิงก็เก็บน้ำต้มข้าวไว้ให้ลูกสาว เพราะน้ำนมของเธอไม่พอ หากจะไม่ให้กินน้ำต้มข้าวหล่อนก็แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้อง เอาไว้หากได้เข้าอำเภอกเธอจะไปหาซื้อนมผงให้ลูกสาว
กัวเหม่ยอิงตักข้าวใส่จานพร้อมกับถือเอาชามกับข้าวออกมานั่งกินบนโต๊ะในห้องโถง ที่เธอไม่รอกินพร้อมกับสะใภ้รองก็เพราะกลัวว่าจะทำตัวเผยพิรุธออกไป ยังไงสะใภ้รองกับกัวเหม่ยอิงก็แต่งเข้าบ้านสกุลหานมาอยู่ในบ้านเดียวกัน หากใครเปลี่ยนไปจะไม่แคลงใจบ้างเลยหรือ
ช่วงสาย สะใภ้รองก็แต่งตัวออกไปทำงานเก็บแต้มกับคนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนเธอก็อยู่บ้านดูแลแม่สามีกับลูกสาว ที่จริงแล้วคนในหมู่บ้านจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดเพราะยิ่งทำงานมาก แต้มแรงงานก็จะมากตาม
เพียงแต่สะใภ้รองได้รับการอนุญาตจากเลขาธิการ ให้ไปทำงานสายได้ โดยที่แต้มแรงงานจะได้เพียง 5 แต้มเท่านั้น ต่างจากแต่ก่อนที่ได้7-8 แต้ม ต่อวัน
พอร่างกายเริ่มจะดีขึ้นกัวเหม่ยอิงก็เริ่มจะเบื่อ ในตอนที่เป็นถิงถิงเธอต้องตื่นเช้าไปเรียนและนอนเกือบเช้าเพราะอ่านนิยาย แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ แม่สามีก็เดินไม่ได้ ลูกก็ยังเล็ก หากปล่อยไว้ด้วยกันก็คงจะไม่ดี
“เฮ้อออออ” กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ พลางใช้นิ้วจิ้มแก้มลูกสาวที่เพิ่งจะหลับไปด้วยความเบื่อหน่าย
ตกเย็นกัวเหม่ยอิงก็แทบจะกระโดดโลดเต้น เมื่อได้รับข่าวดีจากสะใภ้รองว่าคนในหมู่บ้านได้รับการหยุดงานสามวัน เพราะคณะกรรมการต้องเข้าไปประชุมในอำเภอ อีกส่วนก็ต้องเดินทางไปต่างมณฑลจึงไม่มีใครมาจ่ายแต้มค่าแรงงานให้ อันที่จริงก็เหลือคณะกรรมการไว้บ้างแต่จำนวนคนเยอะเกินไป จึงให้หยุดพักผ่อนกันดีกว่า
เพิ่งจะผ่านช่วงปีใหม่มาได้ไม่ถึงสามเดือน ธัญพืชที่เพิ่งเอาลงดินหลังปีใหม่ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะงอก การหยุดงานครั้งนี้จึงไม่เป็นปัญหามาก ถึงแม้จะไม่ได้แต้มงาน แต่คนในหมู่บ้านก็พากันไปแวะเวียนดูอยู่ตลอด เพราะถ้าเกิดธัญพืชเสียหายพวกเขาก็จะไม่ได้ส่วนแบ่ง
เพราะแบบนี้มื้อเย็นของพวกเธอจึงได้กินซุปไข่ที่เหลืออยู่ 3 ฟองจากเมื่อเช้า แต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปซื้อมาเพิ่มไว้ทำกินพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมากัวเหม่ยอิงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางมาหุงข้าวเช้า วันนี้เธอจะทำข้าวผัดไข่ และต้มโจ๊กให้เฉพาะแม่สามี เมื่อวานเธอก็ลืมไปว่าคนป่วยควรที่จะกินอาหารอ่อน ๆ เพราะที่นี่ก็กินตามมีตามเกิด สะใภ้รองจึงไม่ได้ทักเธอเรื่องอาหาร
ส่วนหานเมิ่งลู่ก็เป็นน้ำต้มข้าวที่ใช้ต้มโจ๊ก พรุ่งนี้คงต้องเข้าอำเภอไปหาซื้อนมผงสำหรับลูกสาววัยเดือนเศษ
วันนี้เธอจะออกไปหาของป่าตามที่เคยอ่านในนิยายที่เคยอ่านผ่านมา อย่างน้อยได้หน่อไม้มาสักหน่อก็ยังดี
“ฉันจะไปหาผักป่า ฝากเธอดูลูกให้ฉันด้วย” กัวเหม่ยอิงเอ่ยบอกกับสะใภ้รองที่ตื่นมาช่วยทำอาหารสำหรับพวกเธอ
อันที่จริงการเข้าป่านั้นไม่สามารถเข้าไปได้เพราะถือว่าเป็นการลุกล้ำพื้นที่ของรัฐบาล
แต่เพราะคนในหมู่บ้านต่างมีฐานะไม่ต่างกันนั้นก็คือยากจน คณะกรรมการของหมู่บ้านจึงพากันปิดหูปิดตา ไม่รับรู้เพราะบางทีพวกเขาก็ทำเช่นเดียวกัน และหลาย ๆ หมู่บ้านรอบข้างต่างก็รับรู้ แต่ไม่มีใครพูด
“พี่จะเข้าป่ากับพี่ใหญ่กัวหรือ” สะใภ้รองที่กำลังจุดเตาหันมาถามเธอที่กำลังเตรียมข้าว
“ฉันจะไปเอง” กัวเหม่ยอิงตอบ
พี่ใหญ่กัวที่ว่าก็คือพี่ชายคนโตของเธอ เขาเป็นคนที่เข้าป่าล่าสัตว์ทุกวัน แม้จะไม่ได้อะไรติดมือทุกวันแต่ก็ยังเข้าไปเพราะที่บ้านไม่มีอะไรจะกิน และบ่อยครั้งกัวเหม่ยอิงก็จะติดตามเข้าไปหาของป่ามาไว้กินที่บ้าน แต่หลังจากที่ตั้งท้องได้ห้าเดือน เธอก็หยุดเข้าไปหาของป่าเพราะถูกห้าม และถ้าพี่ใหญ่ได้เนื้อกลับมาก็จะเอามาให้เธอ แต่พวกเธอก็ไม่ได้กินมันเพราะมันถูกบ้านใหญ่สกุลหานแย่งไป
“พี่ควรจะให้พี่ใหญ่กัวไปด้วย” สะใภ้รองว่า
พี่สะใภ้ของหล่อนในยามนี้ก็เป็นแม่ม่ายแล้ว และอายุก็ยังไม่มากไป ยิ่งมีการศึกษาดีแล้วแต่งเข้าบ้านใหม่ยังได้ ไม่รู้ว่าหากเจออันธพาลพี่สะใภ้จะทำเช่นไร
“เดี๋ยวก็คงจะเจอกันแหละ” กัวเหม่ยอิงส่ายหน้า
ตะกร้าสานใบใหญ่ถูกสะพายขึ้นบนหลังของกัวเหม่ยอิงที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ข้างในยังมีน้ำและข้าวมื้อกลางวันหนึ่งห่อ
นอกจากนั้นกัวเหม่ยอิงยังสะพายย่ามที่ใส่มีดเอาไว้ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงจะเข้าป่าไปคนเดียงก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี
สั่งสะใภ้รอง 2-3 คำ กัวเหม่ยอิงก็ออกเดินทางโดยที่ฟ้ากำลังจะสาง เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ อีกทั้งหยุดงาน เธอยังไม่พร้อมที่สนทนากับใคร
กัวเหม่ยอิงมุ่งหน้าเข้าป่าที่คนในหมู่บ้านจะเข้าในตอนเช้ามืด ยิ่งใครไปก่อนผักป่าที่เกิดก็จะได้ก่อน ใครไปทีหลังก็ไม่ได้อะไร ซึ่งกัวเหม่ยอิงที่คิดว่าออกมาเช้าแล้ว ยังมาหลังคนในหมู่บ้านอีกนับสิบคน
“สะใภ้ใหญ่บ้านสามสกุลหานอาการดีแล้วหรือ”
เพราะฟ้าสางกัวเหม่ยอิงจึงหาที่นั่งพักก่อน และบริเวณที่นั่งพักก็มีคนในหมู่บ้านคนอื่นเดินผ่าน ไม่ก็มานั่งพักบริเวณนี้ และเธอนั่งได้ไม่ถึงนาทีก็มีคนเดินเข้ามาทัก
“?”
“ก็เห็นสะใภ้รองบอกว่าเธอป่วย” นางจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่ได้คำตอบที่อยากจะได้
“ฉันอาการดีขึ้นแล้วค่ะ”
กัวเหม่ยอิงรีบนึกความทรงจำของกัวเหม่ยอิงคนเก่า เพื่อให้จำได้ว่าคนในหมู่บ้านตรงหน้าคือใคร แม้จะจำไม่ได้หลายอย่างแต่พอนึกถึงแล้วเธอกลับจำมันได้
“มากับพี่ใหญ่กัวหรือ ฉันเห็นเขาล่าไก่ฟ้าได้ตั้งหลายตัว!” หล่อนกระซิบถามเธอด้วยความอิจฉา ไก่พวกนั้นถูกยิงไปแล้ว มันจึงไม่สามารถเลี้ยงต่อได้ พี่ใหญ่กัวได้ไก่ฟ้าไปหลายตัวหนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นของสะใภ้ใหญ่บ้านสามสกุลหาน หรือบางทีอาจมากกว่าหนึ่งตัวด้วยซ้ำ
กัวเหม่ยอิงไม่ได้ตอบคำถามของหล่อน แต่เธอกำลังนึกถึงพี่ชายคนโตของกัวเหม่ยอิง พี่ใหญ่กัวคนนี้เป็นคนที่รักน้องสาวและน้องชาย รักถึงขั้นยอมให้มารดาเอาเงินเก็บไว้แต่งภรรยาของเขาให้น้องสาวคนเล็กนำไปเรียน
และเขาก็เป็นคนมีฝีมือในการล่าสัตว์คนหนึ่งของหมู่บ้าน
พี่ใหญ่กัวจะเข้าป่าล่าสัตว์ในเวลาก่อนฟ้าสางและจะเข้าป่าอีกครั้งหลังเวลาเลิกงาน หรือหากว่างก็จะเข้าป่า
จะว่าไปแล้วถึงกัวเหม่ยอิงจะเรียนจบได้หลายปีแต่ทำไมบ้านกัวยังไม่มีเงิน ก็เพราะทุกคนห่วงลูกสาวคนเล็กของบ้านยังไงล่ะ เวลากัวเหม่ยอิงไปที่บ้านก็จะได้เงินกลับบ้านสามีไม่ใช้น้อย ๆ และกัวเหม่ยอิงไม่ได้ใช้สิ้นเปลือง เพียงแต่บ้านใหญ่สกุลหานเอาไป
“นี่ ๆ ฉันได้เห็ดป่ามาหลายชั่งเลย! สะใภ้ใหญ่พอจะพูดกับพี่ใหญ่กัวให้ฉันได้หรือไม่” สะใภ้รองสกุลจางที่เข้ามาทัก ถามกัวเหม่ยอิงที่กำลังจะเดินจากไป
‘เหอะ! เห็ดป่ากับไก่ฟ้า หล่อนฝันกลางวันหรือยังไง’
เสียงด้านหลังทำให้กัวเหม่ยอิงหันไปมอง เธอเห็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราว ๆ กับเธอเอ่ยค้านสะใภ้รองจาง ซึ่งมันเป็นคำที่กัวเหม่ยอิงถูกใจมาก
ยุคนี้เป็นยุคที่ขาดแคลนอาหาร และเนื้อสัตว์ไม่ต้องพูดถึง คงจะมีใครอยากแลกเนื้อสัตว์กับผักที่เก็บได้ทุกวันอยู่หรอก
“ฉันยังไม่เห็นพี่ใหญ่เลยค่ะ เอาไว้ถ้าเห็นก็จะถามให้ก็แล้วกัน” แม้อยากจะตอบว่าทำไมไม่ไปถามเองแต่เธอก็ยั้งมันเอาไว้ เธอไม่รู้ว่าสะใภ้รองจางมีญาติมากน้อยเพียงใด หากมีปัญหาด้วยเธอจะซวยเอาได้
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่