ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด!
ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที
ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง
กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่
ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้!
วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว
“เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นแล้ว
เซี่ยลู่หลินเอนตัวนอนแนบไปกับโต๊ะราวกับทั่วทั้งร่างไร้กระดูกไปเสียแล้ว ท่าทางกิริยาดูไม่สมกับเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเป็นอย่างดี “เขาน่ากลัวขนาดนั้น แค่เห็นไกล ๆ ข้ายังขาสั่นไม่หยุด แล้วไหนเลยจะกล้าไปพูดคุยด้วยอีก”
กู่ซิงอีพลันนึกถึงท่าทีฉุนเฉียวแต่สง่างามของคุณชายว่านในเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมาทันที เสี่ยวลู่กล่าวถูกแล้วจริง ๆ คนผู้นี้สายตาน่ากลัวยิ่งนัก ขนาดเขามิใช่ผู้ที่ถูกสายตาคมกล้านั้นมองมายังขนลุกไปทั่วกายด้วยความหวาดหวั่น
“หรือเจ้าลองหนีไปดีหรือไม่” กู่ซิงอีคิดแผนใหม่ได้ ดวงตาเป็นประกายยกยิ้มถามสหายรัก หากหนีไปก็จบเรื่องแล้ว
“อาอี!” เซี่ยลู่หลินตกใจสะดุ้งพรวดเด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรง “ข้าทำสิ่งใดเป็นบ้างนอกจากที่บิดาให้คนมาสอนสั่ง หากหนีไปเกรงว่าคงอดตายกับคนรักเป็นแน่!” สิ่งที่บิดาให้คนมาสอนก็ใช่ว่านางจะทำมันออกมาได้ดีเสียหน่อย นอกจากมีฐานะของคุณหนูรองตระกูลใหญ่ค้ำคอแล้วที่เหลือนางต่างก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใดเลยสักนิด กระทั่งเงินทองยังถูกผู้เป็นบิดาจำกัดให้ใช้ ขนาดค่าไถ่ตัวแม่นางฉีหย่ายังต้องรบกวนกู่ซิงอีเป็นคนออกให้ หากนางหนีไปแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองได้เล่า
“...” กู่ซิงอีไม่กล้ากล่าวว่าที่นางพูดล้วนจริงทั้งหมด และก็ไม่กล้าถามถึงคนรักของนางว่าอีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่เป็นเหมือนกันหรือเหตุใดถึงได้ไม่ลองวิธีนี้ดู แม้ทั้งคู่จะเป็นสหายคนสนิทแต่ก็ไม่ก้าวก่ายกันเกินไป “เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วโกหกว่าเราสองคนเป็นคู่รักกันดีหรือไม่?”
“...” ดวงตาของเซี่ยลู่หลินทอแสงเปล่งประกาย ขยับตัวไปด้านหน้า แต่แล้วก็ดูท้อแท้อีกครั้ง คราวนี้คล้ายว่าท้อแท้ถึงขีดสุดแล้วด้วย “ไม่ได้สิ หากเรื่องถึงหูบิดาข้าคนที่โดนเล่นงานก็จะเป็นเจ้าแทน”
กู่ซิงอีเม้มปากพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง เมื่อก่อนทั้งคู่แอบมาเล่นด้วยกันบ่อย ๆ นายท่านเซี่ยก็ให้คนมากีดกันออกจากกันเพราะกลัวบุตรสาวของตนจะถูกมองไม่ดี กลัวจะมาหลงรักตนเข้า แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็แอบมาเล่นด้วยกันอยู่ดี แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรือมีใจเสน่หาต่อกันอย่างที่นายท่านเซี่ยกังวล
ตัวเขาย่อมรู้ดีว่านายท่านเซี่ยแทบจะสามารถสั่งคนมาสังหารเขาทิ้งได้เลยด้วยซ้ำ และมีครั้งหนึ่งที่เขาโดนคนเดินตามตลอดทางหลังจากที่นัดพบกับเซี่ยลู่หลินเมื่อสองปีก่อน ดีที่ยามนั้นหนีรอดมาได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าคนที่ตามเขามามีส่วนเกี่ยวข้องกับนายท่านเซี่ยหรือไม่แต่กู่ซิงอีเชื่อไปเก้าส่วนแล้วว่านายท่านเซี่ยนั่นแหละเป็นคนจ้างมา ดังนั้นพอคิดมาถึงตรงนี้ก็ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก ตัวเขาพอมีเงินทองอยู่บ้างไม่ถึงขั้นยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ใช่คนมีอำนาจ ตนจะเอาอะไรไปสู้นายท่านเซี่ยได้กัน “เช่นนั้นก็ไปพบคุณชายว่านแล้วก็ก่อกวนให้เขาทนไม่ไหวเป็นอย่างไร”
“แต่คุณชายว่านน่ากลัวขนาดนั้น” เซี่ยลู่หลินเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นี่ต่างจากการไปขอให้อีกฝ่ายยกเลิกงานหมั้นตรงไหนกัน
“ไม่น่ากลัวหรอกน่า” กู่ซิงอีโกหก ตบไหล่คนตัวเล็กไปเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ ทั้งกล่าวปลอบนางและหว่านล้อมไปในตัวว่าหากนางยังกลัวอยู่อย่างนี้ในอนาคตคงต้องแต่งให้คุณชายว่านแน่นอน
ในตอนที่ได้ไปทำงานในตระกูลว่านเขาย่อมตระหนักถึงนิสัยบางส่วนของคุณชายว่านได้บ้างแล้ว แทบไม่อยากให้สหายแต่งงานไปกับคนเย็นชาเช่นนั้นเลย หากใครได้ตบแต่งไปคงไม่มีความสุขเท่าไรนัก พอคิดถึงภรรยาในอนาคตของคุณชายว่านขึ้นมา กู่ซิงอีก็ทอดถอนใจ เสียใจกับคนผู้นั้นอยู่หลายครา
เซี่ยลู่หลินพอได้ฟังก็ทำใจอยู่นานถึงยอมตกลงในที่สุด แต่ก็ขอร้องให้กู่ซิงอีไปด้วยกัน
ทั้งคู่จึงเตรียมของไปเยี่ยมอีกฝ่ายในวันนั้นทันที เป็นขนมฝีมือของเซี่ยลู่หลินที่มีฤทธิ์ขั้นสูงยิ่งกว่ายาพิษ!
วันนี้เองก็เป็นวันที่ว่านฟู่เฉิงต้องมาที่ร้านว่านกลางตลาดพอดี
ด้วยความที่เซี่ยลู่หลินมีฐานะเป็นว่าที่คู่หมั้นดังนั้นการผ่านเข้าไปด้านในจึงเป็นเรื่องง่ายดาย
ส่วนกู่ซิงอีก็ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ถือตะกร้าสานสองชั้นอยู่ด้านหลังตามสหายของตนมาติด ๆ เขาทำผมแบบใหม่แถมวาดหน้าวาดตาให้ดูมีอายุ ฝีมือการแปลงโฉมที่ชวนตกตะลึงเช่นนี้เซี่ยลู่หลินเห็นคราแรกยังเอ่ยชม ดังนั้นไม่มีทางถูกจับได้!
เซี่ยลู่หลินพอมาถึงก็ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยท่าทางอ่อนช้อย “คุณชายว่าน ข้า...”
“คุณหนูรองเซี่ยไม่ต้องมากพิธี” ว่านฟู่เฉิงยังคงกล่าวเนิบช้าตามนิสัยเดิมที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม แต่หัวคิ้วกลับไม่มุ่นเข้าหากันเหมือนอย่างเคย “เชิญนั่งเถิด”
กู่ซิงอีได้เห็นถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าคุณชายว่านก็ทำสีหน้าแบบอื่นเป็นกับเขาด้วย ก่อนจะเดินพาตะกร้าขนมไปยื่นให้หลี่เซียว ยามที่เดินไปใกล้สองนายบ่าวเขาก็พยายามก้มหน้าลงต่ำและทำหลังค่อมอยู่ตลอดเวลา
เซี่ยลู่หลินที่ผสานมือไว้อยู่ตรงเอวก็กำมือแน่นขึ้นด้วยความประหม่า มุมปากที่ยกยิ้มกระตุกเล็กน้อย กลัวแผนการของตนจะถูกจับได้ ทว่าพอได้นั่งลงและได้เห็นว่าคุณชายว่านไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ได้มองเห็นจากที่ไกล ๆ ก็สงบใจลงไปได้บ้าง กล่าวตามที่ได้นัดแนะกับสหายของตนว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นแล้วแต่เราทั้งคู่ไม่เคยได้รู้จักกันเลย ข้าจึงเสียมารยาทมาพบท่านด้วยตนเอง หวังว่าคุณชายว่านจะไม่ขุ่นเคือง”
ความจริงการมาพบว่านฟู่เฉิงก่อนทั้งที่ตนเองเป็นสตรีเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก แต่นี่ก็เป็นแผนการของพวกนางอยู่แล้วที่ต้องการดูแย่ในสายตาของคุณชายว่าน และอีกฝ่ายก็ช่างน่าแปลกนักที่มาขอนางหมั้นหมายแต่ก็ไม่เคยมาพบกันสักครั้ง ทว่านางก็มิได้ถือสาเพราะที่ผ่านมานางเองก็ไม่ได้อยากเจอเขาอยู่แล้ว ที่มาเจอครั้งนี้ก็แค่มาทำให้เขาไม่ชอบตัวเองก็เท่านั้น เซี่ยลู่หลินยังกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าทำขนมมาฝากคุณชายว่านด้วย หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจ”
“ลำบากเจ้าแล้ว” ว่านฟู่เฉิงกล่าวเสียงเบามองขนมที่คนสนิทวางลงที่โต๊ะให้
“...” เซี่ยลู่หลินจงใจยกยิ้มบางเบาเพื่อทำให้ดูนุ่มนวลกว่ายามปกติ แต่ดวงตาก็หยุดมองขนมบนโต๊ะนิ่งงัน
จังหวะนั้นกู่ซิงอีก็หันไปรับถาดใส่กาน้ำชามาจากบ่าวรับใช้ของร้านว่านพอดี ครั้นบ่าวคนนั้นพอส่งของเสร็จก็จากไป ในห้องทำงานของว่านฟู่เฉิงจึงเหลือคนเพียงสี่คนเท่าเดิม
ตัวเขาพอรับกาน้ำชามาแล้วก็นำมารินส่งให้เซี่ยลู่หลิน การกระทำช่างแยบยลคล้ายตนเองเป็นบ่าวมาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้เขาแสดงได้ค่อนข้างดี ไม่ดูเงอะงะเหมือนตอนที่ช่วยดูแลคุณชายว่านเลยสักนิด อาจเป็นเพราะสนิทใจกับสหายอยู่แล้วด้วยจึงทำทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในตอนที่กำลังส่งจอกชาให้คนที่นั่งอยู่เขาก็มองขนมในจานบนโต๊ะทำงานของคุณชายว่านเหมือนกัน
ดังนั้นสองคนนี้ คนหนึ่งส่งจอกชาโดยไม่มองเจ้านาย อีกคนก็รับจอกชาโดยไม่มองบ่าวของตน ต่างมองไปทางโต๊ะทำงานของคุณชายว่านเป็นตาเดียว
ว่านฟู่เฉิงหยิบขนมในจานขึ้นมากัดไปหนึ่งคำเล็กแล้วกินเข้าไปโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด หน้าตาก็ยังดูปกติดี ไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดแปลกออกมา
กู่ซิงอีที่ยืนติดอยู่กับเซี่ยลู่หลินก็โดนคนที่นั่งอยู่หยิกเข้าที่แขนเบา ๆ เขารีบเอาแขนหลบ สองตาเขาเองก็เห็นเหมือนกันว่าคุณชายว่านกินเข้าไปแล้วแต่กลับยังรักษาหน้าตาไว้ได้ปกติไม่เหมือนคนอื่นที่เคยได้ลิ้มรสฝีมือนางมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด
...หรือฝีมือสหายของเขาจะพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วนะ ตอนทำเสร็จก่อนออกมาเมื่อครู่ก็ไม่มีใครกล้าลองชิมสักคน ขนาดโยนให้นกแถวนั้นกินนกยังไม่ชายตาแลบินลงมาเลย
ครั้นพอในห้องเงียบเกินไป กู่ซิงอีจึงเอาหลังมือเคาะไปที่หัวไหล่เซี่ยลู่หลินเพื่อส่งสัญญาณ
“คุณชายว่าน ไม่ทราบว่าคุณชายว่านมีขนมที่ชอบทานหรือไม่” เซี่ยลู่หลินในตอนนี้ท่าทางอ่อนหวานไม่เหมือนยามที่อยู่กับกู่ซิงอีสักนิด ราวกับเป็นคนละคน ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่