ตั้งแต่วันที่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ไพลินก็ถูกอุปการะจากเพื่อนสนิทของพ่อ ไพลินกลายมาเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลดัง แต่ชีวิตของเธอมันไม่ได้สุขสบายอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด เมื่อคุณหญิงของบ้านกลั่นแกล้งเธอสารพัดเพราะคิดว่าเธอเป็นลูกเมียน้อยของสามีตัวเอง แล้วยังเป่าหูลูกสาวลูกชายให้เกลียดเธอ มิหนำซ้ำคุณท่านที่เป็นพ่อบุญธรรมของไพลินยังมาเสียชีวิตจากไปโดยไม่มีวันกลับ ทำให้ชีวิตของสาวน้อยไร้ที่พึ่ง กลายเป็นนางบำเรอลับๆ ของลูกชายเจ้าของบ้าน
View More#มหาวิทยาลัยชื่อดัง
กริ๊งงงง~
ทันทีที่ได้ยินเสียงหมดเวลาสอนบรรดานักศึกษาก็พากันทยอยออกมาจากห้องเรียน เช่นเดียวกับกลุ่มของไพลินที่กำลังเดินพูดคุยกันออกมาจากห้องอย่างอารมณ์ดี
“ตกลงคืนนี้เอาไง?”
เสียงของศรันย์หนุ่มหล่อพ่อรวยลูกชายคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่เอ่ยถามเพื่อนรักทั้งสองคน โดยที่ทั้งสองคนนั้นมีสถานะทางสังคมต่างกันราวฟ้ากับเหว มาริสาเป็นคุณหนูบ้านรวย ส่วนไพลินนั้นเปรียบเสมือนกาฝากของตระกูลดัง
“ฉันยังบอกไม่ได้อะ แต่ถ้าไปได้จะโทรบอกอีกที”
มาริสาพูดออกมาด้วยท่าทางเสียดายที่คืนนี้อาจจะอดไปดูเพื่อนรักอย่างไพลินร้องเพลง เพราะเธอเองต้องไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อคุณแม่
“งั้นแสดงว่าเราไปกันสองคนน่ะสิ” ศรันย์พูดออกมาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบคอไพลินด้วยท่าทางทะเล้น
“ฉันต้องไปอยู่แล้วป่ะ” ไพลินพูดออกไปด้วยท่าทางนิ่งๆ เพราะเธอเป็นนักร้องที่ร้านดัง ไม่ไปได้ไงหล่ะ
“ถ้าอย่างงั้นฉันกลับก่อนนะ ไว้จะโทรหาอีกที” มาริสาบอกเพื่อนก่อนที่จะเดินแยกออกไป
“เอาไงต่อ กลับเลยป่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อืม” ไพลินตอบกลับไปอย่างขัดไม่ได้ ถึงเธอจะบอกว่าไม่ให้ไปส่ง ศรันย์ก็ดึงดันจะไปส่งอยู่ดี
..
#คฤหาสน์กิตติคุณ
ใช่เวลาไม่นานรถยนต์คันหรูก็จอดเทียบที่รั้วหน้าบ้านหลังใหญ่เหมือนที่เคยทำประจำ
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกทำตัวเหมือนโจรมาแอบขโมยของแล้วให้ฉันเข้าไปส่งเธอถึงในบ้านสักที”
ศรันย์หันไปถามไพลินด้วยท่าทางไม่พอใจ เพราะเธอเอาแต่บังคับให้เขาจอดให้เธอลงที่รั้วหน้าบ้านทุกครั้งที่มาส่ง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้จักกับเจ้าของบ้านเหมือนกัน
“นายก็รู้หนิว่าคุณหญิงกับคุณหนูไม่ชอบขี้หน้าฉัน ถ้าขืนฉันให้นายเข้าไปส่งมีหวังโดนไล่ออกจากบ้านวันนี้แน่ๆ”
ไพลินพูดออกไปตามความจริง เธอมันก็แค่ผู้อาศัย จะโดนเฉดหัวทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น แต่ในระหว่างที่เธอยังไม่ได้โดนเฉดหัวทิ้ง เธอก็ขอเก็บเงินสักก้อนก่อน เผื่อวันไหนโชคร้ายได้โดนไล่ออกจากบ้านหลังนี้จริงๆ เธอจะได้ตั้งหลักได้
“เฮ้อ... รู้แล้วน่า เอาเป็นว่าถ้าเธอโดนไล่ออกจากบ้านเมื่อไหร่ ก็โทรหาฉันเป็นคนแรกก็แล้วกัน”
ศรันย์พูดตัดบทไปให้จบๆ เพราะยังไงไพลินก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไปส่งข้างในบ้านอยู่ดี
“โอเค ขอบใจนะที่มาส่ง”
“ถ้าจะไปที่ผับก็โทรมาล่ะกัน”
“โอเค”
ไพลินไม่ปฏิเสธที่จะให้ศรันย์มารับ เธอรู้ดีว่ายังไงศรันย์ก็ไม่ยอมให้เธอนั่งแท็กซี่ไปคนเดียวแน่ๆ โดยศรันย์ให้เหตุผลว่าผู้หญิงนั่งแท็กซี่ตอนกลางคืนคนเดียวมันอันตราย แล้วยังบอกอีกว่าถ้าเขาไม่มารับเธอเขาก็ออกไปเที่ยวอยู่ดี เสียเวลามารับนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป
‘เพื่อนนี่ก็หัวดื้อจริงๆ’ ไพลินยืนมองรถของศรันย์แล่นออกไปจนสุดสายตาก่อน เธอค่อยหันหลังกลับเข้าบ้าน ขณะที่ไพลินจะเปิดประตูบ้านเสียงแตรรถก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“เปิดประตูสิยะ มัวแต่ยืนมองอยู่ทำไมล่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากในรถ คุณหญิงวรมลมองกาฝากของบ้านด้วยสายตาชิงชัง แล้วยังหันไปพูดกับลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก
“ดูมันสิ ทำยังกับบ้านตัวเอง แล้วมีผู้ชายมาส่งถึงหน้าบ้านอีก แม่ว่ามันต้องท้องก่อนเรียนจบแน่ๆ”
คุณหญิงวรมลพูดออกไปโดยไม่ทันมองหน้าของลูกสาวที่นั่งกัดฟันอยู่ข้างๆ ด้วยความอิจฉาริษยา วนิดาดูแค่รถก็รู้แล้วว่ารถคันนี้เป็นรถของศรันย์ คนที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ศรันย์กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
ไพลินรีบไปเปิดประตูรั้วบานใหญ่หน้าบ้านอย่างลำบาก เพราะมันทั้งใหญ่และหนัก พอเปิดได้แล้วเธอก็ยืนรอให้รถของเจ้าของบ้านแล่นผ่านเข้าไป
แต่พอกำลังจะปิดประตู รถอีกคันก็แล่นเข้ามาพอดี เจ้าของรถมองคนที่เปิดประตูด้วยสายตาสงสัย ไม่รู้ว่าเธอจะมาเปิดประตูทำไม มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอเลยสักหน่อย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามอะไรเขาขับรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถแล้วยืนมองคนตัวเล็ก ซึ่งเธอกำลังพยายามปิดรั้วบ้านด้วยท่าทางนิ่งๆ
หลังจากปิดประตูบ้านเสร็จไพลินก็เดินอ้อมมาด้านหลัง ที่เป็นทางเข้าไปยังห้องพักของเธอ ตั้งแต่คุณท่านเสียไป ไพลินก็ถูกไล่ไปอยู่ห้องพักคนงาน เวลาที่เธอเข้าประตูหน้าบ้านเธอก็จะโดนคุณหญิงเจ้าของบ้านดุด่าสารพัด บางครั้งเธอก็แอบน้อยใจจนอยากจะออกไปให้พ้นจากที่นี่ ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของใคร
- สองวันต่อมา -@บ้านกิตติคุณเวลา 10.00 น.หลังจากที่วรานนท์ได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหญิงวรมลต่างให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารต้อนรับลูกชายกลับบ้าน มีทั้งอาหารคาวหวานต่างๆ มากมายหลายเมนู พร้อมกับจัดเตรียมห้องไว้สำหรับไพลินกับวรานนท์หลังจากที่เรื่องไม่ดีต่างๆ ผ่านไปก็ย่อมมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่า... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ... ชีวิตของไพลินก็เช่นกันบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารต่างๆ หลากหลายเมนูให้เลือกทานที่ถูกจัดแต่งไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม ที่โต๊ะอาหารกลับมีคนนั่งอยู่แค่เพียงสี่คน แต่กลับทำอาหารเยอะแยะมากมายราวกับทำเอาไว้เลี้ยงคนทั้งซอยไพลินนั่งมองอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงวรมลและวนิดา ครั้งก่อนเธอยังได้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้อยู่เลย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้...ไพลินยังคงตื่นเต้นอยู่ภายในใจไม่หาย“ทานเยอะๆ นะตานนท์... ไพลินก็ด้วยนะ” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างห่วงใย ก่อนที่จะหันไปบอกไพลินด้วยความเป็นห่วงหลานที่อยู่ในท้องของเธอ“ค่ะ... คุณหญิง” ไพลินพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม“คุณหญิงอะไรหล่ะ เรียกคุณแม่แบบตา
- สองเดือนต่อมา -ไพลินนั่งมองวรานนท์อย่างอ่อนใจ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธออยู่ดูแลวรานนท์แทบจะตลอดเวลา ใช้ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะอาบน้ำ เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นบ้านของเธอกับวรานนท์อีกหลังเลยก็ว่าได้ไพลินไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าวรานนท์จะตื่นมาไม่เจอเธอ ในทุกๆ วันจะมีคุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจและดูแลวรานนท์อยู่ตลอด ไพลินก็จะจัดดอกไม้ภายในห้องให้ดูสดใสและสวยงามอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าดอกไม้จะทำให้วรานนท์สดชื่นและจะได้รีบฟื้นขึ้นมาหาเธอกับลูกในเร็วๆส่วนคุณหญิงวรมลกับวนิดาก็วิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องงาน เพราะตั้งแต่ที่วรานนท์เกิดอุบัติเหตุ หุ้นในบริษัทก็ลดลง จนคุณหญิงกับวนิดาต้องเข้าไปช่วยกันบริหารต่อจากวรานนท์ ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาลไพลินอาสาที่จะดูแลวรานนท์ให้ ในตอนแรกคุณหญิงไม่ยอมเพราะเป็นห่วงหลานคนแรกทีี่อยู่ในท้องของไพลิน แต่ไพลินก็ดื้อไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะเป็นคนดูแลวรานนท์ คุณหญิงวรมลจึงจำยอมอย่างขัดไม่ได้ แต่คุณหญิงกับวนิดาก็เข้ามาหาไพลินกับวรานนท์ที่โรงพยาบาลทุกวัน“ลินอยากให้พี่นนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ จัง อีกไม่กี
“สวัสดี... ไพลิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักทายไพลินขึ้นมา“อะ เอ่อ... สวัสดีค่ะ”ไพลินตกใจเมื่อได้ยินเสียงและเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือคุณหญิงวรมลกับวนิดานั่นเอง“ทำไมเธอถึง...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน“ลินไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คุณชาญรู้นะคะ... ลินจะไม่กลับไปหาคุณนนท์อีก ลินสัญญาค่ะ แต่...” ไพลินรีบพูดสวนขึ้นมาทันที เพราะกลัวคุณหญิงวรมลจะเข้าใจผิด ก่อนที่เธอจะเว้นระยะของคำพูดไว้“ลินอยากรู้แค่ว่า... ตอนนี้คุณนนท์เป็นยังไงบ้างคะ” ไพลินก้มหน้าก้มตาพูดออกมาด้วยความกลัวคุณหญิง“ตานนท์จะเป็นหนักกว่านี้ก็เพราะเธอนั้นแหละ!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับมองหน้าของไพลินด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด“คุณแม่คะ...” วนิดารีบพูดขึ้นเพื่อเตือนให้คนเป็นแม่ใจเย็นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ แต่คุณหญิงก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย“ลินขอโทษนะคะ” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิด“ขอโทษเหรอ... ขอโทษแล้ว
หลังจากที่ชาญวิทย์นั่งคุยเรื่องแผนการที่จะทำให้ไพลินกลับมา กับวนิดาและคุณหญิงวรมลอย่างเข้าใจกันในทุกฝ่ายแล้ว ชาญวิทย์จึงขอตัวกลับก่อน ถึงแม้คุณหญิงวรมลกับวนิดาจะยังไม่อยากให้กลับและขอร้องให้เขาอยู่จนไพลินโทรกลับมาก็ตาม ชาญวิทย์จึงจำเป็นต้องโกหกว่าต้องเข้าไปทำงานที่บริษัท คุณหญิงวรมลจึงให้เขากลับก่อน ได้เรื่องยังไงให้รีบโทรมาบอกวนิดากับคุณหญิงวรมลทันที...ชาญวิทย์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของชาญวิทย์ก็ดังขึ้น...สายตาคมมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจ มือหนารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อจะได้ดูว่าใครที่โทรมา และชาญวิทย์ก็รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นไพลินโทรมา“ครับน้องลิน” ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบพูดทักทายขึ้นมาทันที(พี่นนท์เป็นยังไงบ้างคะ?) ไพลินเองก็รีบถามออกมาทันทีด้วยความเป็นห่วงคนรัก“เอ่อ... คือว่า...” ชาญวิทย์พูดออกมาตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับไพลิน(คืออะไรคะ... พี่นนท์เป็นอะไร?) ไพลินคิดไปไกลกับท่าทางและคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนักของชาญวิทย์ จึงรีบถามขึ้นมาทันที“น้องลินว่างมั้ยครับ... ออกมาเจอพี่ที่ร้านกาแฟxxxหน่อยได้มั้ย พี่จะบอกอาการของไอ้นนท์ให้น้องลินฟ
@โรงพยาบาลxxx“คิดอะไรอยู่เหรอยัยดา?” คุณหญิงวรมลเอ่ยถามวนิดาออกมาด้วยความสงสัย เพราะเห็นวนิดาเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่สนใจอะไรอยู่สักพักแล้ว“คะคุณแม่...” วนิดาถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงวรมลพูดขึ้น แต่ด้วยใจที่เหม่อลอยจึงทำให้เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณหญิงวรมลพูดออกมาสักเท่าไหร่ เธอจึงถามออกไปทันทีที่มีสติขึ้นมา“แม่ถามว่าเป็นอะไร... คิดอะไรอยู่ถึงได้นั่งเหม่อขนาดนี้” คุณหญิงวรมลจึงถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง“คือ... ดากำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหนได้บ้าง” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่คิดหนัก เพราะเธอไม่รู้ว่าไพลินจะไปอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับใคร นอกจากบ้านของเธอกับคอนโดของวรานนท์แล้วไพลินก็ไม่เคยไปอยู่ที่ไหนกับใครเลยสักครั้ง“จริงด้วยสิ...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาวรานนท์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง“แม่จะทำยังไงดีตานนท์...” คุณหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของวรานนท์เอาไว้ด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหน..ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“สวัสดีครับ...”ทันทีที่เสียงเคาะประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชาญวิทย์ดังขึ้
- วันต่อมา -“เป็นยังไงบ้างยัยดา?”คุณหญิงวรมลเอ่ยถามลูกสาวออกมาเสียงเรียบ ทันทีที่เดินเข้ามายังห้องที่วรานนท์พักฟื้นอยู่“อาการก็ยังเหมือนเดิมค่ะคุณแม่” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่อยากให้คุณหญิงวรมลต้องเป็นห่วง“ถ้าตานนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็คงจะดี...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเศร้า“คุณแม่คะ... ดามีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง“เรื่องอะไร?” คุณหญิงวรมลถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาว“เรื่อง... ลินค่ะ” วนิดาพูดออกมาเสียงเรียบ“ดา... แม่ว่าเราอย่า...” คุณหญิงวรมลที่กำลังจะห้ามลูกสาวไม่ให้พูดถึงไพลิน แต่คุณหญิงพูดยังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดสวนขึ้นมาทันที“คุณแม่ไม่อยากช่วยให้พี่นนท์ฟื้นเหรอคะ” วนิดาพูดออกมาด้วยความอยากรู้คุณหญิงวรมลนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าวนิดากำลังคิดจะทำอะไร“คุณแม่ลองคิดดูดีๆ นะคะ ที่พี่นนท์ต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ“ก็เพราะนังลินไง!! ตานนท์ถึงต้องเป็นแบบนี้!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง“คุณแม่คะ…” วนิดามองหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจคุณหญิง
Comments