หลังจากทำการผูกพันธะสำเร็จเเล้ว หนิงอ้ายสามารถทำการสื่อสารกับกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ได้เช่นเดียวกับที่พูดคุยกับเจียวซิ่น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงมิติที่มีความพิศดารลึกล้ำ อันเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดใดใดทั้งสิ้น
ทว่าในความเข้าใจและไม่เข้าใจในความลึกลับของพื้นที่ในมิติลึกลับว่างเปล่า ได้เกิดเป็นความปั่นป่วนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก่อนที่จะสงบหยุดนิ่ง เมื่อจิตสำนึกของหนิงอ้ายค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น แสงสีขาวได้ปรากฎขึ้นสว่างจ้าก่อเกิดเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายความไม่ธรรดาอย่างปิดไม่มิด
"ข้าหวังหนิงอ้าย คำนับผู้อาวุโสขอรับ!!"
ทันทีที่เขาพูดจบตัวกระบี่ได้เกิดประกายเเสงและสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบเงียบไปราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดสิ่งใด แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีเสียงตอบกลับเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวกระบี่มีการตอบสนองนั้นราวกับว่ารับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายเอ่ยคุยสิ่งใดเเต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
'เจ้าชื่อหวังหนิงอ้ายอย่างนั้นรึ?? ลูกหลานตระกูลหวังที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นทางสายเลือดยิ่ง...'
'เอาละ!! ข้าจะทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตให้แก่เจ้า นี่เป็นเคล็ดวิชาที่แตกต่างจากเคล็ดวิชากระบี่ทั่วไปจะเป็นการถ่ายทอดโดยตรงผ่านจิตข้าไปยังตัวของเจ้าจงรวบรวมพลังลมปราณและตั้งสมาธิให้มั่นคงเล่า...'
เมื่อได้ยินเสียงเมื่อครู่จบลงหนิงอ้ายจึงหลับตาลงและควบคุมพลังลมปราณของตนส่งผ่านไปยังกระบี่ ทันใดนั้นด้านหลังของหนิงอ้ายพลันปรากฏวงเเหวนสีเขียวเปล่งประกายรัศมีงดงามหนึ่งชั้นอันหมายถึงพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นต้น
'การร่ายรำหรือการใช้เคล็ดวิชาของกระบี่นั้นจะอาศัยในเรื่องของความพริ้วไหวดุจดั่งสายน้ำและความสมดุลของร่างกายเป็นหลักซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้พลังของร่างกายประสานไปกับพลังลมปราณในการออกท่าทางเคลื่อนไหวของเคล็ดวิชากระบี่ดังกล่าวนี้ หากยังไม่คุ้นชินนั้นเจ้าสามารถที่จะเริ่มทำการฝึกฝนท่าทางร่ายรำไปทีละบทอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะสามารถจดจำได้ง่ายได้เช่นกัน'
เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงพยายามร่ายรำกระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์นี้ไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับจดจำการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องรวมไปถึงจุดสังเกตเฉพาะไปในตัวอีกด้วย สำหรับท่วงท่าที่ปรากฏในหัวของเขาที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงผ่านเสี้ยวดวงจิตของอสูรบรรพกาลหรือตอนนี้ที่แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ไปเเล้ว โดยปกติการฝึกเคล็ดวิชากระบี่ จะต้องเป็นการฝึกฝนตามตำรากระบี่ทั่วไปที่ผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้ที่ได้เขียนขึ้นและเป็นฝึกสอนถ่ายทอดโดยผู้ที่ขึ้นชื่อหรือมีประสบการณ์เฉพาะโดยตรง
อาจจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ถูกสืบทอดโดยตระกูลหรืออาจจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่ของเเต่ละสำนักศึกษาก็เป็นได้เช่นกันเเต่ด้วยความพิเศษของกระบี่เล่มนี้ที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมของกระดูกวิญญาณอสูรบรรพกาลวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ดังนั้นหลังจากที่หนิงอ้ายได้ทำการผูกพันธะเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้แล้วนั้นหากว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้านายที่เเท้จริงก็ย่อมที่สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่นี้ผ่านทางการสื่อสารในห้วงจิตได้เช่นกัน
เป็นครั้งเเรกที่เขานั้นได้ศึกษาเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้เเต่ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับตัวของหนิงอ้ายสักเท่าใดนัก ด้วยเพราะว่าท่าทางในยามที่ใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้นั้นมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับการรำไทเก๊กหรือการรำกระบี่ของผู้สูงอายุที่พบเห็นได้ตามสวนสาธารณะในโลกเดิมเขานั่นเองด้วยความที่หนิงอ้ายนั้นมักจะมีโอกาสไปเข้าร่วมด้วยบ่อยครั้งเสมออีกทั้งด้วยอาชีพนักฆ่าของเขานั้นจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธทุกอย่างให้ได้อย่างคล่องแคล่ว
ดังนั้นหนิงอ้ายจึงมีความคุ้นชินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แตกต่างกันเพียงเเค่ในโลกเดิมของเขาจะเป็นเพียงการใช้เพลงดาบหรือกระบี่อย่างเดียวเท่านั้นเเต่ว่าในโลกนี้นั้นจะเป็นการใช้ทักษะพลังวิญญาณต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อเสริมความเเข็งแกร่งนั่นเองซึ่งสำหรับตัวหนิงอ้ายนั้นใช้เวลาเพียงเเค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นในตอนนี้ก็สามารภใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้ได้ไม่ติดขัดเเต่เพียงนิด
พรึบ! พรึบ!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หนิงอ้ายได้ลองใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้อีกครั้งโดยในครั้งนี้ตั้งใจว่าตนจะเพิ่มความเร็วให้เพิ่มขึ้นมากกว่านี้แว่วเสียงของกระบี่ที่ได้วาดผ่านอากาศไปในเเต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดเสียงที่น่าเกรงขามไม่น้อยทุกการเคลื่อนไหวของหนิงอ้ายยามที่ใช้มือจับกระบี่นั้นช่างหนักแน่นพริ้วไหวเด็ดขาดอีกทั้งยังเป็นไปดั่งใจนึกราวกับว่ากระบี่เล่มนี้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผิดกับวิสัยของคนที่พึ่งที่ได้ฝึกเคล็ดวิชากระบี่ในครั้งเเรกมากนัก
สำหรับตัวของหนิงอ้ายนั้นปลดปล่อยอารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ให้ลื่นไหลอย่างเป็นอิสระไม่มีขอบเขตจำกัด รู้สึกว่าเขาชื่นชอบในการร่ายรำกระบี่เป็นอย่างมาก ร่างกายทุกส่วนของเขาต่างตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวได้อย่างสมดุล พลังลมปราณในร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ในมือยิ่งนัก เมื่อมีการควบคุมพลังปราณของตนลงไปก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นอิสระถึงความเคลื่อนไหวมากขึ้นหลายเท่านักทุกสิ่งอย่านั้นต่างเคลื่อนไหวกันอย่างสมดุล
'เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต เป็นเคล็ดวิชาที่มีความพิสดารเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่เกิดจากสัตว์อสูรบรรพกาลที่มีการแปรเปลี่ยนสภาพกระดูกวิญญาณอสูรของตนนั้นให้เป็นกระบี่จึงทำให้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชากระบี่ทั่วไปที่ถูกเขียนด้วยอักษรเวทย์…'
'ดังนั้นจึงเน้นไปในทางความพลิ้วไหวดุจดั่งสายน้ำเคลื่อนไหวได้อิสระตามใจนึก สามารถประสานพลังวิญญาณไปกับกระบี่ได้อย่างเสถียรสมดุล อีกทั้งยังสามารถที่จะพลิกเเพลงกระบวนท่าได้ตามใจปรารถนายิ่งเจอคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามที่เเข็งแกร่งและใช้พลังวิญญาณกับตัวกระบี่มากเพียงใด เพลงกระบี่ดังกล่าวนี้จะยิ่งเเสดงอนุภาพที่ลึกล้ำพิศดารเกินกว่าที่จะจินตนาการได้เท่านั้น อีกทั้งในขณะที่ใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้นั้นยังสามารถที่จะช่วงชิงพลังลมปราณของอีกฝ่ายออกมาได้เช่นกัน...'
หนิงอ้ายมองว่ามีความคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาโบราณนี้เป็นอย่างมาก ด้วยความเหมือนกันทั้งในเรื่องคุณสมบัติของผู้ฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ รวมไปถึงความเป็นอิสระท่วงท่าที่สามารถผันแปรไปตามปรารถนาไร้ซึ่งรูปแบบที่ตายตัวของผู้ฝึกตนนั่นเองนับได้เคล็ดวิชากระบี่ดังกล่าวนี้นั้นต่างเป็นที่เลื่องลือและถูกกล่าวขานกันอย่างมากเลยทีเดียว...
'เคลื่อนไหวดั่งสายน้ำประสานเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่โจมตีพริ้วไหวหนักแน่นอ่อนสยบเเข็งผันแปรอิสระไร้รูปแบบไร้ซึ่งพันธนาการ!!!'
หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นในใจพร้อมกับทบทวนหัวใจหลักของเคล็ดวิชากระบี่นี้ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าหากยิ่งมีความเข้าใจในเคล็ดลับหรือหัวใจหลักของเคล็ดวิชามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถถ่ายทอดพลังของกระบี่ออกมาได้มากเท่านั้น
เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตมีทั้งหมดเก้าขั้น พื้นฐานของเคล็ดวิชานี้สามารถที่จะนำมาประสานเข้ากับวิชาตัวเบาได้อีกด้วย เมื่อหนิงอ้ายนำมาปรับใช้กับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาอันเป็นวิชาลับตระกูลหวังเเล้ว ดังนั้นเคล็ดวิชาทั้งสองนี้ที่ถูกประสานใช้งานกับเพลงกระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต ตัวหนิงอ้ายนั้นตั้งใจจะใช้ออกมาในยามที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อไม่เป็นการเปิดเผยฝีมือของตนมากเกินไป..
เวลานั้นช่างผันผ่านไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้นั้นหนิงอ้ายสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาเจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้ได้ถึงที่ขั้นเจ็ดเเล้วนับว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากที่ใช้เวลาเพียงนิดเเต่สามารถฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้นับได้ว่าไม่เสียชื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าเเห่งการเรียนรู้ตั้งเเต่โลกเดิมของตน...
'หลังจากนี้เจ้าต้องศึกษาขั้นที่แปดและเก้าที่เหลือด้วยตนเอง เพราะว่าสำหรับสองขั้นสุดท้ายนั้นจะเป็นรูปแบบเฉพาะตัวเจ้าเท่านั้นข้าสามารถทำได้เพียงเเค่ชี้แนะแนวทางรวมไปถึงการประสานพลังปราณเท่านั้นที่เหลือเจ้าต้องทำการศึกษาเองเสียเเล้ว...'
เสียงของอสูรวารีพิสุทธิ์ดังขึ้นในมิติจิตของตัวหนิงอ้ายอีกครั้งก่อนที่เด็กหนุ่มจะตอบกลับไปว่า
'เพียงเท่านี้ข้าต้องขอบคุณท่านมากแล้วที่เมตตาถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้แก่ข้าสำหรับส่วนที่เหลืออีกสองขั้นข้าจะทำการศึกษาด้วยตนเองขอรับ...'
'ร่างกายของเจ้าได้มีการประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณที่เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลใช่หรือไม่??'
'ผู้อาวุโสทราบอย่างนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ข้าได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของสัตว์อสูรบรรพกาลไปขอรับ...'
'ร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยพลังลมปราณอันบริสุทธิ์ลึกล้ำกว่าที่ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งจะมีได้ นอกจากนั้นแล้วสายเลือดต้นกำเนิดของเจ้ายังมีความลึกล้ำเป็นอย่างมากเช่นกัน ไม่แปลกใจที่เจ้าจะสามารถครอบครองสิ่งเหล่านี้...'
'บนมหาพิภพแห่งนี้มีสิ่งที่เรียกว่าวาสนาสวรรค์ลิขิต คำกล่าวนี้มีความหมายตรวตัวอย่างที่เจ้าทราบว่า ทุกสิ่งที่เกิดในโลกนี้หาใช่เป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด อย่างไรแล้วสักวันหนึ่งปริศนาเกี่ยวกับชาติกำเนิด เจ้าคงได้กระจ่างในเร็ววัน...'
สิ่งที่ร่างดวงจิตของอสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้เอ่ยขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หนิงอ้ายสามารถคาดเดาได้เช่นกัน เพียงแต่เขานั้นมีความเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นย่อมปรากฎขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม นี่เป็นเรื่องของเวลาแต่เพียงเท่านั้น...
'ความจริงแล้วกระบี่เล่มนี้หาได้ถูกทำขึ้นจากกระดูกวิญญาณของข้าอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่ กระบี่เล่มนี้ได้ถูกหล่อหลอมขึ้นจากวัสดุแข็งแกร่งที่มีความคงทนติดสามอันดับแรก กระดูกวิญญาณของข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น!!'
'กระดูกวิญญาณของข้าชิ้นนี้แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดอันดับต้น ๆ หรือมีอายุมากถึงหนึ่งล้านปีดั่งเช่นกระดูกวิญญาณชิ้นแรกที่เจ้าได้ดูดซับไป...'
'แต่ถึงอย่างไร ข้าก็มั่นใจว่ากระดูกวิญญาณอายุแสนปีของข้าชิ้นนี้ก็ไม่อาจดูเบาได้โดยง่าย การประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณโดยที่ดวงจิตเดิมของสัตว์อสูรผู้เป็นเจ้าของให้ความยินยอม ย่อมไร้ซึ่งผลข้างเคียงและความยุ่งยากใดใดทั้งสิ้น
'เอาละ!! เจ้าจงหลับตาลงแล้วตั้งสมาธิให้มั่นคงเล่า กระบวนการนี้คงกินเวลาไปไม่น้อยเช่นกัน...'
รัศมีแสงสีขาวพิสุทธิ์ได้เข้าโอบล้อมร่างกายของหนิงอ้ายด้วยความรวดเร็ว ลวดลายสีขาวเงินได้ผนึกขึ้นทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มก่อนที่จะเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พลังลมปราณอันแรงกล้าของสัตว์อสูรบรรพกาลอายุแสนปีได้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของหนิงอ้ายอย่างไม่หยุดยั้ง
คลื่นพลังปราณบริสุทธิ์นี้ได้คลอบคลุมทุกอย่างภายในรัศมีสองลี้ในห้วงมิติจนเกิดเป็นความผันแปรที่ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้ เสียงร้องดังขึ้นเมื่ออสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์นี้พยายามหลอมรวมตัวเองเข้ากับร่างกายของหนิงอ้ายที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
วูบ!!
เงาร่างจำแลงของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลได้ปรากฎขึ้น ดวงตาเรียวงามของอสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความนอบน้อมในที่สุด เพราะหากเทียบกันแล้วอายุบำเพ็ญตบะของนางเพียงไม่กี่แสนปี ย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสอสูรตรงหน้าได้
'ข้าเสี่ยวเหมย อสูรบรรพกาลวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ คำนับผู้อาวุโสเจ้าค่ะ...'
เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ
'ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้พบเจอดวงจิตของสัตว์อสูรหนึ่งในสิบเผ่าพันธ์บรรพกาลอันดับบนเช่นนี้ คงเป็นวาสนาสวรรค์ของเจ้าหนูที่ทำให้มาพบกันเช่นนี้ใช่หรือไม่??'
'เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะผู้อาวุโส เผ่าพันธ์ของข้าโดนเด่นในเรื่องการทำนายพยากรณ์ยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรแล้วต่อให้ไม่ใช้ความสามารถของดวงตาที่สาม ก็ย่อมสัมผัสได้ถึงกระแสมหาพิภพที่ไหลผ่านร่างกายของเขาได้เช่นกัน...' สตรีสาวตอบกลับไป
'อย่างไรแล้วให้สิ่งนี้เป็นไปตามครรลองที่ควรเป็นเสีย ข้ากับเจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมเขาเท่านั้น เอาละ!! ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว จงทำสิ่งที่พึงกระทำเสียเถิด...' กล่าวจบลงร่างจำแลงอันใหญ่โตของราชันย์อสรพิษได้เลือนหายไปในทันที
สตรีสาวประสานมือโค้งตัวคำนับเงาร่างดังกล่าวด้วยความเคารพ ความรู้สึกเมื่อครู่แม้นางจะเคยได้พบเจอกันท่านบรรพบุรุษของเผ่าพันธ์ที่อายุนับล้านปี แต่หากเทียบกับผู้อาวุโสอสรพิษนั้นแล้วจะนับเป็นสิ่งใดได้กัน
สตรีสาวยังคงเร่งเร้าญาณสัมผัสอันลึกล้ำประสานกระดูกวิญญาณชิ้นนี้เข้ากับร่างกายของหนิงอ้ายให้สมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติแห่งนี้กล่าวว่าไร้ซึ่งกฏเกณฑ์ใดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่อาจนำเรื่องของเวลาที่แท้จริงมาเปรียบเทียบได้ ในที่สุดกระบวนการหลอมรวมนี้ได้สิ้นสุดเสียที ก่อนที่หนิงอ้ายจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
"ขอบคุณผู้อาวุโสมากนะขอรับกับความเมตตาในครั้งนี้ สิ่งใดที่ท่านต้องการหากไม่ได้เบียดเบียนชีวิตของผู้ใด ข้าหวังหนิงอ้ายคนนี้ล้วนยินดีกระทำทั้งสิ้นขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งตัวคำนับ
'เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเหม่ยเหมยก็ได้ อย่างไรจากนี้ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าแล้ว สำหรับข้อปราถนาของข้า หากคิดออกแล้วย่อมบอกให้เจ้ารับรู้อย่างแน่นอน...' สตรีสาวตอบกลับไปพร้อมกับระบายยิ้มด้วยความอบอุ่น ครั้งนั้นหากนางไม่สูญเสียบุตรชายไป ในวันนี้อีกฝ่ายคงมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ใกล้เคียงกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นแน่
"ขอบคุณผู้อาวุโสเหม่ยเหมยสำหรับความเมตตานี้อีกครั้งขอรับ..." หนิงอ้ายยังคงประสานมือพร้อมกับโค้งตัวคำนับอีกฝ่ายอีกครั้ง
การที่ร่างกายของเขาได้ประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุแสนปีชิ้นนี้ สิ่งที่สัมผัสได้คือร่างกายนั้นมีความแข็งแกร่งที่มากขึ้น อีกทั้งยังคล้ายกับว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขาก็ได้รับการยกระดับเช่นกัน
'กระดูกวิญญาณชิ้นนี้ของข้าได้ประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้า ทักษะวิญญาณที่สองนี้มีนามว่า ประภาแสงอาญาสิทธิ์บัญชาการ...'
'ขอบเขตความสามารถนั้นเมื่อเจ้าเรียกใช้ออกมาย่อมสัมผัสได้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ และแน่นอนว่าร่างกายของเจ้าที่ได้ประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปี ย่อมส่งผลให้ทักษะวิญญาณนี้เกิดความผันแปรไปเช่นกัน'
'วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้า ทักษะวิญญาณผันแปรที่สองนี้มีนามว่า มหาวิชชุเหมัตน์พิสุทธิ์ไร้ลักษณ์ หากวันใดที่เจ้าสามารถควบคุมบัญชาการได้อย่างเบ็ดเสร็จ ข้าหวังแต่เพียงว่าเจ้าจะใช้ทักษะวิญญาณทั้งสองจากกระดูกวิญญาณของข้านี้ในการปกป้องตนเองและช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด...'
'ถึงเวลาที่ข้าต้องไปเสียที หากมีโอกาสเราคงได้พบเจอกันอีก...' กล่าวจบลงเงาร่างของสตรีสาวได้ลอยหายเข้าไปในร่างกายของหนิงอ้าย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกดึงกลับออกมาในที่สุด
เวลาด้านนอกได้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว หนิงอ้ายจำเป็นจะต้องพักผ่อนเนื่องจากว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นเเต่เช้าสำหรับการไปสมัครเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้
ดังนั้นหนิงอ้ายได้รวบรวมสมาธิส่งให้กระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เข้าไปในมิติจิตของเขาอีกครั้ง เมื่อจัดการทุกสิ่งอย่างเรียบร้อยจึงนอนพักในทันที แม้ว่าหนิงอ้ายนั้นจะได้นอนพักไปไม่ถึงชั่วยามเเต่ด้วยความที่ตอนนี้เขานั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญแล้ว จึงทำให้ร่างกายนั้นเเข็งเเรงมากกว่าเดิมหลายเท่า
หนิงอ้ายจึงเอ่ยบอกมารดาของตนรวมไปถึงท่านตาและท่านยายว่าต้องการให้พวกท่านทั้งหมดนั้นค่อยไปให้กำลังใจแก่ตนในวันประลองวันสุดท้ายเเทนด้วยเพราะว่าตอนนี้นั้นทั้งตนและลู่ซีต่างไม่ต้องการที่จะเเสดงตนว่าเป็นหลานของตระกูลหวังสายหลัก อีกทั้งไม่ต้องการที่จะใช้อำนาจของตระกูลหวังที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำพวกตนทั้งสองคนนั้นต่างเห็นต้องเดียวกันคือไม่ต้องการใช้อำนาจของตระกูลมาช่วย
เพราะตัวเขานั้นต้องการที่จะใช้ฝีมือเพื่อที่จะพิสูจน์ตนว่าหนิงอ้ายนั้นหาได้เป็นสวะของตระกูลอย่างเช่นนี้ถูกกล่าวหามาอย่างยาวนานแม้ว่าตอนนี้หนิงอ้ายจะตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกันเพราะว่านี่เป็นครั้งเเรกที่ตนจะได้เห็นการต่อสู้ในโลกของยุทธภพจริงๆ เเต่ถึงอย่างไรนั้นหนิงอ้ายก็เชื่อว่างานประลองแคว้นครั้งนี้ของหนิงอ้ายจะต้องได้รับการยอมรับในฝีมือและเป็นที่กล่าวถึงอย่างแน่นอน...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต