แต่ละวันของหนิงอ้ายแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาออกกำลังโดยการวิ่งรอบจวนเสร็จแล้วก็ทานข้าวกับเยว่ซินผู้เป็นมารดา ในช่วงสายทำการศึกษาวิชาตำราต่าง ๆ เพื่อทบทวนความรู้ ช่วงเย็นทำการฝึกฝนวรยุทธรวมไปถึงการควบคุมใช้ปราณธาตุให้คล่องแคล่ว ยามกลางคืนอย่างน้อยวันละสองชั่วยามก็จะทำการนั่งดูดซับพลังปราณฟ้าดิน ด้วยความที่หนิงอ้ายทั้งคนเก่าและเขาในตอนนี้นั้นนิสัยแทบจะเหมือนกันทุกอย่างยิ่งเมื่อสนใจกับสิ่งใดแล้วก็จะจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เต็มที่เสมอจึงทำให้มารดาหรือบ่าวรับใช้ในเรือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกัน
โดยเฉพาะกับลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่ประมาณเจ็ดปี ย่อมรู้สึกถึงในความเปลี่ยนแปลงในนิสัยเล็กน้อยบางอย่าง แต่เมื่อคิดว่าคุณชายของตนนั้นผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้ไม่แปลกที่คุณชายจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะดูแลตนเองและปกป้องสิ่งที่รักได้ แน่นอนว่าลู่ซีคนนี้สาบานจะอยู่เคียงข้างคุณชายของตนเสมอไม่เปลี่ยนไป
“คุณชาย ท่านไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือขอรับ?” ลู่ซีสอบถามเป็นกังวลเล็กน้อยเนื่องจากท่านเย่วซินมารดาของคุณชายนั้นเห็นว่าหนิงอ้ายเคร่งเครียดกับการฝึกฝนอะไรที่ตึงเกินไปย่อมไม่ส่งผลดีทั้งสิ้น
ตลอดหลายเดือนมานี้นทีไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนไปที่ใดทั้งสิ้น เขาเอาแต่ฝึกฝนวรยุทธอีกทั้งควบคุมปราณธาตุให้เชี่ยวชาญ ยามหิวก็ออดอ้อนท่านเเม่ให้ทำของอร่อย ๆ ให้กินแค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว
“คุณชายอยากจะไปเที่ยวตลาดบ้างไหมขอรับ เผื่อว่าจะได้หาซื้อข้าวของที่คุณชายต้องการด้วย...” ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าในตอนนี้อากาศดีน่าพักผ่อนคุณชายจะได้ผ่อนคลายบ้างตามที่ฮูหยินต้องการ
“เช่นนั้นไปเลยหรือไม่? ข้าต้องไปหาซื้อของจำเป็นในการประลองอีกทั้งต้องสั่งทำอาวุธด้วย ขอบใจเจ้าที่เตือนข้า...” เมื่อครุ่นคิดคำแนะนำที่ลู่ซีบอกหนิงอ้ายก็คิดได้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ตนยังเตรียมไม่ครบสำหรับการประลองยุทธครั้งนี้
“เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว คุณชายรีบไปผลัดเสื้อผ้าเถอะขอรับเดี๋ยวข้าจะไปเตรียมรถม้าให้ก่อนนะขอรับ...” กล่าวจบลู่ซีก็ปลีกตัวไปจัดเตรียมความพร้อมโดยทันที
ลู่ซีเป็นบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลหนิงอ้ายมาตั้งแต่อายุเจ็ดปี แต่เดิมอีกฝ่ายเป็นเพียงขอทานเร่ร่อนที่วันหนึ่งเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายได้เห็นอีกฝ่ายนอนป่วยอยู่ข้างถนนโดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจ นางจึงให้บ่าวที่ติดตามไปด้วยในตอนนั้นพาลู่ซีไปหาหมอเพื่อรักษาอาการ เมื่ออีกฝ่ายหายดีแล้วเพื่อเป็นการตอบแทนลู่ซีจึงขอเป็นบ่าวรับใช้ด้วยความเต็มใจ ทางด้านเยว่ซินเห็นว่าอายุของลู่ซีใกล้เคียงกับบุตรของตนจึงให้ลู่ซีไปเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้ายเป็นต้นมา
“เเม่ได้ยินว่าเจ้าจะไปตลาดอย่างนั้นรึ? หนิงเอ๋อร์...” เย่วซินถามบุตรชายของตน ในใจนึกยินดีที่บุตรชายของตนได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง
“ขอรับท่านแม่ ข้าว่าจะออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยขอรับ...” ในใจหนิงอ้ายตอนนี้ครุ่นคิดและวางแผนแล้วว่าต้องทำสิ่งใดบ้างเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“เช่นนั้นเจ้าไปที่หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลดีหรือไม่? ที่นั่นมีทั้งโอสถ อาวุธของวิเศษมากมาย อีกทั้งยังมีสัตว์อสูรรับใช้ด้วยเผื่อเจ้าถูกใจสักตัวจะได้มีอสูรในพันธะไว้ใช้ในการลงประลอง” เย่วซินออกความเห็น เพราะนางคิดว่าหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเป็นสถานที่ขึ้นชื่อของแคว้นหงส์แดงนี้และมีสิ่งของให้เลือกสรรมากมาย
“เช่นนั้นข้าจะไปที่หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเลยจะได้ไม่เสียเวลาขอรับ...”
“รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลบุตรชายของข้าด้วยนะเจ้าคะ” เย่วซินหันไปคุยกับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“คำสั่งของท่านประมุขให้ดูแลท่านกับนายน้อยพวกข้าย่อมทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดขอรับ!” หวังฮุ่ยตอบกลับไป
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจ หนิงเอ๋อร์เจ้าก็อย่ากลับช้านักเล่า...” เยว่ซินเอ่ยกำชับอีกครั้ง
“ขอรับท่านแม่”
หนิงอ้ายได้เดินตามลู่ซีโดยที่มีหวังฮุ่ยคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เมื่อมาถึงท้ายจวนก็พบว่าบริเวณโดยรอบตระกูลจางนับว่ามีพื้นที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นมากมายที่ให้ความร่มรื่น อาคารเล็กใหญ่มากมายแบ่งเป็นสัดส่วนเห็นเป็นระเบียบสมกับได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง
“ตระกูลจางกิจการอะไรบ้างเจ้าพอรู้หรือไม่?” หนิงอ้ายถามด้วยสงสัยเพราะในความทรงจำช่างเลือนรางไปหมดแล้ว
“ตระกูลจางมีทั้งกิจการเกี่ยวกับเหลาอาหารโรงเตี๊ยมอยู่หลายสาขา อีกทั้งได้มีการจัดตั้งสำนักศึกษาผิงอานแห่งนี้ขึ้นซึ่งในแต่ละปีจะมีการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้ามาเล่าเรียนถึงจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าสำนักศึกษา แต่สวัสดิการต่าง ๆ ศิษย์ในสำนักล้วนสามารถเข้าถึงได้อย่างไม่มีค่าใช้จ่ายรวมไปถึงทรัพยากรในการฝึกตนนั้นก็ใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด...”
"นอกจากนั้นทางสำนักศึกษาผิงอานได้มีการรับจ้างงานภารกิจ ๆ จากผู้คนในยุทธภพรวมไปถึงตระกูลน้อยใหญ่มากมายไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองการขนส่งสินค้า คุ้มครองคนในการออกตามหาสมุนไพรหรือสัตว์อสูรรวมไปถึงการรับจ้างล่าวงแหวนวิญญาณของสัตว์อสูรตามใบสั่ง และยังให้ศิษย์สายในรวมไปถึงศิษย์สายหลักมีการรับภารกิจต่าง ๆ เหล่านี้โดยที่ทางสำนักจะหักรายได้ไว้เพียงสามส่วนขอรับ”
‘มิน่าเล่าตอนที่หนิงอ้ายปลุกพลังวิญญาณไม่สำเร็จจึงเป็นที่อับอายแก่ตระกูลจาง อีกทั้งไม่ได้รับการยอมรับจากบรรดาเหล่าศิษย์ของสำนัก จนนานวันไปเรื่องราวก็ถูกบิดเบือนความจริงไปเรื่อย ๆ ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนจดจำนามของหนิงอ้ายให้ได้คอยดูเถอะ...’ หนิงอ้ายขบคิดอยู่ในใจ
ด้วยพื้นที่ของตระกูลจางใหญ่โตกว้างขวางมาก อย่างไรก็เน้นเพียงการป้องกันคนนอกไม่ให้เข้ามาได้โดยง่ายเท่านั้น แต่ในทางกลับกันแล้วคนในล้วนสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ด้วยเวลาเพียงหนึ่งเค่อนับว่าไม่มากไม่น้อยพวกเขาก็พ้นเขตของจวนได้สำเร็จจากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังตลาดในทันที
ผู้คนมากมายต่างออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างคึกคัก โดยรอบตลาดมีทั้งเหลาอาหารโรงเตี๊ยมที่ลู่ซีชี้ดูว่าเป็นกิจการของตระกูลจาง ของกินข้างทางในตลาดให้อารมณ์เช่นเดียวกับตลาดนัดในโลกเดิมของเขาเป็นอย่างมาก อีกทั้งมีร้านค้าโอสถเล็ก ๆ สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีกำลังจ่ายมากนัก ร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ตอนนี้มีผู้คนอย่างเนืองแน่นเพราะใกล้จะเข้าสู่การประลองยุทธ์แล้ว ผู้คนมากมายจากหลายหลายพื้นที่ต่างเดินทางเข้ามาก่อนจะมุ่งตรงไปยังแคว้นเต่าดำที่อยู่ข้างเคียงกัน เมื่อเดินมายังใจกลางตลาดก็เห็นอาคารจีนทรงแปดเหลี่ยมสีดำตั้งตระหง่านโดดเด่นที่มีความสูงถึงห้าชั้น สถานที่นี้คือหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลนั่นเอง
“หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลช่างใหญ่โตกว้างขวางยิ่ง! รู้หรือไม่เป็นกิจการของตระกูลใด?” หนิงอ้ายถามลู่ซี
“ว่ากันว่าหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลมีที่มาไม่ชัดเจนที่แม้แต่กระทั่งกษัตริย์ของแคว้นยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ในหอประมูลจะมีการจำหน่ายสินค้าโดยเเบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ สี่ชั้น และชั้นสุดท้ายบนสุดจะเป็นชั้นประมูลสินค้าหายากซึ่งจะเปิดเพียงหนึ่งวันต่อเดือนขอรับ...”
หอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลเป็นอาคารจีนทรงแปดเหลี่ยมห้าชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางตลาดของแคว้นหงส์แดง ภายนอกอาคารเป็นสีดำสนิทสามารถมองเห็นได้แม้จากที่ไกลถือได้ว่าเป็นหอประมูลสินค้าที่มีชื่อเสียงจนมีผู้คนกล่าวขานกันว่า ‘หากใต้หล้านี้ต้องการสิ่งใดหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลสามารถทำให้สมหวังดั่งใจ’ เห็นได้ว่านอกจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลจะมีการจำหน่ายสินค้า พวกอาวุธพิเศษและการประมูลของหายากแล้วย่อมมีการขายข้อมูลลับ ๆ อีกด้วย
โดยชั้นที่หนึ่ง เป็นการจำหน่ายตำราศึกษารวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนหลายหลายรูปแบบมีตำราที่เป็นประโยชน์ทั้งตำราพื้นฐานและตำราหายากเช่นตำราพลังวิญญาณ เคล็ดวิชาของพลังธาตุในแต่ละสายรวมไปถึงตำราศึกและการต่อสู้
ชั้นที่สอง เป็นการจำหน่ายสินค้าประเภทพวกยันต์เวทย์โจมตี ยันต์ค่ายกลที่มีทั้งราคาสูงและราคาที่สามารถจับต้องได้สำหรับคนทั่วไปเช่นกัน
ชั้นที่สาม เป็นการจำหน่ายพวกเสื้อเกราะป้องกัน เสื้อเกราะโจมตี เสื้อเกราะเสริมพลังธาตุหรือพวกอาวุธวิเศษรวมไปถึงพวกอาวุธทั่วไปเช่นกระบี่ ดาบ ธนูหรือหากว่าต้องการให้จัดทำอาวุธก็สามารถติดต่อตกลงกับนายช่างประจำชั้นให้ดำเนินการได้
ชั้นที่สี่ เป็นการจำหน่ายพวกโอสถตั้งแต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูง บรรดาสมุนไพรหายาก อีกทั้งสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการปรุงโอสถก็มีในชั้นนี้ให้ได้เลือกสรรอย่างมากมายไม่น้อย
ชั้นสุดท้ายหรือชั้นที่ห้า เป็นชั้นสำหรับการประมูลสินค้าหายาก ในหนึ่งเดือนจะเปิดเพียงหนึ่งครั้งจะตรงกับทุกวันที่สิบหกของทุกเดือน ช่างน่าเสียดายที่เขามาหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลหลังจากวันที่มีการประมูลจบไปเพียงสองวัน ซึ่งลู่ซีได้บอกว่าสินค้าประมูลในชั้นห้านี้นอกจากจะเป็นการประมูลของวิเศษ,สมุนไพรหายากแล้วก็ยังมีการประมูลสัตว์อสูรระดับสูงอีกด้วย
หนิงอ้ายใช้เวลาอยู่ในหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลร่วมสองชั่วยาม ตอนนี้เขาได้ของที่ต้องการเกือบทั้งหมดแล้วและก่อนกลับหนิงอ้ายไม่ลืมแวะไปยังชั้นสามอีกครั้งเพื่อให้นายช่างทำอาวุธลับให้ ในตอนแรกนายช่างเหล่าต่างไม่เข้าใจว่าอาวุธลับที่เขาต้องการจะออกมาเป็นแบบใด ยังดีที่หนิงอ้ายไม่ลืมหยิบแบบร่างอาวุธลับดังกล่าวมาด้วยพร้อมกับอธิบายอีกเพียงเล็กน้อย การตกลงจ้างทำอาวุธจึงจบลงด้วยดีและมีการนัดมารับสินค้าในอีกเจ็ดวันข้างหน้า...
“ลู่ซีเจ้ามีสัตว์อสูรรับใช้หรือไม่? แล้วเป็นสัตว์อสูรประเภทใดกัน” หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามารดาต้องการให้เขาลองหาสัตว์อสูรมาผูกพันธะ
“อสูรรับใช้ของข้ามีนามว่าเสี่ยวหง เป็นสัตว์อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดขอรับ...” ลู่ซีตอบไปพร้อมกับเรียกอสูรรับใช้ของตนออกมา
พรึบ!
ทันใดนั้นพื้นที่ว่างเปล่าด้านหน้าของลู่ซีก็ปรากฏวงเวทย์สีครามประกาย เป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนวังกัดปราณธาตุน้ำ ก่อนที่ภายในวงเวทย์ดังกล่าวจะปรากฏเป็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายกับแมวยักษ์สีแดงที่มีขนาดตัวสูงถึงเกือบสามเมตร พรึบตาเดียวร่างของเจ้าแมวตัวนี้ก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของลู่ซีเสียแล้ว หากว่ามองดี ๆ จะพบว่าเจ้าแมวตัวนี้มีดวงตาทั้งข้างที่มีสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
‘ร่างจริงของสัตว์ในพันธะของลู่ซีตัวใหญ่กว่าช้างป่าที่เคยเห็นเสียอีก แต่พอลดขนาดลงแล้วทำไมน่ารักน่ากอดแบบนี้นะ!!’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างตื่นเต้นที่ได้เห็นสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก อีกทั้งเจ้าแมวตัวน้อยในยามนี้ก็จ้องมองเขาด้วยหน้าตาติดอ้อนชวนให้น่าเอ็นดูยิ่ง หนิงอ้ายคิดว่าหากกลับถึงเรือนจะขออุ้มอสูรรับใช้ของลู่ซีสักครั้ง
“สัตว์อสูรรับใช้หากว่าทำการผูกพันธะกับเจ้าของแล้วจะสามารถสื่อสารทางจิตกับเจ้าของได้ตั้งแต่มีการผูกพันธะครั้งแรก อีกทั้งความก้าวหน้าของระดับอสูรรับใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณของเจ้าของพันธะ...”
“สัตว์อสูรจะแบ่งออกเป็นหกระดับ นั่นคือสัตว์อสูรระดับปฐพี ระดับนภา ระดับมายา ระดับตำนาน ระดับวิญญาณและระดับบรรพกาล แต่ละระดับจะแบ่งออกเป็นสามขั้น ขั้นต่ำ ขั้นกลางและขั้นสูงไล่เรียงตามความแข็งแกร่งและสติปัญญา สำหรับสัตว์อสูรระดับปฐพีจะสามารถพบเห็นได้ตามบริเวณเขตป่าชั้นนอก สัตว์อสูรประเภทนี้ต่างมีสัญชาตญาณความเป็นสัตว์อยู่เต็มเปี่ยมและมักจะถูกจับมาใช้แรงงานรวมไปถึงเป็นอาหารสำหรับการเพิ่มพลังวิญญาณในผู้ฝึกตน ถึงแม้จะไม่มีความโดดเด่นมากเเต่หากเทียบกันเเล้วก็ไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณเพียงเท่านั้น”
"สัตว์อสูรนภาจะคล้ายคลึงกับสัตว์อสูรระดับปฐพีเป็นอย่างมาก เพียงเเต่ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องของพละกำลังและการอยู่รวมกันเป็นฝูง หากเปรียบเทียบตามลำดับสามขั้นย่อยแล้วขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณ ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณ ซึ่งสัตว์อสูรประเภทนี้ที่บางเผ่าพันธ์ที่มีความพิเศษมากจะมีวงแหวนวิญญาณปรากฏ"
“สัตว์อสูรระดับมายาจะมีความแตกต่างจากสัตว์อสูรระดับปฐพีและระดับนภาเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะเป็นสัตว์อสูรที่มีความคิดอ่านอีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างแท้จริง บ้างก็สามารถใช้ปราณธาตุได้ไปไม่ต่างผู้ฝึกตน ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้วในขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณ ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์วิญญาณ โดยส่วนมากจะพบเห็นได้ตามเขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไป ซึ่งสัตว์อสูรระดับมายาเป็นที่นิยมสำหรับผู้ฝึกตนที่จะนำมาผูกพันธะเป็นอสูรรับใช้มากที่สุด”
“สัตว์อสูรระดับตำนานกล่าวได้ว่าเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีการสืบทอดสายเลือดพิเศษของเผ่าพันธ์มาอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ง่ายที่จะพบเจอและครอบครองได้อย่างแท้จริง ด้วยความต่างชั้นในเรื่องทางพละกำลังอันมากล้น ความรุนแรงอหังการของปราณธาตุที่สัตว์อสูรเหล่านี้สามารถเรียกใช้ได้เรียกว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินคงไม่เกินจริงไปนัก หากเปรียบเทียบกันแล้วในขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพสวรรค์วิญญาณ ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับพรหมยุทธ์วิญญาณและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับมหาพรหมยุทธ์วิญญาณ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนทั้งสามระดับนี้ทุกคนต่างเห็นเป็นประจักษ์แก่ใจ เพียงแต่การรับมือกับสัตว์อสูรระดับตำนานแม้เพียงขั้นต่ำก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเท่าไหร่...”
“สำหรับสัตว์อสูรระดับวิญญาณกล่าวกันว่าเมื่อสัตว์อสูรระดับตำนานได้บรรลุถึงเขตขั้นนี้ ด้วยเพราะยังไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดเผ่าพันธ์อสูรของตนได้ จึงทำให้รูปลักษณ์ภายนอกแม้จะเหมือนผู้ฝึกตนแต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็นเอกลักษณ์เช่นเผ่าพันธุ์วานรที่ยังมีใบหูแหลมและหางยาวให้สังเกตเห็น หรือแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่ยังปรากฏครีบและเกล็ดบางส่วน หากเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนแล้วขั้นต่ำเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับอัครพรหมยุทธ์วิญญาณ ขั้นกลางเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณและขั้นสูงเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพพรหมยุทธ์วิญญาณ ซึ่งเชื่อกันว่าสัตว์อสูรระดับวิญญาณนี้ต่างอาศัยอยู่ในป่าชั้นในที่มีความอันตรายอย่างยิ่งยากที่จะฝ่าฝันเข้าไปรบกวนได้...”
“สุดท้ายคือสัตว์อสูรระดับบรรพกาล สัตว์อสูรในตำนานที่แม้ไม่เคยมีผู้ใดพบเจอ แต่ทว่าจากสมุดบันทึกที่มีอายุนับพันปีย่อมกล่าวถึงตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญเหล่านี้ว่าหลังจากจบสิ้นมหาศึกสงครามของสองเผ่าพันธ์หนึ่งในสามผู้นำในครั้งนั้นที่เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลขั้นสูงได้พบรักกับผู้ฝึกตนหญิงท่านหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าในตอนนี้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากสัตว์อสูรบรรพกาลบ้างหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรตัวตนของสัตว์อสูรระดับบรรพกาลยังคงอยู่เหนือชั้นกว่าอย่างแท้จริงและหากเปรียบเทียบกันแล้วในขั้นต่ำและขั้นกลางสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณและขั้นสูงสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพบรรพกาลอันเป็นสองระดับพลังวิญญาณสูงสุดนั่นเองขอรับ” ลู่ซีตอบไปให้หนิงอ้ายได้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต