ホーム / รักโบราณ / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 2 : นางต้องการบ่าวหญิงคนใหม่

共有

บทที่ 2 : นางต้องการบ่าวหญิงคนใหม่

last update 最終更新日: 2025-06-06 18:36:42

ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่ง

วันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉิน

ใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญ

แม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์

ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรทอง เมื่อแสงอรุณต้องใบหน้า นางดูมีความอ่อนโยนที่หาได้ยากจากหญิงในยุทธภพ

นางเคยเป็นศิษย์ผู้ซุกซนและดื้อดึง แต่ยามนี้ แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

หากแต่ผู้ที่อยู่ในความคิดนาง กลับมิใช่เจ้าบ่าว

“อาจารย์…” หญิงสาวอดีตผู้บำเพ็ญเซียนเสียงรำพึงภายในใจเอ่ยแผ่ว “วันนี้ข้ากลับไม่มีท่านเคียงข้าง… ท่านเป็นดังมารดาที่เลี้ยงข้ามา ข้าปรารถนาให้ท่านมาแสดงความยินดีกับข้าบ้างเสียจริง”

            นางยิ้มรับพิธี ยิ้มรับคำอวยพร ทว่าเบื้องลึกในใจกลับรู้สึกว่าบางสิ่งขาดหายไป

.

หลังวันแต่งงาน ผ่านไปไม่นาน โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ที่เดิมเป็นเพียงเรือนไม้เล็ก ๆ กลับขยับขยายอย่างรวดเร็ว

อวี้ไป๋เฉิน แม้จะดูเป็นชายหนุ่มเรียบง่าย แต่กลับวางกลยุทธ์ธุรกิจได้แยบยล เขารู้จักจัดสรรพื้นที่ เพิ่มห้องพักตะวันตก ติดตั้งครัวกลาง ปรับปรุงห้องโถงเพื่อรองรับการจัดเลี้ยง แม้กระทั่งเครื่องเรือนก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจากฝีมือช่างไม้ชั้นดี จนผู้คนเริ่มกล่าวขานว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็น “เรือนรับรองที่หอมกลิ่นบุปผา”

ส่วนซูหรง หลังจากแต่งงาน นางมิได้อยู่เฉยเป็นเพียงภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยม หากแต่กลับลงมือจัดการด้วยตนเองทุกขั้นตอน นับตั้งแต่ตรวจบัญชี สั่งของ คัดเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงฝึกฝนบ่าวทั้งหญิงชายในการต้อนรับแขกอย่างเป็นระบบ

โรงเตี๊ยมเจริญรุ่งเรือง จนในหนึ่งเดือนเต็ม ห้องพักถูกจองแน่นทุกคืน แม้ในฤดูฝนก็ยังไม่มีแผ่ว และเมื่อกิจการเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ต้องรับคนเพิ่ม

“เปิดรับสาวใช้?”

“ใช่” ซูหรงพยักหน้า ขณะนั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชี “ต้องเพิ่มคนที่คล่องแคล่ว ซื่อสัตย์ หน้าตาสะอาดพอดูได้ มีใจรักงานบริการ”

“เจ้าคิดจะลงไปป่าวประกาศด้วยตนเองหรือไม่?”

“ไม่” นางหัวเราะ “ส่งข่าวไปที่ตลาดพอ ผู้ใดสนใจก็ให้มาสมัครที่นี่ ข้าขอดูที่มาที่ไปก่อนแล้วค่อยพิจารณา”

หลังจากที่นางคิดได้ไม่นานก็เขียนใบประกาศ ฝากให้บ่าวนำไปติดประกาศในตลาดกลางเมือง ไม่นานในตลาดก็มีแผ่นป้ายประกาศเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยว่า:

✦ โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ✦

เปิดรับสมัครสาวใช้ใหม่

อายุระหว่าง 14 – 18 ปี หน้าตาเรียบร้อย มีใจรักงาน

ที่พักพร้อมอาหารครบ

คัดเลือกโดยคุณนายซูหรงด้วยตนเอง

หลังประกาศติดได้วันเดียว ยามบ่ายวันรุ่งขึ้น หญิงสาวหลายคนก็มารวมตัวหน้าประตูโรงเตี๊ยม พวกนางแต่ละคนแต่งกายสะอาดพอประมาณ หน้าตาแตกต่างกันไปตั้งแต่ลูกชาวนาไปจนถึงสาวจากตระกูลล้มละลาย

ท่ามกลางนั้น มีคนหนึ่งที่มิได้โดดเด่นเลยหากมองเพียงภายนอก หากแต่ต้องตาซูหรงอย่างประหลาด นางเป็นเด็กสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอมเทาเก่า ๆ ผมหน้าม้าตัดตรง ท่าทีเหมือนจะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ดวงตากลับนิ่งสงบ ราวกับมิได้หวั่นไหวกับสิ่งใดในใต้หล้า

การคัดเลือกเป็นไปอย่างเรียบง่าย ซูหรงนั่งอยู่ในห้องโถงหน้าต่างเปิดกว้าง แสงแดดส่องกระทบจอกชา นางเพียงเงยหน้ามองแต่ละคน แล้วถามสั้น ๆ ว่า

“เจ้าทำอะไรได้บ้าง?”

“ทำไมจึงอยากเป็นสาวใช้?”

“เคยเรียนหนังสือหรือไม่?”

นางไม่คาดหวังคำตอบเลิศหรู แต่ดูท่าที ความซื่อตรง และสายตาของแต่ละคน บางคนก็นางก็รับไว้ทันที บางคนนางเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็แนะนำให้ลองสมัครงานร้านอื่น ๆ ที่ต้องการคน

จนกระทั่งถึงตาของเด็กสาวที่นางต้องตาคนนั้น...

ผิวของนางเรียบเนียนดั่งหยกขาวไร้ตำหนิ มีสีอมชมพูเรื่อเหมือนกลีบบัวแรกแย้มในยามอรุณ แก้มที่ไม่แต่งแต้มใด ๆ กลับมีเลือดฝาดโดยธรรมชาติ เส้นผมสีดำขลับตัดหน้าม้าเสมอกันเป็นเส้นตรง ผมส่วนที่เหลือถูกรวบแน่น รัดเรียบง่าย ไม่ประดับด้วยสิ่งใด นอกจากเชือกดำพันไว้ ริมฝีปากน้อย ๆ สีอ่อนซีดแต่ได้รูป คิ้วบางโค้งเรียวราวพู่กันจีนแตะหมึกครั้งเดียว วางอยู่เหนือดวงตากลมโต ดวงตาคู่นั้นดำลึก ละเอียด และนิ่งราวผิวน้ำในบึงยามไร้ลม ราวกับซ่อนความรู้แจ้งเอาไว้ทุกกระแสสายตา จมูกเล็กโด่งอย่างอ่อนโยน ปลายคางเรียวเป็นรูปไข่รับกับโครงหน้าที่บางระหง ใบหน้าของนางแม้จะไม่มีเสน่ห์แบบฉูดฉาด หากแต่ดูนาน ๆ กลับเหมือนมีไอหมอกลึกลับเคลือบไว้ ทำให้ผู้อยู่ใกล้รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่รู้สาเหตุ

เด็กสาวตัวน้อยยืนเงียบต่อหน้าซูหรง สายตากหลบต่ำ ไม่สบประสานตรง ๆ แต่ท่าทางกลับดูมั่นคงอย่างประหลาด

“ชื่ออะไร?” ซูหรงถามออกไป

“เสี่ยวซุ่ย”

“อายุ?”

“เกิดปีเถาะเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็น่าจะ...” เสี่ยวซุ่ยพูดพลางพยายามนับนิ้ว แต่ซูหรงนับให้ก่อนจะเสียเวลากว่านั้น

“สิบหกงั้นสินะ มาจากไหน?”

“จากภูเขาทางใต้”

บทสนทนาดูเรียบง่าย ทว่ากลับทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วครู่ แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใจกลับสะดุด ราวกับคุ้นเคยกันมาอย่างประหลาด... เสียงนั้น... แววตานั้น... ท่าทางนั้น... มือที่ประสานกันอย่างสุภาพเรียบง่ายแบบหญิงสาวผู้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่กลับทำให้นางอดรู้สึกเหมือนท่าทางประสานมือก่อนร่ายวิชาของสำนักเซียน

แม้ในใจเกิดความแคลงเคลือบ นางก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงถามอีกเบา ๆ ว่า

“เคยอยู่ในสำนักหรือสถานศึกษาที่ไหนหรือไม่?”

“เคยอยู่โรงเรียนบนเขา แต่ไม่ได้เรียนเจ้าค่ะ ทำงานนิดหน่อย” เด็กสาวตอบกลับ แล้วก้มหน้าลงนิดหนึ่งหลบสายตา

“เจ้าดูไม่เหมือนเด็กทั่วไปเลยนะ” ซูหรงพูดพลางยิ้ม มองเด็กสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สักครู่ คล้ายจะพินิจอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของเสี่ยวซุ่ยนั้นไม่แสดงความประหม่า ไม่สะทกสะท้านแม้ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยม ทว่าก็ไม่มีแววอวดดีหรือจองหองสักนิด มีเพียงความสงบเย็นที่ชวนให้รู้สึกนึกถึง… เงาใครบางคนในอดีต

“เจ้าทำอาหารได้หรือไม่?” ซูหรงถามเสียงนิ่ง แต่ไม่เร่งเร้า เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาวูบไหววาบหนึ่งก่อนเอ่ยคำตอบ

“ทำได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ”

“เคยล้างจานชามหรือไม่?”

“เจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นราบเรียบ

“แล้วหากต้องล้างให้ทันก่อนตะวันตกดินคนเดียวทั้งกอง ล้างไม่หมดมีโทษ เจ้าจะรับมืออย่างไร?”

“หากมีแค่สองมือ ก็ขอเริ่มเร็วขึ้นเจ้าค่ะ ถ้ายังไม่ทัน ก็ขอขัดให้หมดแม้ในยามค่ำคืน” เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยแววตาแน่วแน่เป็นครั้งแรก

คำตอบนั้นไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูประทับใจ แต่ในแววตาและท่าทีที่มุ่งมั่นไม่สะทกสะท้าน กลับมีบางสิ่งทำให้ซูหรงนิ่งไป ด้วยแววตาเช่นนี้… เมื่อก่อนเคยมีใครคนหนึ่งพูดคล้ายกันไว้ใต้ต้นหลิวข้างตำหนักเซียน

หากท่านให้ข้าทำจนถึงรุ่งเช้า ข้าก็จะทำ ข้าจะไม่ให้ศิษย์พี่คนใดลำบากเพราะข้า”

นั่นคือคำพูดของนางเองเมื่อสิบปีก่อน ยามเป็นศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิง

ซูหรงบีบมือที่วางบนโต๊ะเบา ๆ รู้สึกเสี้ยวหนึ่งของตนเองสะท้อนอยู่ในร่างเด็กสาวผู้นี้ มันน่าหัวเราะ ที่คนดื้อรั้นจนหนีลงเขามากลับได้มานั่งเจรจากับคนที่คล้ายตนเองในอดีตถึงเพียงนี้

“แล้วถ้ามีใครรังแกเจ้าในโรงเตี๊ยม เจ้าจะทำอย่างไร?”

“ถ้าไม่ถึงตายก็จะไม่พูดเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเบา

“ไม่พูด?” ซูหรงเลิกคิ้ว

“ใช่เจ้าค่ะ... เพราะถ้าบอก เจ้านายจะลำบากใจ หากไม่ใช่เรื่องถึงตาย ข้าจะทนได้” ดวงตาคู่นั้นกลับสงบยิ่งกว่าก่อนหน้า คำตอบนั้นสะเทือนใจผู้เป็นนายหญิงอยู่ลึก ๆ ซูหรงวางพัดไม้ไผ่ที่พับอยู่ในมือลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วถอนใจ

“มีคนเคยสอนเจ้าแบบนี้หรือ?”

เสี่ยวซุ่ยไม่ตอบ เพียงหลบตาลงอย่างนุ่มนวล ซูหรงหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะอยู่ที่นี่ เป็นบ่าวหญิงคนใหม่ ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ฝึกหัด ข้าจะให้พี่หลินคอยดูแลและสอนงานเบื้องต้นให้เจ้า หากครบเจ็ดวันแล้วยังไม่บกพร่อง ข้าจะให้ห้องพักของตน และเพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้อีกห้าอีแปะต่อวัน”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยก้มศีรษะลงงดงาม มุมปากขยับเพียงเล็กน้อยคล้ายยิ้ม แต่ไม่เด่นชัด

ซูหรงพยักหน้า แล้วหันไปเรียกบ่าวหญิงรุ่นพี่คนหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้านหลัง “พี่หลิน พาเด็กคนนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเริ่มสอนงานให้วันนี้เลยก็ได้ แต่อย่าหักโหมมากนัก นางดูเหมือนจะเดินทางมาไกล”

“รับทราบเจ้าค่ะ” พี่หลิน บ่าวหญิงวัยยี่สิบปลาย ๆ ผมรวบเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลัง ท่าทางขยันขันแข็ง รับคำนายหญิงของตน เสี่ยวซุ่ยก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้น แล้วหันไปก้มศีรษะให้ซูหรงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามหญิงสาวออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบงัน

หลังเด็กสาวออกไป ห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านพุ่มไม้ด้านนอก และแสงแดดทอดผ่านตะแกรงไม้ไผ่บนหน้าต่าง ทำให้จุดบนโต๊ะเป็นเงาตารางสลับสีขาวดำเหมือนลวดลายบนผ้าผืนใหญ่

ซูหรงยกชาขึ้นจิบเงียบ ๆ แววตาเหม่อมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งไม่มีใครนั่งอยู่ นางคิดถึงใครบางคนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...

“อาจารย์ หากท่านได้เห็นเด็กคนนี้ ท่านคงแปลกใจ”

นางกระซิบในใจ แล้ววางถ้วยชาลงเบา ๆ ก่อนจะหยิบแผ่นบันทึกบัญชีขึ้นมาอ่านต่อ แต่วินาทีนั้นเอง ลมเบา ๆ พลันพัดเข้ามาในห้อง ศีรษะของซูหรงเงยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ... บางสิ่งบางอย่างในสายลมนั้นทำให้หัวใจนางสั่นไหว ไม่ใช่ลมธรรมดา หากเป็นกลิ่นอันคุ้นเคย

กลิ่นของกลีบบัวขาวจากหุบเขาเซียน... กลิ่นที่คุ้นเคยจากเหล่าเซียนและผู้ฝึกตนในสำนักเก่าของนาง!

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 52 : นางมีแผนอะไรอยู่กันนะ?

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสีครามค่อย ๆ ถูกปิดบังด้วยเมฆหนา โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันเช่นกันณ ลานกว้างด้านหน้าโรงเตี๊ยม ที่ถูกจัดการพื้นที่จนโล่ง เสื่อผืนใหญ่ถูกวางกลางลานเช่นเช่นวันก่อน ขณะที่คนจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิง และบ่าวจากโรงเตี๊ยมอีกหลายคนรวมตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเช้านี้ด้วยหัวใจที่เต้นรัวซูหรงในชุดสีแดงเข้มขลิบทองยืนอยู่กลางลาน สง่างามและเยือกเย็น ด้านหลังของนางคือเฉินอี้ ที่มายืนคุ้มกันห่าง ๆ เผื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จแสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆลงมา ซูหรงยืนรอไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นั่นคือ ร่างหุ่นเชิดของอวี้เซี่ยหง ประมุขพรรคมาร ส่วนตัวของผู้ควบคุมหุ่นเชิดมนุษย์นั้น ชักใยด้วยเส้นใยพลังปราณจากที่ห่างไกล ไม่มีผู้ใดมองเห็นตัวจริง นอกจากนางก็มีผู้ติดตามชุดดำสองคน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เห็นเพียงลูกตาเท่านั้นถึงอย่างนั้นแม้พลังที่แผ่ออกมา จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากตัวจริง แต่กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลับยังชัดเจน แต่ซูหรงไม่หวาดเกรงสักนิดเดียว นางไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ นางเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 51 : นางลืมข้าไปเสียแล้ว

    แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 50 : เขาขอบคุณข้า

    ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 49 : เขาเป็นห่วงข้า

    ยามบ่าย โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังความโกลาหลวุ่นวายเมื่อยามสายสิ้นสุดลง ท้องฟ้าแจ่มใส ลมอ่อนพัดผ่านชายผ้าม่าน เสียงนกร้องจาง ๆ ลอยมากับแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้บานเล็กในห้องพักชั้นบนของอาคารหลัก หมอจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่มาด้วยกัน กำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อตอนสายอย่างละเอียดจ้าวหยางนอนอยู่บนเตียงไม้สาน ร่างของเขาถูกพันผ้าไว้หลายแห่ง ดามด้วยเฝือกไม้ โดยเฉพาะช่วงไหล่ และซี่โครง ที่โดนบีบขยี้ด้วยมือขนาดยักษ์“ซี่โครงด้านซ้ายร้าวห้าซี่ ขาวสองซี่ กระดูกไหล่ขวาเคลื่อน... ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการพักรักษาตัว กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง” หมอวัยกลางคนพยายามอธิบายอาการบาดเจ็บให้เหล่าสำนักคุ้มภัยที่เหลือ รวมถึงเฉินอี้ได้ฟัง “โชคดีที่พลังภายในของเขาสูงมากกว่าคนทั่วไป ร่างกายจึงยังพอเยียวยาตัวเองได้... อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น แต่ไม่ใช่วันสองวันนี้”จากนั้นหมอก็พาทุกคนไปยังในอีกห้องหนึ่ง อวี้ไป๋เฉินเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นหลังหมดสติไประยะใหญ่ ข้างกายเขาคือเสี่ยวผิงหลานชายพี่หลินที่มาดูแล เขาขยับตัวช้า ๆ ใช้มือยันร่างขึ้น

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 48 : เขาอยากให้นางสำเร็จพิธีโดยดี

    กลุ่มควันสีเทาเริ่มจางลงหลังการต่อสู้ที่รุนแรงสิ้นสุดลง เฉินอี้ยืนอยู่กลางลาน ไอพลังสีขาวรอบกายยังคงแผ่ซ่าน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องร่างอวี้เซี่ยหงที่ลุกขึ้นมายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมบอกว่านี่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดมนุษย์ทว่ามันไม่เหมือนท่ายืนของคนปกติ แขนห้อยข้างลำตัวอย่างไร้พลัง สายตาเลื่อนลอย สีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างกระตุก ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่เพิ่งได้สังเกต เส้นใยสีม่วงอ่อนบางเฉียบที่มองแทบไม่เห็นผูกอยู่ทั่วร่างของนาง มันเรียวเล็กเท่าเส้นผมยากต่อการสังเกต เส้นใยเหล่านั้นหลายเส้นเชื่อมต่อกับสักที่ที่ไกลออกไป คอยส่งต่อกระแสพลังมายังร่างของนาง ทว่าตอนนี้มันขาดสะบั้นไปหลายเส้น เช่นที่แขนสองข้าง อาจเพราะการต่อสู้กับเขาเมื่อครู่ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ผิดปกติไปมาก“เหมือนเจ้าจะเห็นเส้นใยพลังปราณแล้วสินะ…” เจ้าของเสียงนั้นกล่าวขึ้นมา “ใช้แล้ว ร่างที่เจ้าสู้ด้วย เป็นเพียงหุ่นเชิดมนุษย์ เป็นสมุนในพรรคที่ที่แต่งตัวเหมือนข้า กับได้รับการถ่ายลมปราณบางส่วนจากตัวข้ามาให้เท่านั้น แล้วข้าคอยควบคุมระยะไกลเท่านั้น เจ้าล้มมัน

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 47 : เขาไล่ต้อนประมุขพรรคมาร?

    อวี้เซี่ยหงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันจาง ๆ ที่ยังลอยล่อง มือเทียมพลังปราณสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ที่ยังเหลืออยู่สี่เส้น วางสองผู้กล้าลง ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความแปลกใจปนไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นร่างของเฉินอี้ที่ควรจะอ่อนล้าและสิ้นหวังในก่อนหน้า บัดนี้กลับยืนตรงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว พลังลมปราณแผ่พุ่งออกจากกายสีขาวนวลราวหมอกยามเช้า กล้ามเนื้อทุกส่วนกระชับราวกับฝึกมานาน แผ่นหลังตั้งตรง นิ่งเหมือนยอดเขาใหญ่“กล้ามาก ที่เจ้าคิดว่าจะมาต่อกรกับข้าได้ด้วยตัวคนเดียว... เจ้าบ่าวกระจอก!”เสียงของนางเปล่งออกมา ก่อนที่แขนเทียมยาวแปดวาเส้นหนึ่งจะฟาดมาทางเขาด้วยพลังมหาศาล ทว่าเฉินอี้กลับก้าวเท้ากระชับตัว มือขวาหมุนวนปัดแรงพุ่งของแขนยักษ์ด้วยความแม่นยำ ส่งไปยังมือซ้ายที่แบรออยู่จากนั้นมือซ้ายของเขาก็จับแน่นตรงข้อมือเทียมของแขนพลังปราณนั้น ตามด้วยมือขวาที่ตามมาประกบเหมือนพนมมือ แล้วพลันพุ่งลอดผ่านใต้แขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวพร้อมกับก็หมุนสะโพก หมุนเอว บิดลำตัวทั้งร่างด้วยจังหวะที่แม่นยำราวสายน้ำหมุนวน!แขนเทียมที่เชื่อมต่อกับร่างต้นถูกบิดจนผิดรูป เขาหมุนต่ออีกรอบ สองรอบ สามรอบ ด้วยท่าเท้าปทุมยาตรา ข้อมือ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status