ใบหน้าหล่อเหลาของหยางลี่ที่ตอนนี้ดูมีราศีสดชื่นมากกว่าเก่าเลิกคิ้วขึ้นมองซ้ายมองซ้ายมองขวาหาที่มาของกลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมาตามลม หันไปทางกวงซุนที่กระตุกม้าตามมาข้างๆ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า
“เดิมที่นึกว่าได้ออกมาข้างนอกจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ไหนได้เขาลูกนี้คงเป็นแหล่งรวมอาหารหรือว่าหอโอชารส ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นทหารของเราแอบออกมาย่างปลากินรึป่าว”
หยางลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาม้าเหยาะย่างลัดเลาะตามกลิ่นหอม เมื่อเข้าใกล้ริมน้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสี่ยวหนี่กระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ เป็นคุณหนูจากที่ไหนสักแห่งกำลังจับปลาอย่างเมามันไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอน ท่าทางทะมัดทะแมง ภาพที่หยางลี่เห็นจึงชวนขัดตาขบขันไม่น้อย
หยางลี่ลงจากหลังม้า กวนซุนขันทีที่รีบตามมากำลังจะกล่าวทักแต่เสี่ยวหนี่หันขวับมองเสี่ยวอี้ทำปากพูดอย่างไร้เสียงว่า
“ใครวะ?” เสี่ยวอี้รีบส่ายหัวทันทีทำปากขมุบขมิบว่า
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่หันกลับมาฉีกยิ้มหวานยกมือขึ้นประสานตรงหน้า
“เป็นท่านนี่เองเลื่อมใสมานาน นับถือๆ วันนี้ได้พบหน้าช่างเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง มิคาดว่าฟ้าลิขิตให้เราได้มาพบกันในวันนี้”
หยางลี่หันสบตากับกวงซุนด้วยความประหลาดใจ กวงชุนเปล่งเสียงพูดเบาๆ ไม่กล้าขยับปากกลัวว่าเสี่ยวหนี่จะเห็นว่ากำลังนินทาก็นินทานั่นแหละ
“ฝ่าบาท ภาษาพูดเช่นนี้เราเลิกกันใช้กันไปนานแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยนาง นางคงอยู่ในป่าเขาจนไม่รู้ว่าวังหลวงเขาใช้ภาษาเช่นไร”
ขันทีกวงซุนกระแอมเบาๆ อย่างลำบากใจปั้นหน้าใหม่ หยางลี่ทำหน้านิ่งให้เสี่ยวหนี่กลั้นขำเต็มที่
“เจ้ารู้จักข้าหรือ จอมยุทธน้อย”
“รู้จักสิ! ว่าแต่ท่านชื่ออะไรนะ ชื่อท่านติดๆ อยู่ที่ริมฝีปาก ชื่ออะไรน้า”
“ช่างเถอะ ข้าเชื่อว่าจอมยุทธน้อยผู้นี้รู้จักข้าแล้ว “
“ใช่ๆ คนกันเองทั้งนั้น”
” แม่นางน้อยผู้นี้เป็นนางสวรรค์หรือผีสางเหตุใดถึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้” ขันทีกวงซุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ข้ามาจับปลาหาวัตถุดิบทำอาหารให้ท่านพ่อ บ้านข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เองพวกท่านไม่ต้องห่วงแถวนี้ไม่มีอันตรายหรอก”
เสี่ยวหนี่ยิ้มร่าอย่างเป็นกันเอง สรุปเอาเองว่าเขาเป็นห่วงสาวน้อยกลางป่าเขา แต่ดูแล้วคนคนนี้คงเป็นคนรับใช้และข้างๆ ก็คงเป็นคุณชาย ดูจากการแต่งตัวแล้วคงมีอันจะกินไม่น้อยแต่ใบหน้ากลับดูอิดโรยเหมือนคนไดเอ็จเลย
“พวกท่านสองคนหลงทางรึป่าว ได้กินอะไรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มาๆ ข้ามีปลาย่างหลายตัว แบ่งพวกท่านกินแล้วกัน ปลาพวกนี้มาจากธรรมชาติสดๆ เมื่อครู่ มีสารอาหารไม่น้อยเลย ดีต่อพวกท่านแน่นอน”
เสี่ยวหนี่ หยางลี่ขยับตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขันทีกวงซุนรีบขว้างไว้กระซิบเบาๆ ได้กันเพียงสองคน
” จะดีหรือพะย่ะค่ะ เมื่อครู่เราก็กินจนอิ่มหนำฝ่าบาทยังจะมีกะใจกินได้อีกหรือ “
หยางลี่แค่นั่งลงข้างๆ เสี่ยวหนี่ไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญอะไรกับที่ต้องนั่งลงบนก้อนหินบนหาด
“เนื้อปลาของจอมยุทธน้อยเหตุใดจึงต่างออกไป”
“อันนี้คือเนื้อปลา ราดซอสเสฉวนที่จะมีรสเผ็ดและหอมจากเครื่องเทศที่เสี่ยวอี้ผสมไว้ในซอสปรุงรส”
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าซอสปรุงรส แปลกจริง ข้าเพิ่งเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรก “
“ข้าเรียกน้ำราดก็ได้”
เสี่ยวหนี่เลือกหยิบเอาเนื้อปลานุ่มฟูสีขาวมีน้ำซอสสีเหลืองส่งให้หยางลี่
“ล่วงเกินท่านแล้ว ชิมดูก่อน”
“เจ้าไม่ใช้ตะเกียบหรือ”
“มันมีไหมล่ะตรงนี้ เอาน่าอย่าเรื่องมากเสือยังไม่ต้องใช้ตะเกียบเลย”
” เช่นนั้นข้าไม่มากพิธี “
หยางลี่รู้สึกว่าตัวเองมีความอยากอาหารมากกว่าปกติทั้งๆ ที่พึ่งกินมาจากบ้านตระกูลโจว หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะผักคาดหัวแหวน (ผัดเผ็ด) ที่ช่วยเปิดต่อมรับรสที่ลิ้นทำให้รู้สึกอยากอาหารและรสชาติของอาหารดีกว่าปกติ หยิบเนื้อปลาเข้าปาก กลิ่นหอมละมุมของเครื่องเทศโชยเข้าจมูก เนื้อปลารสหวานตัดกับความเผ็ดและรสเค็มจากซอสปรุงรส ความคาวของเนื้อปลาไม่เหลืออยู่ กลิ่นและรสชาติไปในแนวทางเดียวกันนั้นคือรสกลมกล่อม
“อร่อยจัง”
“เห็นไหมข้าบอกแล้ว ท่านลุงท่านไม่ลองชิมด้วยกันหรือ”
ขันทีกวงซุนหยิบเนื้อปลาอย่างเขินๆ เพราะเป็นคนถือตัวแต่ต้องใช้มือในการกินอาหารจึงลำบากใจไม่น้อย
“เอาน่าท่านลุง ข้าไม่บอกใครหรอกว่าท่านเปิบมือ”
ขุนทีกวงซุนเหลือบตามองหยางลี่ที่อมยิ้มพร้อมกับพูดว่า
“ข้าก็จะไม่บอกความลับนี้กับใครเหมือนกัน”
เสี่ยวหนี่ยิ้มสดใส ขันทีกวงซุนหยิบเนื้อปลาใส่ปาก
เสี่ยวหนี่ ที่นั่งกลางภูเขาเอกสารและปึกบัญชี เสี่ยวหนี่นั่งอยู่ที่ศาลาเล็กกลางสวน มือยังคงจัดเอกสารบัญชีและจดหมายร่างไว้มากมาย เสียงของเสี่ยวอี้ที่วิ่งกลับมาแว่วเข้ามาอย่างตื่นเต้น“คุณหนูเจ้าขาาา ข้าไปตามใต้เท้าอินเฉามาแล้วเจ้าค่ะ เขายินดีมากทีเดียวที่คุณหนูกลับมา”เสียงก้าวเท้าที่หนักแน่นและสงบก็ดังใกล้เข้ามา พ่อบ้านในชุดผ้าสีเข้มมองดูสะอาดเรียบร้อยก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้าศาลา ร่างสูงใหญ่ของเขาท่าทางสุขุม ดวงตาคมสงบ สีหน้านิ่งแต่ไม่เย็นชา เขาเคยเป็นเงาของท่านโจวหลิวเยว่ อินเฉาผู้ไม่เคยห่างกายเจ้าบ้านแม้ครึ่งก้าวยามที่ค้าขายที่ทางสายไหม “คารวะคุณหนูรอง” อินเฉาโค้งตัวอย่างสุภาพ เสียงนุ่มทุ้มหนักแน่น เสี่ยวหนี่ลุกขึ้นเล็กน้อยแล้วยิ้มจางๆ “ท่านอาอินเฉา…ข้าดีใจที่ท่านยินดีกลับมาที่นี่”อินเฉาเงยหน้ามองเสี่ยวหนี่ ดวงตาหนักแน่นแฝงแววอ่อนโยน “ตราบใดที่บ้านโจวยังตั้งอยู่ ข้าย่อมไม่ไปไหน ในครานั้นนายท่านไม่อาจเดินทางค้าขายข้าเลยคิดว่าชีวิตข้าเงียบเหงาเหลือเกินคิดถึงช่วงเวลาที่ได้เดินทางรอนแรมเพื่อส่งสินค้า วันนี้ข้าจะไม่ยินดีได้อย่างไรในเมื่อคุณหนูอยากจะสานต่องานของนายท่านโจวข้า อินเฉา ยินด
กลิ่นหอมจากสมุนไพรต้มยาจางๆ ลอยล่องปะทะจมูก เสี่ยวหนี่ยืนเท้าเอวกลางลานหน้าบ้านใหญ่ของตระกูลโจว ดวงตาวับวาวเปล่งประกายเอาจริงเอาจังเหมือนนายช่างเอกผู้คุมงาน ทว่าใบหน้านั้นยังคงหวานละมุนในแบบของคุณหนูผู้เรียบร้อย“เจ้าไปช่วยช่างตีไม้ย้ายเสาโน่นให้ข้าหน่อย ส่วนตรงระเบียงห้ามใครเหยียบเด็ดขาด ข้าติดป้ายไว้แล้ว” เสียงใสของเสี่ยวหนี่ตวัดสั่งงานด้วยความคล่องแคล่ว ขณะมือหนึ่งกุมกระดาษแบบร่างของโรงเตี๊ยมที่วาดด้วยตนเองบ่าวไพร่ที่เคยชินกับความเงียบสงบของบ้านโจว บัดนี้กลับขะมักเขม้น เร่งมือตามคำสั่งของคุณหนูรองราวกับคนละคน ใบหน้าทุกคนแม้จะเหนื่อย แต่ก็มีรอยยิ้มจางๆ เพราะต่างเห็นความพยายามของคุณหนูรองที่ตั้งใจจะชุบชีวิตบ้านหลังนี้ใหม่อีกครั้ง“คุณหนูเหนื่อยหน่อยนะเจ้าคะ แต่พวกเราจะทำให้ดีที่สุดเลย” สาวใช้คนหนึ่งถือค้อนไว้ในมือ หันมายิ้มให้เสี่ยวหนี่ด้วยความชื่นชมเสี่ยวหนี่พยักหน้ารับพลางยิ้มให้ “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะทำเกี๊ยวน้ำใส่พุทราแดงกับซี่โครงตุ๋นแจกทุกคนเลย”เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นทั่วลาน เสี่ยวอี้ที่ยืนถือน้ำชาสมุนไพรอยู่ข้างๆ กระซิบเบาๆ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ท่านโจวกำลังหลับอยู่นะ
แต่ยังไม่ทันจะสิ้นประโยค น้ำเสียงของไทเฮาก็ตัดบทขึ้นกลางลำอย่างสงบแต่เฉียบขาด“ตอนนี้ ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น”ประโยคนั้น...เหมือนดาบฟันลงกลางเวทีสนทนา ทุกเสียงในห้องเงียบลงทันที ดวงตาของกุ้ยเฟยที่เคยมั่นคงสั่นไหววูบหนึ่ง จี้เหวินเองก็ชะงักนิ่งไปเช่นกันไทเฮาทรงทอดพระเนตรรอบห้องอีกครั้ง ดวงเนตรคมเฉียบของพระนางกวาดผ่านทุกคนราวจะเจาะทะลุเสื้อผ้าและเกราะป้องกันในจิตใจ แล้วตรัสช้าๆ ชัดทุกถ้อยคำ“เรื่องความรักของผู้ใดกับผู้ใด…ข้ามิใช่คนใส่ใจ” พระนางทอดพระเนตรไปทางกุ้ยเฟยชวีหยาอีกครั้ง“สิ่งที่ข้าต้องการรู้…คือเหตุใดเจ้าจึงกล้าใช้สิทธิ์ที่เจ้ามิได้ครอบครอง กล้าทำเกินอำนาจโดยไม่สนว่าอยู่ภายใต้คำสั่งใคร ข้าเตือนเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ให้ล้ำเส้น...แต่เจ้ากลับทำซ้ำอีก ทั้งยังพยายามโยงความหึงหวงมาเป็นข้ออ้าง เห็นตนเป็นหญิงสูงศักดิ์แล้วจะจับใครเล่นงานตามอำเภอใจได้กระนั้นหรือ”น้ำเสียงไทเฮาเยือกเย็นแต่เฉือนลึกยิ่งกว่ามีด“เจ้าเป็นถึงธิดาขุนนางใหญ่เก่าแก่ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดว่าธรรมเนียมคืออะไร สิทธิ์อันใดคือของใคร หรือว่าเจ้าคิดว่า...หากเจ้าขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อไร เจ้าก็จะมีสิทธิ์เหยียบหัวทุกคนในวัง”
ไทเฮามีพระบัญชาให้จัดการสอบสวนอย่างเร่งด่วน โดยเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าสอบถามต่อหน้าพระพักตร์ ทั้งหมดถูกเชิญเข้ามาในห้องสอบสวนอย่างเงียบเชียบ ไม่มีบุคคลภายนอก ไม่มีองครักษ์เฝ้าประตู มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นแกนกลางของเรื่อง“เรื่องในนี้ห้ามแพร่งพรายปิดประตูทุกบานไล่คนไม่เกี่ยวข้องออกไป”บัญชาจากไทเฮาถึงจะพยายามไม่ให้ชื่อเสียงของซวีหยามัวหมอง หากแต่การกระทำแบบนี้นั้นก็ไม่ต่างจากการตบหน้ากุ้ยเฟยซวีหยาในห้องใหญ่แห่งพระตำหนักกลาง บรรยากาศเยือกเย็น ไทเฮานั่งบนบัลลังก์สูงสุด ดวงตาคมกริบจับจ้องมายังกุ้ยเฟยชวีหยาที่ยืนนิ่งด้วยสายตาเคร่งเครียด ท่าทางเกร็งจนแทบขยับไม่ได้ ด้านข้างยังมีฮ่องเต้หยางลี่ใบหน้าผ่อนคลายแต่แฝงความเด็ดขาด ส่วนองค์ชายรองอวี่หรงยืนอยู่ใกล้ๆ รับฟังอย่างเงียบเชียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆไทเฮาผลักพัดอย่างเบาๆ เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ“ข้าต้องการฟังจากปากของพวกเจ้าโดยตรง… ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้ยินมาว่าสองสามวันนี้พวกเจ้าที่เอาแต่เล่นสนุกไม่เคยเห็นหัวข้า”สายพระเนตรมองตรงไปยังเซียหยาเป็นคนแรก“นางในฝึกหัดนางนั้นเจ้าพูดมา”เซียหยาซึ่งคุกเข่าอยู่ขยับก
เสี่ยวหนี่แทบลืมหายใจ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ขาแทบไร้แรง แต่สุดท้ายก็ฝืนก้าวออกวิ่งไปยังเรือนในด้วยฝีเท้าสะเปะสะปะ บานประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างของโจวหลิวเยว่เอนพิงหมอนข้างเรียบง่าย ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วหน้าผาก สายตาพร่ามัว แต่ทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดคลุมฝุ่นก้าวเข้ามา ใบหน้าอ่อนแรงนั้นกลับแย้มยิ้ม“...หนี่เอ๋อร์...ลูกพ่อกลับมาแล้ว...” เสียงแหบพร่าเปล่งออกเบาๆ ทว่าทุกถ้อยคำชัดเจน“ท่านพ่อ...” เสี่ยวหนี่ทรุดเข่าลงข้างเตียง ดวงตาแดงก่ำก่อนจะพรั่งพรูด้วยหยาดน้ำตา นางจับมือของพ่อเอาไว้ มือที่เคยอบอุ่นมั่นคง ตอนนี้กลับเย็นชืดและเบาจนแทบไม่มีแรงบีบตอบ โจวหลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ ยิ้มให้เสี่ยวหนี่ทั้งที่แทบลืมตาไม่ขึ้น “ดีแล้ว...กลับมาทันเห็นหน้ากันอีกครั้ง...ไม่ต้องห่วงอะไร พ่อ...ไว้ใจเจ้า หนี่เอ๋อร์คือความภูมิใจที่สุดของพ่อ...”“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ พักก่อน… ลูกจะหาท่านหมอที่ดีที่สุดสำหรับท่านพ่อ” เสี่ยวหนี่สะอื้นพึมพำ เอาผ้าชุบน้ำซับเหงื่อให้พลางกุมมือนั้นแน่น สะเทือนใจจนเสียงสั่นไม่เป็นคำ แต่โจวหลิวเยว่กลับยิ้มจางๆ ดวงตาพร่าที่เคยอ่อนโยนยิ่งนักมองบุตรสาวด้วยความรักยิ่ง “บ้า
บานประตูเปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างสูงของโจวชัวก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ด้านข้างคือองค์หญิงสิบสี่อันหรูในอาภรณ์สีชมพูอ่อนงามละมุน ทั้งคู่ต่างคารวะพร้อมเพรียง“กระหม่อมขอถวายพระพรฝ่าบาท”โจวชัวประสานมือนอบน้อม “หม่อมฉันอันหรู ขอถวายพระพรเพคะ” อันหรูเหลือบตามองตงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหยางลี่พยักหน้ารับ“มาเถิด มีเรื่องอันใดหรือถึงได้พร้อมใจกันมาเข้าเฝ้าเช่นนี้”น้ำเสียงอ่อนโยนถึงแม้จะกำลังเศร้าสร้อยอยู่ก็ตามโจวชัวขยับกายก้าวออกมานิดหนึ่ง สายตาแน่วแน่ ริมฝีปากขยับเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “กระหม่อมมาในฐานะว่าที่ไท่จื่อแห่งแคว้นซีเป่ย ขอพระบรมราชานุญาตและพระเมตตาจากฝ่าบาท ขอทัพสนับสนุนจากเมืองหลวงหนึ่งกอง เพื่อประกันความสงบในพิธีแต่งตั้งตำแหน่งไท่จือของข้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ“เหตุใดจึงต้องขอกองทัพพิทักษ์งานแต่งตั้งของท่านเล่าไท่จือ ท่านคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำเรื่องอุกอาจในวันพิธี แล้วขอทัพของเราไปเพื่ออะไรกัน”อันหรูก้าวออกมาครึ่งก้าว เสียงของนางดังขึ้นอย่างมั่นใจแต่เปี่ยมด้วยกิริยางาม“พี่ใหญ่เพคะ..ไท่จือไม่กล้าพูดเรื่องนี้ในงานรื่นเริงของเรา น้องถามไ