ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา
“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก
“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล
“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”
“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”
“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”
“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”
“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”
“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับ
อินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็กที่เธอสะพายติดตัวมาด้วย
“เสี่ยวติง! ฉันเป็นห่วงเสียวมี่ เราจะพาไปด้วยดีไหม?”
“ข้าน้อยก็เป็นห่วง อยากพาไปด้วยขอรับ ถ้าทิ้งเอาไว้ คงไม่รอดมือไอ้แก่ตัณหากลับนั่นแน่นอน แต่ก็กังวลว่าจะดูแลทั้งสองคนไม่ไหว”
“ไม่ต้องห่วงฉัน นายดูแลเสียวมี่ ฉันดูแลตัวเองได้!”
“งั้นท่านเยว่รอที่นี่ก่อน ข้าน้อยจะลอบไปหาเสียวมี่ และหาชุดดำมาให้ท่านเปลี่ยนด้วย”
“ได้ๆ! ไปเถอะ”
“ระวังตัวด้วยนะท่าน ข้าน้อยเห็นพวกมันเพิ่มเวรยามทางเข้าหน้าห้องท่านมากกว่าเดิม”
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้”
ขณะที่กำลังรอเสี่ยวติงกลับมานั้น มีสาวใช้มาเคาะประตูเรียกอยู่หน้าห้อง
“มีอะไรรึ? นี่มันดึกแล้วนะ”
“เอ่อ..ข้าน้อยมาสอบถาม เผื่อว่าท่านเยว่ต้องการอะไรเพิ่มคืนนี้”
“ไม่ล่ะ ไปนอนเถอะ สักพักก็จะดับไฟนอนแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้เดินมาถึงทางเข้าหน้าห้องพัก ซึ่งมีหัวหน้าหมู่บ้านยืนกุมมือไพล่หลังรออยู่ เมื่อเห็นสาวใช้เดินเข้ามาก็รีบเอ่ยปากถาม
“ว่าไง?”
“ยังอยู่เจ้าค่ะ บอกว่าจะดับไฟนอนแล้ว” นางย่อตัวทำความเคารพ หลังจากท่านหงส์สะบัดมือให้ไปได้
คืนนี้พักผ่อนเสียให้พอแล้วกัน หงส์จิ่วคิดในใจ ยังไงก็ไม่รอดมือเขาไปได้ เขาเอานิ้วมือลูบขอบปากอย่างอารมณ์ดี พลันรู้สึกเสียวแปลบจากปลายแก่นกาย วิ่งแล่นวูบวาบไปทั่วหน้าท้อง เมื่อจินตนาการถึงใบหน้าเคลิ้มพิศวาส เรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้น และหน้าอกเต่งตึงของสาวน้อยที่อยู่ในห้องพัก ความกระสันพุ่งขึ้นแรง จนเขาต้องกัดฟัน
“บอกให้พวกมันเฝ้าเอาไว้ให้ดี แล้วให้คนที่เหลือออกตามล่าไอ้องค์ชายนั่นให้เจอ!” เขาสั่งกับลูกน้องคนสนิทก่อนจะเดินจากไป
…………………………..
อินทุภารีบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนกฮูกร้อง แล้วรีบไปเคาะหน้าต่าง หยางติงค่อยๆ แง้มหน้าต่างและส่งชุดสีดำมาให้
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าน้อยจะเฝ้าอยู่ข้างนอก”
อินทุภาคว้าชุดมาอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนชุดอย่างว่องไว เธอพับชุดเดิมให้เล็กที่สุด แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้า ก่อนจะค่อยๆ ปีนข้ามบานหน้าต่างออกไปด้านนอก
หยางติงพาลัดเลาะตามพงหญ้ารกสูงริมกำแพง แฝงตัวกลมกลืนไปตามเงามืด จนมาถึงโพรงรูเล็กๆ ข้างกำแพง ที่ถูกปกคลุมด้วยหญ้า เพื่อปิดบังสายตาจากด้านนอก
อินทุภานอนหงาย เท้ายันพื้น ค่อยๆ ไถตัวออกไปอีกฝั่งหนึ่งของโพรง ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งเมื่อมีมือสอดรั้งใต้รักแร้ แล้วดึงเธอออกจากโพรงอย่างรวดเร็ว
“เสียวมี่! ทำฉันตกใจหมดเลย”
“เสี่ยวติง! มาเร็ว!” อินทุภากับเสียวมี่ค่อยๆ ดึงต้นแขนของเขาคนละข้าง หลังจากเห็นเขาไถออกมาจากโพรงได้ครึ่งตัว
เขาลุกขึ้นยืนได้โดยไม่พูดอะไร พยักหน้าให้เดินตาม สองสาวจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างกระชั้นชิด
“เราจะไปทางปกติไม่ได้ อาจจะมีพวกมันดักซุ่มอยู่ เราต้องเดินลัดป่าออกไปประมาณสามชั่วยาม จนถึงเนินเขาโล่งแถบตะวันออก ทางนั้นข้าน้อยเตรียมผูกม้ารอไว้แล้ว” อินทุภาพยักหน้ารับรู้
เดินกันมาพักใหญ่ก็พ้นออกนอกแนวป่า จนถึงเนินเขาโล่งกว้าง มีม้าสองตัวผูกไว้ใกล้แท่นหินขนาดใหญ่ อินทุภาบอกให้เสียวมี่ไปกับหยางติง เพราะเขาจะได้คอยป้องกันเผื่อมีอันตราย
หยางติงกับเสียวมี่ขึ้นม้าเรียบร้อย อินทุภาจับสายบังเหียรไว้กระชับมือ เท้าเหยียบบังโคลนเตรียมจะเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า แต่ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำมาล็อกคอเธอไว้จากด้านหลัง หยางติงทำท่าจะโจนลงจากหลังม้า แต่ชายคนนั้นตวาดเสียงลั่นให้หยุด
“หยุด! แล้วลงมาทั้งสองคน ไม่งั้นอีนี่คอหักตาย!”
อินทุภาจับแขนบริเวณข้อศอกของมันไว้อย่างแน่นหนา เพื่อควบคุมไม่ให้แขนที่ล็อกคอไว้แน่นเกินไป ยันเท้าไว้กับพื้น เอนตัวไปทางด้านหลัง แล้วดึงแขนของมันลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับย่อเข่าลงพื้น จนมันเสียหลักและล้มลงหงายท้อง แขนที่ล็อกคอไว้หลุดออกในพริบตา
มันรีบพลิกตัวหวังจะลุกขึ้น แต่ปฏิกิริยาของอินทุภาไวกว่า กระโดดตัวลอยวาดขาขวาขึ้นสูง แล้วฟาดหน้าเท้าเข้าที่กกหูซ้ายอย่างหนักหน่วง แรงกระแทกส่งให้ผ้าที่ปิดปากมันไว้หลุดติดปลายเท้าออกไปด้วย
ยังไม่ทันให้มันได้ตั้งหลัก เธอใช้มือซ้ายยันพื้นเป็นแกน เหวี่ยงขาขวาเตะเข้าที่ใต้พับเข่าอย่างแม่นยำ เข่ามันพับทรุดลงทันที
หญิงสาวเคลื่อนไหวต่อเนื่อง บิดตัวเข้าซ้ำ ศอกขวางัดเสยเข้าที่ปลายคางจนหัวมันแหงนเงย ก่อนจะเด้งกลับมาตั้งตรง เธอฉวยโอกาสนั้น เหยียบลงบนขาข้างหนึ่งของมัน เพื่อสร้างแรงส่ง กระโดดขึ้นแล้วใช้เท้าอีกข้างยันไหล่เป็นฐาน
ร่างบอบบางดีดลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะย่อเข่า โถมแรงศอกทั้งสองข้าง กระแทกลงกลางกระหม่อมของมันเต็มแรง
เท้าแตะพื้นไม่ทันไร สันมือเล็กแต่แข็งแรงก็ฟาดเข้าที่กกหูทั้งสองข้างพร้อมกัน แรงกระแทกอย่างหนักหน่วงทำให้มันมึนงง ร่างใหญ่เซโงนเงน เลือดไหลซึมออกจากจมูกข้างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ล้ม
อย่างนี้ต้องซ้ำ!!
อินทุภาเบี่ยงตัว กระโดดหมุนตัวกลางอากาศ ปลายเท้าขวาหวดเข้าเต็มแรงที่ขมับ แล้วต่อเนื่องด้วยหลังเท้าซ้ายกระแทกเข้าที่ปลายคาง
ร่างของมันหมุนควงตามแรงเตะ เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น ลงไปนอนแผ่หราราวกับคนสิ้นสติ หญิงสาวถอยออกมาตั้งการ์ด เพื่อเตรียมพร้อม เผื่อมันยังดิ้นรนลุกขึ้นมาได้อีก
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วชั่วพริบตา หยางติงกับเสียวมี่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนตัวเล็กบางอย่างอินทุภา จะล้มชายฉกรรจ์ที่ตัวสูงใหญ่กว่าตัวเองได้
“เอ้า! แมลงบินเข้าปากไปแล้วนั่น!”
“ท่านเยว่! ที่ท่านบอกว่าดูแลตัวเองได้ ข้าน้อยก็ไม่คิดว่า จะได้ถึงขนาดนี้! เชื่อแล้วขอรับ!”
“เรารีบไปกันเถอะ!” อินทุภาโดดขึ้นม้าอย่างว่องไว
………………………....
"สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?" หยางติงเอ่ยถามทันทีที่ก้าวลงจากหลังม้า ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ เห็นทหารสองสามนายเฝ้าอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ซึ่งยังคงนอนไม่ได้สติ
"หน่วยลาดตระเวนรายงานว่า พบกลุ่มคนชุดดำราวสามสิบคน กำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้ พวกเราต้องรีบพาท่านอ๋อง ออกไปก่อนที่พวกมันจะหาเจอ!" นายทหารที่สวมชุดเกราะรายงานเสียงเครียด
"เรามีทหารคุ้มกันกี่นาย?" อินทุภาหันไปถามหยางติง
"เพียงสิบคนเท่านั้นขอรับ ที่เหลือคงกำลังตามหาพวกเราอยู่" อินทุภานิ่ง สมองกำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยเสียงหนักแน่น
"ขอผ้าชุบน้ำ!"
นายทหารรีบส่งให้ เธอรับมาแล้วค่อยๆ ลูบใบหน้า ลำคอ และแขนของท่านอ๋องอย่างเบามือ ขณะที่ปากก็พูดไปด้วย
"ถึงแม้ท่านอ๋องจะฟื้นขึ้นมา แต่ในสภาพนี้ ก็ไม่ต่างจากคนป่วยเท่าไหร่นัก เราต้องทำให้พระองค์คืนสติให้เร็วที่สุด"
เธอวางนิ้วโป้งลงตรงกลางหว่างคิ้ว กดค้างไว้นับสามสิบวินาที ก่อนจะเลื่อนลงมากดบริเวณร่องใต้จมูก จุดนี้... ซุนจ่งซานเคยสอนไว้ว่าเป็นจุดสำคัญที่สุด สามารถปลุกคนที่หมดสติให้ฟื้นคืนได้อย่างปาฏิหาริย์ อินทุภาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกลุ้นไปกับประสบการณ์ใหม่ ที่เพิ่งจะเคยทดลองเป็นครั้งแรก
สาธุ!! ขอให้ได้ผลทีเถอะ!
แล้วก็เป็นดังคำที่ซุนจ่งซานได้พูดไว้ หยางหมิงอวี้ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง
“เป่า..เปา” เสียงของเขาเบาและแหบแห้ง
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันอยู่นี่!” เธอเอาผ้าลูบหน้าเขาอีกครั้ง เพื่อเร่งให้ตาสว่างขึ้น
“เป่าเปา เจ้าจริงๆหรือ?”
เขาพูดพลางยกมือจับมืออินทุภาที่กำลังเอาผ้าลูบที่ใบหน้าอยู่ แล้วเลื่อนมือจะไปจับที่หน้าผากตรงแถวไรผม ที่มีแผลที่กระแทกกับพื้น เป็นรอยบวมนูนๆ
“อย่าจับเพคะ! เดี๋ยวโดนแผล ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว แต่เรากำลังจะเตรียมเคลื่อนย้ายก่อนพวกมันจะหาเราเจอ ฝ่าบาทพอจะทรงตัวได้หรือไม่เพคะ?”
หยางหมิงอวี้ พยายามทรงตัวนั่ง โดยมีอินทุภาและหยางติงประคองคนละข้าง หยางติงส่งกระบอกน้ำให้อินทุภา เธอค่อยๆ ประคองยกให้เขาดื่ม
“ยังงงอยู่นิดๆ ขอเวลาสักพัก คงพอจะเดินได้”
“เสี่ยวติงไปหาฟาง กิ่งไม้ใบหญ้าอะไรก็ได้ มาให้ได้เท่าขนาดตัวของท่านอ๋อง เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะเอาหุ่นผูกหลังล่อพวกมันให้ไล่ตามไป ส่วนอีกกลุ่มจะพาท่านอ๋องหนีไปอีกทาง” หยางติงเมื่อได้รับคำสั่ง ก็ผลุนพลันออกไปทันที
อินทุภาไม่รอช้า รีบถอดผ้าคลุมและเสื้อตัวนอกของท่านอ๋องออก
ถึงแม้หยางหมิงอวี้จะยังมึนงงอยู่ แต่ก็มองเธอด้วยแววตาขบขัน ปล่อยให้เธอจัดการถอดเสื้อผ้าของเขา โดยไม่กระดากอายสายตาคนรอบข้าง
คนที่อยู่ในถ้ำต่างหันหลังให้ เพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะถอดเสื้อผ้าไปถึงชั้นไหน
“เป็นสาวเป็นนาง จับผู้ชายถอดเสื้อผ้าก็ได้หรือ? ใจกล้าเกินไปแล้วนะ” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วระโหยดูอ่อนล้า
“แหม ฝ่าบาท! อย่าล้อให้หม่อมฉันรู้สึกอายเลยเพคะ จะใช้คนอื่นทำก็คงไม่ทันใจ หม่อมฉันลงมือเองเร็วกว่า” เธอพูดไปด้วย มือก็ทำงานไม่หยุด
“เรียบร้อยแล้ว! ฝ่าบาทใส่แค่ตัวในก็พอ หม่อมฉันต้องเอาเสื้อไปทำหุ่นปลอม” เธอพูดจบก็ถอดเสื้อคลุมสีดำของตัวเองออกมาให้เขาสวมทับชุดบางสีขาว
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น