“โอ้โห ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ” ลี่อินตื่นตาตื่นใจกับงานเทศกาลลีชุน(เทศกาลตรุษจีน)ที่ถูกจัดขึ้นในครานี้ ท้องถนนเต็มไปด้วยห้างร้านที่ประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนต่างออกจากเรือนมาเลือกซื้อสิ่งของจำเป็น สกุลลู่เองก็เช่นกัน ลู่หวังเหล่ยพาฮูหยินของตนและบ่าวรับใช้ออกมาเลือกซื้อของใช้จำเป็นที่จะใช้เฉลิมฉลองเทศกาลลีชุน รวมถึงพาบุตรทั้งสี่มาเปิดร้านการละเล่นโยนห่วง
“หึๆ มาทางนี้เถิด พ่อให้คนของเรามาจับจองที่ตั้งร้านให้พวกเจ้าแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งดีทีเดียว ผู้คนที่เดินเข้ามาซื้อของในตลาดย่อมต้องผ่านร้านการละเล่นของพวกเจ้า” ลู่หวังเหล่ยอุ้มเยว่ชิงเดินนำภรรยาและบุตรไปบริเวณที่ว่าทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าบ่าวในเรือนได้ตั้งร้านให้เรียบร้อยแล้ว เยว่ชิงมองดูร้านของตนเองแล้วพอใจไม่น้อย ร้านที่ว่าดูเหมือนจะเป็นแผงขายเล็กๆ ตัวร้านเป็นทรงสี่เหลี่ยม ใช้แผ่นไม้กั้นรอบทั้งสี่ด้าน แต่แผ่นไม้กั้นสูงเพียงสี่ฉื่อ (ประมาณ 1 เมตร) ทั้งยังมีทางออกอยู่ด้านหลัง ส่วนพื้นที่ตรงกลางถูกเว้นว่างไว้สำหรับตั้งหุ่นไม้ที่พี่น้องสกุลลู่เตรียมมา
“ดียิ่งขอรับท่านพ่อ มีไม้กั้นเช่นนี้ผู้คนจะได้ไม่เข้าใกล้เกินตำแหน่งที่เรากำหนดให้เขายืน” เฉินกงเดินสำรวจจนพอใจ ก็เริ่มจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ เยว่ชิงรับหน้าที่เก็บเงินและเรียกลูกค้าหน้าร้าน เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องสาว ทุกคนจึงคิดว่าผู้ที่เดินผ่านไปมาย่อมให้ความสนใจ เด็กน้อยวัยสามหนาวสะพายตะกร้าเก็บเงินที่บ่าวในเรือนสานไว้ ร่างเล็กขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าร้านรอเรียกลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมา
“พ่อจะพามารดาของเจ้าไปซื้อของใช้ พวกเจ้าอยู่ทางนี้มีสิ่งใดก็ให้บ่าวไปแจ้งพ่อ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ ท่านพ่อมิต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลน้องๆ ให้ดี” เฉินกงรับปากบิดาอย่างหนักแน่น
“ดีๆ พวกเจ้าเองก็เชื่อฟังพี่ใหญ่ของพวกเจ้าด้วย พ่อจะให้แม่นมลี่อยู่ช่วยทางนี้”
“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เฉินกงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้น้องๆ อยู่ประจำตำแหน่งทันที เยว่ชิงที่บัดนี้ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้เริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ โยนห่วงสนุกๆ เพียงห่วงยะ 2 อีแปะเท่านั้น ได้ของยางวัลติดมือกลับไปด้วยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กตะโกนร้องเรียกลูกค้าไปทั่ว แม่นมลี่เองก็ยืนกำกับคุณหนูของนางไม่ห่าง คอยระมัดระวังไม่ให้เยว่ชิงตกเก้าอี้
“นั่นร้านขายอันใดหรือเจ้าคะ เด็กน้อยผู้นั้นน่าเอ็นดูเหลือเกิน”
“นั่นสิ ลองเข้าไปดูดีหรือไม่”
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในร้านการละเล่นโยนห่วงของพี่น้องสกุลลู่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างอยากลองเล่นโยนห่วงดูบ้าง เดิมทีพี่น้องสกุลลู่คิดว่าจะมีเพียงเด็กที่สนใจ แต่ทว่ามิได้เป็นเช่นนั้น ผู้ใหญ่บางคนเองก็อยากละเล่นเพื่อวัดความแม่นยำในการโยนห่วงของตนเอง โดยมิได้สนใจว่าของรางวัลที่พี่น้องสกุลลู่เตรียมไว้นั้นเป็นของรางวัลสำหรับเด็ก
“เจ้ามาแข่งกับข้า ว่าใครจะโยนได้แม่นยำกว่ากัน ผู้ใดพ่ายแพ้ต้องจ่ายเป็นสุราหนึ่งไห” กลุ่มชายหนุ่มห้าคนที่ดูท่าแล้วจะเป็นสหายกัน ก็เข้ามาวัดความแม่นยำ ทั้งยังมีการเดิมพันกันเกิดขึ้น ได้ยินเช่นนั้นเยว่ชิงที่ยืนอยู่หน้าร้านถึงกับยิ้มกริ่ม หากเดิมพันกันเช่นนี้นางต้องได้เงินจากชายหนุ่มกลุ่มนี้มากทีเดียว
“เอากี่ห่วงดีเจ้าคะ หากเดิมพันสูงเช่นนี้ คนยะสิบห่วงดีหรือไม่เจ้าคะ” เยว่ชิงส่งยิ้มหวานไปให้เหล่าชายหนุ่มที่มาละเล่นโยนห่วง
คนละสิบห่วงไปเลย เชื่อข้า เชื่อข้า! คึๆ
“น่าเอ็นดูเสียจริง ตัวเท่านี้รู้จักทำมาหากินแล้ว เอามาให้ข้าสิบห่วง”
“พวกข้าก็ด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ คนยะยี่สิบอีแปะเจ้าค่ะพี่ชาย” เยว่ชิงแบมือเล็กๆ ไปรับเอาเงินจากชายหนุ่มทั้งห้าคน เมื่อนับดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงพยักหน้าให้ลี่อินนำห่วงมาให้ลูกค้า ชายหนุ่มกลุ่มนี้ต่างสนุกเฮฮา จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองร้านการละเล่นของพี่น้องสกุลลู่มากขึ้น ถึงขนาดมีผู้คนมาต่อแถวเพื่อรอละเล่นโยนห่วงกันยาวเหยียด ของรางวัลที่เตรียมมาลดลงไปสี่ส่วน เพราะหลายคนก็ไม่สามารถโยนห่วงให้ครอบหุ่นไม้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ แต่บางคนก็ทำได้ดีจนได้รางวัลกันไปมากทีเดียว
“เห้ออออ เหนื่อยเหลือเกิน ขาข้าแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว” หมิงยู่นอนแผ่ไปบนพื้นศาลา วันนี้พวกเขาไปตั้งร้านกันตั้งแต่เช้า กว่าจะปิดร้านก็มืดค่ำเสียแล้ว จึงได้เหนื่อยล้ากันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กน้อยวัยสามหนาวอย่างเยว่ชิง ที่บัดนี้นอนนิ่งแทบไม่กระดิก แต่อ้อมแขนน้อยๆ ก็ยังกอดตะกร้าเงินไว้แน่น มูมู่ที่รอนายของมันอยู่บ้านทั้งวัน ก็เข้ามาออดอ้อนนอนอยู่ข้างเยว่ชิง ผู้ใดได้เห็นก็คงอดยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูมิได้
“หึๆ เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยลองเชิงบุตรทั้งสี่ของตน ดูจากท่าทีของบุตรแล้ว แม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็มีความมุ่งมั่นไม่น้อย
“ไปขอรับ! เพียงแค่เหนื่อย นอนพักก็หายแล้ว ใช่หรือไม่น้องพี่”
“ใช่!” เด็กๆ ที่นอนอยู่ต่างดีดตัวขึ้นมาชูกำปั้นกันอย่างหนักแน่น
“เช่นนั้นก็นำเงินมานับเถิด จะได้มีกำลังใจและมีแรงมากขึ้น” เยว่ชิงได้ยินมารดาพูดเช่นนั้นก็รีบนำเงินออกมาจากตะกร้า นำเหรียญอีแปะมากมายมากองรวมกัน
“มีทางนี้อีกตะกร้าเจ้าค่ะ” แม่นมลี่หยิบตะกร้าเงินออกมาอีก เพราะเงินที่ได้จากการตั้งร้านในวันนี้มีมาก แม่นมลี่จึงต้องเปลี่ยนตะกร้าเงินที่เต็มออก แล้วให้เยว่ชิงสะพายตะกร้าใบใหม่แทน
“นี่ นี่เยอะถึงเพียงนี้เลยหรือ” ลู่หวังเหล่ยมิได้ไปอยู่เฝ้าตอนที่บุตรตั้งร้าน จึงไม่รู้ว่ามีผู้คนเข้ามาละเล่นโยนห่วงมากน้อยเพียงใด ทั้งเดิมทีเขามิได้คาดหวังว่าการตั้งร้านการละเล่นจะสร้างเงินทองได้ พอเห็นจำนวนเงินจึงตกตะลึงไม่น้อย
“ข้าจะนับแล้วนะขอรับ” เฉินกงรับหน้าที่ในการนับจำนวนเงินที่อยู่ตรงหน้า จากหลักสิบ สู่หลักร้อย และ…
“นะ หนึ่งพันกับอีกห้าสิบอีแปะ” สิ้นเสียงของเฉินกง ทุกคนที่อยู่บนศาลาต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ซูเมิ่งที่มักมีกริยาเรียบร้อยยังอ้าปากค้าง
“เยอะมากทีเดียว ฮ่าๆ ลูกพ่อเก่งกาจกันทุกคน พ่อเป็นขุนนางขั้นห้า ยังได้เบี้ยหวัดเพียงหนาวละห้าตำลึงทอง หรือก็เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเงิน แต่พวกเจ้าใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ช่วยกันหาเงินได้ถึงหนึ่งตำลึงเงินกับอีกห้าสิบอีแปะ ฮ่าๆ” เฉินกง หมิงยู่ ลี่อัน และเยว่ชิงได้ยินบิดาเอ่ยดังนั้นก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ยิ่งเห็นเงินที่หาได้ ยิ่งทำให้สี่พี่น้องมีแรงขึ้นมาทันตา เด็กๆ พากันเข้านอนเพื่อพักผ่อนและออกไปตั้งร้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
งานเทศกาลลีชุนจัดขึ้นเพียงสิบห้าวัน ดังนั้นจะต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า สี่พี่น้องสกุลลู่ตั้งใจไว้ว่า ในสิบห้าวันนี้ พวกเขาจะต้องเก็บเงินให้ได้สิบห้าตำลึงเงิน จำนวนเงินอาจจะดูมากเกินไป แต่การตั้งเป้าหมายไว้สูง ย่อมทำให้เรามีความพยายามมากขึ้น ทั้งสี่คนรวมถึงบ่าวในเรือนและมูมู่ต่างมาช่วยกันจัดข้าวของอย่างขยันขันแข็ง เยว่ซิงสะพายตะกร้าเก็บเงินเรียบร้อยแล้วจึงไปยืนประจำตำแหน่งทันที มือข้างหนึ่งจับตะกร้า มืออีกข้างก็จับสายคล้องคอมูมู่ที่ถูกจับใส่ผ้าคลุมเพื่ออำพรางตัวตน เพราะหากผู้อื่นรู้ว่ามูมู่เป็นลูกเสือคงจะตกใจกลัวไม่น้อย ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้เริ่มเรียกลูกค้า กลับมีเรื่องชวนปวดหัวเกิดขึ้น…
“ตรงนี้เป็นที่ของข้า! พวกเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาตั้งร้านตรงนี้”
“เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็
“ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย
“อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี
“ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร
กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง
“โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร