หลังจากอยู่ที่โรงพยาบาลมาถึงสองเดือน เฝือกที่แขนและที่ขาก็ถูกถอดออกแต่ยังต้องใส่อุปกรณ์พยุงข้อเท้าไว้ พอนฤดลฝึกเดินด้วยไม้เท้าคล่อง หมอก็อนุญาตให้เขากลับบ้านได้ แต่แทนที่เขาจะกลับบ้านชายหนุ่มกลับตรงไปประชุมที่บริษัทก่อน ทำให้มีนาก็ต้องตามไปรอที่บริษัทด้วยเพราะหมอกำชับกับเธอมาว่าต้องคอยระวังไม่ให้ชายหนุ่มลงน้ำหนักที่เท้าซ้าย หญิงสาวจึงตามติดเขาตลอดเพราะกลัวเขาจะเผลอลงน้ำหนัก
กว่านฤดลจะประชุมเสร็จมีนาก็นั่งสัปหงกไปแล้วหลายรอบ
“มีนา” เสียงทุ้มเรียกคนที่กำลังหลับฝันดีอยู่บนโซฟา
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เสร็จแล้ว ดูท่าทางเธอจะง่วงมากเลยนะ ฉันบอกให้ไปรอที่บ้านก็ไม่เชื่อ”
“ก็มีนามีหน้าที่ดูคุณดลจนกว่าจะหายสนิทนี่คะ แล้วคุณดลจะกลับบ้านเลยไหมหรือไปไหนต่อคะ”
“ก็ต้องรีบกลับบ้านสิ ตอนนี้ฉันหิวมากคิดถึงกับข้าวฝีมือป้าแขด้วย”
“เดินไหวไหมคะ” เพราะดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ชินกับไม้เท้าสักเท่าไหร่เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่พอเสนอให้ใช้รถเข็นนั่งชายหนุ่มก็ไม่ยอม
“ไหวสิ แต่อาจช้าหน่อย มีนาเอาไอแพดกับแฟ้มที่วางบนโต๊ะมาด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” มีนารวบแฟ้มที่วางบนโต๊ะและไอแพดมากอดไว้จากนั้นก็รีบเดินนำหน้าเขาไปเปิดลิฟต์โดยมีสายตาของพนักงานหลานคนมองตามด้วยความสงสัย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในบริษัทกับเขา แต่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมาบ้างแต่ส่วนใหญ่จะไปที่ห้องของคุณดลฤดีมากกว่า
“มีนา อยากเปลี่ยนใจมาเป็นเลขาฉันไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ มีนาอยากเป็นครู” หญิงสาวตอบขณะกดปิดลิฟต์
“แล้วจะเป็นครูที่โรงเรียนฉันหรือจะไปสอบเป็นข้าราชการล่ะ”
“มีนายังไม่รู้เลยค่ะ”
“ถึงจะได้ทุนเรียนแต่เราก็ไม่ได้บังคับนะว่าจะต้องกลับมาสอนที่โรงเรียนของเรา รุ่นก่อนๆ ที่ได้ทุนก็ไปสอบเป็นข้าราชการตั้งหลายคน แต่ก็มีบางคนที่เลือกจะทำงานที่โรงเรียนเลย”
“เหลืออีกสองปีนะคะ มีนาถึงจะเรียนจบนะคะ เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดก็ได้นี่คะ”
“แต่ก็เธอก็ต้องวางแผน ถ้าคิดว่าจะสอบก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ รู้ไหม”
“ค่ะคุณดล”
ทั้งสองคนคุยกันตั้งใจในลิฟต์จนกระทั่งเดินออกมาที่ประตูทางออกซึ่งตอนนี้น้าชัยขับรถมารออยู่แล้ว
นฤดลมาถึงบ้านหลังใหญ่ทันเวลาอาหารเย็นพอดี เขาทานอาหารกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน ส่วนมีนานั้นไปทานกับเด็กรับใช้คนอื่นในครัว
“มีนา พี่จะแนะนำให้มีนารู้จักนะ นี่พงษ์สามีพี่ คงเคยเจอกันมาบ้างแล้ว”
“สวัสดีค่ะพี่พงษ์ มีนาเคยเจอหลายครั้งแล้วค่ะ แต่ไม่เคยได้คุยกันเลย”
“สวัสดีจ้ะมีนา” สมพงษ์ทักทาย เขาเคยไปที่ร้านของมีนากับชบาอยู่หลายครั้งก็เลยคุ้นหน้าอยู่บ้าง
“ส่วนคนนี้ชื่อส้มโอ น่าจะอายุเท่ากับมีนา แล้วก็สุดท้ายชื่อพี่รัตน์จ้ะ”
“สวัสดีค่ะพี่รัตน์ สวัสดีจ้ะส้มโอ มีนาขอฝากตัวด้วยนะ”
“มีนาจะมาอยู่กับพวกเราที่นี่เหรอ”
“ค่ะพี่รัตน์ มีนาจะดูแลคุณดลและก็ช่วยงานบ้านที่นี่จ้ะ” มีนาบอกไปตามความเข้าใจของตน
“มีนาเข้าใจผิดแล้ว คุณผู้หญิงบอกว่ามีนาจะมาดูแลคุณดลกับช่วยงานเอกสารคุณผู้หญิงกับคุณฤดีนะ ไม่ได้มาทำงานบ้าน”
“งานพวกนั้นคงไม่เยอะหรอกมั้งคะ มีนาอยากช่วย หรือจะให้มีนาช่วยป้าแขทำครัวก็ได้นะ”
“อย่าเพิ่งคิดเลยว่าจะช่วยอะไรกันบ้าง เดี๋ยวกินข้าวเสร็จคุณท่านเรียกพวกเราทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องรับแขก” ป้าแขที่เดินเข้ามาทีหลังบอกกับทุกคน ก่อนที่เธอจะมานั่งทาอาหารเย็นด้วย
หลังเจ้านายทานอาหารอิ่มแล้วทุกคนก็ช่วยกันเก็บกวาดก่อนจะมารวมตัวกันที่ห้องรับแขกโดยมีสมาชิกในบ้านอยู่กันครบ
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาวันนี้ก็อยากจะบอกทุกคนว่าจากนี้มีคุณดลลูกชายฉันจะกลับมาอยู่ที่บ้านหลังเล็ก ฉันสั่งห้ามใครเข้าไปวุ่นวายที่นั่นยกเว้นว่าเจ้าของบ้านจะอนุญาต” คุณดวงกมลบอกกับทุกคนเพราะรู้นิสัยของลูกชายตนเองดี
“แล้วใครจะทำความสะอาดล่ะคะ”
“มีนาเองค่ะ”
“มีนาจะทำความสะอาดเฉพาะวันที่คุณดลอยู่บ้าน แต่ถ้าวันไหนต้องออกไปข้างนอกก็จะให้ส้มโอกับรัตน์เข้าไปทำนะ”
“ค่ะคุณฤดี”
“มีนาจะพักที่นี่กับเรานานไหมคะ” ส้มโอถามเพราะเห็นว่าหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้
“ก็คงนานพอสมควร”
“ให้มีนานอนกับส้มโอก็ได้นะคะ”
“มีนาจะนอนที่บ้านหลังเล็กกับคุณดล เพราะยังต้องทำแผลและดูแลคุณดลจนกว่าจะหายดี เอาล่ะ คืนนี้ดึกแล้วแยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว”
“ค่ะคุณผู้หญิง”
คนอื่นต่างพากันออกไปจากห้องรับแขก ตอนนี้จึงเหลือแค่สมาชิกในครอบครัวและมีนาที่นั่งอยู่บนพื้นพรม
“มีนา ป้ารับมีนาเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะลูกหลาน ถ้ามีใครทำให้อึดอัดใจ ไม่สบายใจก็บอก อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกนะ มีนาต้องไปนอนที่บ้านหลังเล็กกับคุณดลสองคน คิดว่าตัวเองอยู่ได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ลูกชายลุงอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง บางครั้งก็อาจพูดจาไม่เข้าหู หนูก็อย่าถือสาเลยนะ”
“ค่ะคุณลุง”
“พ่อมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วครับ ผมอยู่โรงพยาบาลกับมีนามาสองเดือนผมยังไม่เคยดุมีนาสักครั้ง ไม่เชื่อคุณพ่อก็ลองถามเธอดูสิ”
“ว่าไงมีนา เขาดุเธอบ้างไหม”
“ไม่นะคะ คุณดลไม่เคยดุมีนาเลยค่ะ แต่ชอบทำหน้าบึ้งแล้วก็ชอบดุเลขาเวลาที่เธอเอางานให้ช้าค่ะ” พ่อบิดาของชายหนุ่มเปิดโอกาสหญิงสาวก็เลยรีบฟ้องเพราะเธอสงสารที่เลขาของเขามักจะโดนดุอยู่บ่อยครั้ง
“เรื่องนั้นลุงรู้อยู่แล้วล่ะ คุณนุชเธอก็ชินแล้ว” บิดาของชายหนุ่มหมายถึงปรียานุชซึ่งทำงานเป็นเลขาของนฤดลมานานหลายปี
“ไม่โดนดุก็ดีแล้วนะมีนา แต่ถ้าเขาดุ เวลาที่มีนาทำแผลให้เขามีนาก็เอาคืนได้นะ ป้าไม่ว่าหรอก”
“แม่ครับให้ท้ายกันอย่างนี้ถ้าเกิดมีนาแค้นแล้วทำแผลผมแรงๆ ขึ้นมาล่ะ แผลผมก็ไม่หายสักที”
“พูดถึงแผล พี่ว่าจะถามดลอยู่เหมือนกันว่าสนใจอยากจะปลูกถ่ายผิวหนังไหม” ธนวัฒน์ถามน้องชายของภรรยา
“ไม่ละครับพี่วัฒน์ แผลมันอยู่ข้างในมีใครเห็นหรอก”
“มันก็จริงนะ แผลอยู่ข้างใน แต่ไม่กลัวว่าสาวๆ จะเห็นแล้วตกใจกลัวเหรอครับ”
“คงไม่หรอกมั้งครับ มีนายังไม่กลัวเลย จริงไหมมีนา” เขาหันมาถามเพราะมีนาเป็นคนที่เห็นแผลของเขามากกว่าใคร อาจจะมากกว่าตัวเอาเองด้วยซ้ำ
“ตอนแรกมีนาก็กลัวนะนะ แต่ไม่ได้กลัวแผล แต่กลัวคุณดลจะเจ็บมากกว่า แผลมันใหญ่และก็ใช้เวลาทำนานมาก”
“แต่มีนาก็เก่งนะทำแผลคล่องแล้ว พยาบาลยังชมให้ป้าฟังเลย”
“แม่ครับ นั้นมันตอนหลังๆ นี่ครับ วันแรกที่ทำ มือสั่นเหงื่อตก ปกติพยาบาลทำก็ไม่เกินยี่สิบนาที แต่มีนาทำเกือบชั่วโมง”
“ก็มีนากลัวคุณดลเจ็บ” หญิงสาวเถียง
“ป้าว่าลูกชายป้าคงด้านชาไปแล้วล่ะ ต่อไปมีนาไม่ต้องเบามือนะ”
“ไม่ดีมั้งครับแม่ อีกนิดเดียวแผลก็จะหายสนิทแล้ว ถ้าทำแรงแผลอักเสบขึ้นมาจะยุ่งเอานะครับ” นฤดลรีบหาเหตุผลมาอ้างเพราะกลัวว่ามีนาจะทำอย่างที่มารดาแนะนำจริงๆ
คุยกันอีกไม่นานทุกคนแยกย้ายกันขึ้นห้อง ส่วนมีนาก็พานฤดลเดินมายังบ้านหลังเล็กทางด้านหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้มีนาก็เอาของใช้ส่วนตัวจากบ้านมาเก็บไว้ที่นี่บ้างแล้ว
“ไม่ค่ะ ยังไงพิมพ์ก็ไม่หย่า”“แต่ผมไม่อยากยื้ออีกต่อไปแล้วนะ คุณไม่มีความสุข ผมก็ไม่มีความสุข”“คุณจะรีบหย่าแล้วไปหาเด็กนั่นเหรอคะ เราคุยกันแล้วนี่ดลว่าเราจะแต่งงานกันสองปี ถึงตอนนั้นคุณค่อยมาคุยเรื่องหย่าดีกว่าไหมคะ”“ถ้าคุณไม่ยอมหย่าผมจะฟ้องหย่า”“คิดดีแล้วเหรอคะดล คุณจะเอาความสุขส่วนตัวมาแลกกับชื่อเสียงของครอบครัวเหรอคะ”“คุณคงคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าแต่บางครั้งไพ่มันก็เปลี่ยนได้นะพิมพ์”“หมายความว่ายังไงคะ”“ผมมีหลักฐานที่จะฟ้องหย่าคุณได้ ถ้าคุณไม่ยอมจบแบบเงียบๆ”“ถ้าคุณคิดว่ามันคุ้มกับชื่อเสียงก็เอาสิคะ ถ้าคุณฟ้องหย่าพิมพ์ก็จะบอกเรื่องของคุณให้ทุกคนรู้ พิมพ์คงได้รับความเห็นใจมากๆ ใครจะคิดล่ะคะว่าคุณนฤดลที่แสนจะเพอร์เฟกต์จะมีอีหนูซ่อนไว้”“เรื่องแบบนี้ผู้ชายก็มีกันทั้งนั้น แต่ถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณก็หนีสามีไปแต่งงานละ มันจะน่าสนใจกว่าไหม”“ดลหมายถึงอะไร” พิมพ์ปภัสเริ่มร้อนตัว“เรื่องที่คุณพาผู้ชายเข้ามาที่บ้าน ผมไม่ว่าอะไรเลยเพราะมันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ที่คุณควงกันไปเที่ยวต่างประเทศแล้วไปแต่งงานที่นู่น คุณคิดเหรอว่ามันเป็นความลับ”“ดลพูดเรื่องอะไรคะ” พิมพ์ปภัสคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจ
ดลฤดีกลับมาถึงเมืองไทยก็รีบเข้าไปคุยเรื่องสำคัญกับมารดาทันทีโดยที่ยังไม่ทันจะเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บ“เรื่องด่วนอะไรกันหรือว่ามีนาเป็นอะไร” คุณดวงกมลถามลูกสาวขณะที่ถูกเร่งให้เดินเข้ามาในห้องทำงานของบิดาซึ่งตอนนี้เจ้าของห้องนั้นไปรดน้ำกล้วยไม้อยู่ที่เรือนเพาะชำ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมีนาค่ะ มีนาสบายดีทุกอย่างไม่มีปัญหา”“แล้วมันเรื่องด่วนอะไรกันล่ะ”“แม่นั่งก่อนนะคะ”พอให้มารดานั่งและหายาดมมาไว้ใกล้ตัวแล้วก็รีบเล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอมา ทั้งเรื่องที่โรงแรมและเรื่องที่ร้านอาหารในเวกัส“ตาฝาดไปหรือเปล่าลูก เมื่อวานแม่ยังคุยกับน้องอยู่เลย น้องบอกว่าออกมาทานข้าวกับเมียเขา”“แต่ฤดีมีรูปนะคะ นี่ค่ะ” เธอส่งทั้งรูปทั้งคลิปให้มารดาดูซึ่งทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ก็ชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พิมพ์ปภัส“แม่ไม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยัยไง ตอนแต่งงานก็เห็นว่ารักกันดี นี่ลูกชายแม่กำลังโดนหลอกใช่ไหม” หญิงสูงวัยถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า“ฤดีว่าแม่ลองเรียกน้องเข้ามาที่บ้านดีไหม”“แม่ไม่อยากเห็นน้องต้องเสียใจอีกเลย เวรกรรมอะไรกันนะถึงได้มาเจอเรื่องแบบนี้”“แม่ไม่อยากให้น้องรู
มีนาเดินทางมาถึงอเมริกาได้หลายวันแล้ว หญิงสาวเข้าพักที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภาษา ส่วนดลฤดีนั้นพักที่โรงแรมใกล้ๆ เพราะอยากให้มีนาลองใช้ชีวิตคนเดียวระหว่างนี้เธอกับสามีก็ไปดูงานที่โรงเรียนซึ่งใช้เป็นต้นแบบในการจัดการเรียนการสอน ก่อนที่จะพากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ“พี่วัฒน์คะ”“ครับ”“ฤดีว่าเห็นคนรู้จักนะคะ แต่พี่อย่าเพิ่งหันไปนะคะ นั่งนิ่งๆ ก่อนเดี๋ยวเขาจะรู้ตัวค่ะ”“ให้พี่นั่งนิ่งแล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนรู้จักของเราไหม” ธนวัฒน์ถามภรรยาอย่างไม่เข้าใจ เพราะถ้าเขาไม่หันไปดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนที่ตนเองรู้จักไหม“เชื่อฤดีนะคะ นั่งอยู่แบบนี้ก่อน” ดลฤดีบอกสามีจากนั้นเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นเหมือนกำลังถ่ายรูปของธนวัฒน์ แต่ทว่าเธอกำลังซูมกล้องไปไกลกว่านั้นหญิงสาวนึกขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สามารถซูมได้มากจนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่เธอเห็นนั้นใช่คนที่เธอรู้จักไหมดลฤดีกดถ่ายรูป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายวิดีโอจนกระทั่งเธอคนนั้นเดินหายเข้าไปในลิฟต์“พี่วัฒน์ดูนี่นะคะ” เธอส่งโทรศัพท์ให้สามีดูภาพที่ตนเองถ่ายไว้“นี่มันน้องพิมพ์นี่ครับ ผมไม่รู้เลยว่าเธอมาเที่ยว
นฤดลแอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาอยากคุยกับเธอแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เขาคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมานานเกินครึ่งปีนั้นจะทำให้ความรู้สึกที่มีต่อมีนาลดน้อยลงแต่มันกลับตรงกันข้ามเพราะเขายังรักและคิดถึงเธออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อลองเปรียบเทียบกับครั้งที่ตัวเองตามหาพิมพ์ปภัสไม่เจอมันต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่ตนเองแต่งงานไปแล้วและควรมีความสุขกับคนรักที่รอคอย แต่ในทุกๆ วันในใจของเขายังคงนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองมีความสุขกับมีนาอยู่ตลอด“พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนมีนารอก่อนนะ”“ค่ะพี่ฤดี” มีนานั่งรอดลฤดีที่ห้องรับแขกขณะที่คนอื่นก็ต่างก็กลับห้องของตัวเองไปกันหมดแล้ว“มีนาสบายดีไหม” ในที่สุดเขาก็เปิดปากถาม“ค่ะ คุณดลล่ะคะ”“พี่สบายดี” เขายังแทนตัวเองเหมือนเดิมขณะที่อีกคนนั้นเปลี่ยนสรรพนามไป“แม่บอกว่าปิดเทอมใหญ่มีนาจะไปเรียนภาษาเหรอ” เขาพยายามจะชวนเธอคุย อย่างน้อยตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านของตนเองมันไม่ได้น่าเกลียดอะไรถ้าจะพูดคุยกันบ้าง“ค่ะ”“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ”“ขอบคุณค่ะ”“มีนายังโกรธพี่อยู่เหรอ”“เปล่าค่ะ”“แต่เหมือนมีนาไม่อยากคุยกับพี่เลยนะ” เพราะการถามคำตอบคำแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของหญิงสาวท
ทางด้านมีนาที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจใครอื่น แม้จะมีคนเข้ามาจีบแต่มีนาก็ปิดตายหัวใจ เธอทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักและวางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบจะเข้าไปช่วยคุณดลฤดีทำงานที่โรงเรียน ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนที่นฤดลบริหาร แต่หญิงสาวก็ไม่คิดเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานในเมื่ออีกคนแต่งงานไปแล้วเรื่องราวของเธอกับเขาก็จบลงไปด้วย ไม่มีการติดต่อไม่ว่าจะทางโทรศัพท์ทางไลน์หรือทางข้อความ เขาและเธอทำเหมือนอยู่กันคนละโลก แม้จะเจอกันก็แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้นใช่ว่ามีนาจะไม่เสียใจที่ถูกเขาหลอก แต่ชีวิตของเธอจะต้องก้าวไปข้างหน้าต่อ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับเรื่องราวที่ผิดหวังในอดีตเธอก็คงหาความสุขให้กับตนเองไม่ได้ แม้จะรักเขามากแค่ไหน แต่ถ้ามันเจ็บเธอก็ต้องยอมตัดใจ หญิงสาวคิดได้แล้วว่าการอยู่โดยไม่มีคนรักมันไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิดมีนายังคงไปมาหาสู่ที่บ้านหลังนั้นอยู่ตลอด เพราะเธอรักและเคารพทุกคนที่นั่น อีกอย่างตอนนี้นฤดลก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับภรรยาแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้เจอเขาบ่อยนัก“เรื่องฝึกงานมีนาตัดสินใจหรือยังว่าจะฝึกที่ไหน อาจารย์ว่ายังไงบ้าง” ดลฤดีถามขณ
งานแต่งงานของนฤดลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมงานต่างพากันชื่นชมเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก “ดลคะ ยิ้มหน่อยสิคะ แขกมากันเยอะแล้วนะ” พิมพ์ปภัสบอกเจ้าบ่าวที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง “ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อผมอยากยิ้ม คุณอย่ามาบังคับผม แค่เรื่องแต่งงานมันก็มากเกินไปแล้ว” “แต่วันนี้วันแต่งงานของเรานะคะ” “ผมว่ามันเป็นงานของคุณคนเดียวต่างหากล่ะ” นฤดลพูดพลางทำหน้าเบื่อโลกยิ่งกว่าเดิม “ดลคะ เราแต่งงานกันแล้วนะ พิมพ์ว่าดลเลิกคิดที่จะกลับไปหาเด็กมีนานั่นได้แล้ว” “ผมไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้น ผมก็แค่เบื่อที่จะต้องปั้นหน้าว่ามีความสุข” ที่เขาทำหน้าเบื่อก็เพราะไม่คิดว่างานแต่งของตนจะจัดใหญ่แบบนี้ “อดทนอีกนิดสิคะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าหอแล้ว พิมพ์รับรองว่าดลจะมีความสุขและลืมผู้หญิงทุกคนอย่างแน่นอน” พิมพ์ปภัสกล่าวอย่างมั่นใจ เธอจะต้องทำให้นฤดลลืมผู้หญิงที่ชื่อมีนาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถึงกำหนดที่เขากับเธอตกลงกันไว้ “ผมบอกเหรอครับว่าจะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณ” “ดลค่ะ คุณเป็นผู้ชายนะ จะอดทนได้แค่ไหนกั