“เจ้าเงียบเช่นนี้ เจ้าจงใจล่วงเกินข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่เอ่ยปากแก้ต่าง หญิงสาวยิ่งหวีดร้องอย่างมีโทสะ ซึ่งชายหนุ่มเอง ก็ทำได้เพียงถอนหายใจหนักๆ เมื่อตอนนี้ห่างออกไปไม่ไกล ด้านหลังของหญิงสาว มีคนจำนวนไม่น้อย ยืนฟังทุกอย่างด้วยใบหน้าตื่นตะลึง รวมถึงพ่อแม่ของเขาด้วยเช่นกัน
ตอนนี้จากเรื่องที่ควรเงียบหายไป มันกลับกลายมาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากขึ้นมาทันที เพราะเสียงเล็กแหลมของนาง ที่ด่าทอเขามิหยุดปากนี่อย่างไรเล่า
ชายหนุ่มมองไปยังกลุ่มแขกในงาน ที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวอีกครั้ง พลันก็สบเข้ากับดวงตาเศร้าหมองของสตรีนางหนึ่ง หญิงสาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นอกจากหมุนกายเดินจากไปเงียบๆ แผ่นหลังที่เหยียดตรงของนาง เคลื่อนห่างไกลออกไป ราวกับทั้งชีวิตของเขา มิอาจเอื้อมถึงนางได้อีกแล้ว
“ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า เจ้าคนชั่วช้า!” หญิงสาวยังคงแหวถามเสียงดังใส่ชายหนุ่มตรงหน้า
“เพราะปากของเจ้าอย่างไรเล่า ทำให้เรื่องมันยุ่งยากเยี่ยงนี้จนได้”
“อะไร!”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวหันขวับกลับไปทันที ก่อนที่ดวงตาของนางจะเบิกกว้าง ด้วยความตื่นตกใจอย่างสุดขีด จนแข่งขาอ่อนแรงแทบทรุดลงเสียให้ได้ เช่นนั้นเมื่อครู่...ทุกคำพูดของนาง ทุกคนล้วนได้ยินมันอย่างชัดเจน
ต่อให้ไม่มีคนเห็น ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและนาง แต่ทุกคำของนางมันก็ชัดเจน ว่าเขาได้แตะต้องตัวนาง หญิงสาวเริ่มน้ำตาคลอหน่วย ไม่นะ! นางคือบุตรสาวฉีโหวผู้ยิ่งใหญ่ จะมาถูกบีบบังคับเรื่องคู่ครองได้อย่างไรกัน นางมีชายที่รักหมายปองกันอยู่แล้ว
“เอ่อ...ข้าแค่...แค่เข้าใจผิดต่อกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดที่ติดขัดและเบา เสียจนคนฟังแทบไม่ได้ยิน ทำให้ผู้ที่ผ่านร้อนหนาวมาไม่น้อย ต่างเข้าใจตรงกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ระหว่างคู่หนุ่มสาว จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เกียรติของตระกูลจะถูกย่ำยีไม่ได้เป็นอันขาด
“หยางมู่เสวียน! เจ้ารู้ผิดหรือไม่!”
ท่านมหาเสนาบดี ถามบุตรชายเสียงกร้าว ตึก! ชายหนุ่มคุกเข่าลงในทันที แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดหลบสายตาของบิดา เพราะเรื่องนี้เขาผิดจริง ที่ตั้งใจปกป้องคนไม่รู้จัก จนเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น แต่สิ่งที่นางกำลังจะก้าวไปดูนั้น อาจทำให้ชีวิตของนางสิ้นสุด ก่อนเวลาอันควรได้เช่นกัน
“ข้ารู้ผิดขอรับ และยินดีที่จะแบกรับทุกความผิดไว้เองขอรับ”
ชายหนุ่มอืดอกรับอย่างผ่าเผย พร้อมยอมรับโทษแต่ผู้เดียว และนั่นทำให้ฉีฮูหยินถึงกับซวนเซ แทบจะสิ้นสติเสียให้ได้ เมื่อบุตรสาวคนโตของนาง ได้เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้น แม้จะเป็นการถูกเนื้อต้องตัวเพียงเล็กน้อย สำหรับบุตรสาวสกุลใหญ่แล้ว มันคือเรื่องที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง เพื่อรักษาชื่อเสียง
“ท่านโหว เรื่องนี้ข้าน้อยอยากทำให้ถูกต้องขอรับ”
ท่านมหาเสนาบดี หันไปเอ่ยกับท่านโหว ด้วยน้ำเสียงเยี่ยงคนนอบน้อง เพื่อไม่ให้เกิดความหมางใจกัน เขาต้องแสดงความรับผิดชอบ ในสิ่งที่บุตรชายกระทำ
หากอีกฝ่ายจะไม่ตอบรับ ก็ต้องฝั่งนั้นเอ่ยปากด้วยตนเอง มิใช่เขาที่จะเป็นคนหักหน้า หาไม่แล้วคงไม่พ้นการถูกครหา ไหนจะความบาดหมางที่อาจหยั่งรากลึก จนเป็นความยุ่งยากในภายหน้า
ท่านโหวเองก็ทำสีหน้าลำบากใจ หากปฏิเสธ...ชื่อเสียงของบุตรสาว อาจเสียหายจนมีผลในอนาคต แต่หากจะตอบรับเสียในตอนนี้ บุตรสาวเองก็คงไม่พอใจเช่นกัน ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้เขา กลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งนัก
“ท่านพ่อ มันมิใช่อย่างที่ทุกคนคิดนะเจ้าคะ ขะ...ข้ากับเขาเพียงบังเอิญเท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดที่ยังคงกำกวม ทำให้สายตาของบรรดาฮูหยิน มองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มีมารดาของชายคนรัก แววตาที่มองมายังนาง มันเต็มไปด้วยความไม่ชื่นชมเช่นเมื่อก่อน ไยคนเราจึงใจคับแคบนักเล่า นี่ขนาดมิได้เห็นด้วยตา ยังสามารถตัดสินนางได้แล้วหรืออย่างไรกัน...
“ทุกคำเป็นเจ้าพูดออกมาเอง ผู้ใดในที่นี่ไม่ได้ยินบ้างเล่า ฉีเหนียงเหนียง”
ฉีเหนียงเหนียง มองไปยังมารดาของคนรัก อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมา แค่สายตานางยังพอปล่อยผ่านไปได้
แต่นี่คือคำพูดที่ตอกย้ำ เหมือนนางลักลอบทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม สาวใช้ของนางไปเอาน้ำให้นางเท่านั้น นางจึงได้เดินเล่นรอเพียงลำพัง และการพบกับบุตรชายสกุลหยาง ก็หาใช่ความตั้งใจของนางสักนิด
“เจ้าจะไม่เอ่ยสิ่งใดหน่อยหรือ หยางมู่เสวียน”
เป็นสตรีคนเดิมที่เพิ่งกล่าวหาหญิงสาว ได้เบนสายตาไปที่ชายหนุ่ม พร้อมตั้งคำถามด้วยน้ำเสียง ราวกับเขาคือผู้ร้ายในสายตานางและทุกคน
“เรื่องระหว่างครอบครัวของพวกข้า ยังไม่ถึงคราวที่หลงฮูหยินจะสอดมือ”
เป็นท่านมหาเสนาบดีที่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นการกระทำอันไร้มารยาท ของภรรยาขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง ที่อาจหาญใช้คำพูดกดหัวบุตรชายของเขา ต่อหน้าบิดาเยี่ยงเขา
“ท่านมหาเสนาบดี ภรรยาข้ามิรู้ความ โปรดอย่าได้ถือสาเลยขอรับ”
ใต้เท้าหลงรีบเข้ามารั้งภรรยา ให้ไปอยู่ด้านหลัง ก่อนจะประสานมือโค้งกายขออภัยต่อเจ้าบ้าน อนาคตของเขายังต้องพึ่งพาเหล่าขุนนางใหญ่อยู่ เขารู้ดีว่าสกุลฉีเวลานี้ กำลังถูกจับตามองจากราชสำนัก ภรรยาจึงคิดที่จะกีดกันมิให้บุตรชาย รักใคร่กับบุตรสาวสกุลฉี แต่การงัดข้อต่อสกุลหยาง ใช่เป็นความคิดที่ดีนัก!
“เรื่องในบ้านเจ้าก็อบรมกันเองให้ดี เรื่องของลูกข้ามิจำเป็นต้องให้คนนอกมาตัดสินใจ”
ท่านมหาเสนาบดี ยังคงแสดงถึงความมีน้ำใจอันกว้างขวาง แต่คงมีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่มองว่าเขามิได้ถือสา ทั้งที่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมา มันชัดเจนว่าสกุลหลง อาจจมหายไปจากสังคมของเหล่าขุนนาง เรียกได้ว่าไร้ความก้าวหน้าได้เลยทีเดียว
“ข้ายินดีรับผิดชอบต่อนางขอรับ”
หยางมู่เสวียน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น เขารู้ดีว่าคงยากที่จะมองข้ามเรื่องหยุมหยิมของสังคมได้ เขาที่เป็นชายนั้นไร้สิ่งที่ต้องมากังวล
แต่ฉีเหนียงเหนียง คงหมดโอกาสที่จะเป็นภรรยาเอกในสกุลใหญ่ นั่นหมายความว่านางในสกุลฉี จะกลายเป็นเพียงขยะไปโดยปริยาย ในเมื่อเขากระทำด้วยความคิดอันน้อยนิด ความผิดนี้เขาก็จะแบกมันไว้ไปชั่วชีวิตด้วยตนเอง
“ไม่!!”
ฉีเหนียงเหนียงปฏิเสธเสียงหลง ก่อนจะซวนเซสิ้นสติ ลงในอ้อมแขนของหยางมู่เสวียน ที่ขยับกายลุกขึ้นรับร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน จะรักหรือรู้จักมักคุ้นรึไม่ เวลานี้ก็ยากนักที่จะปฏิเสธการรับผิดชอบ ต่อชื่อเสียงของนางได้
“โกหก! ถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เจ้าจะไม่รู้ว่าเป็นตัวข้า”ลั่วเสียนจง ตวาดหลานชายเสียงลั่น เขาคิดว่าลงมือในวันนี้ ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ กับงานเลี้ยงรับขวัญหลานแฝด ของญาติผู้พี่ แต่ใครจะไปคิด ว่าลั่วเยี่ยนคัง จะอยู่ที่เมื่องหลวง และยังเฝ้ารอการมาของเขา โดยมีสาวใช้ตรงหน้าเป็นเหยื่อล่อ“หากข้ารู้ว่าเป็นท่านอา เชื่อเถอะ...ว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านอาต้องอับอาย แต่จะทำให้ทุกอย่างเงียบประหนึ่งไร้เรื่องราวใดๆ”ทุกคำล้วนไม่ผิดจากที่เขาพูด หากเขารู้ตัวการก่อนหน้านี้ เขาจะทำให้สกุลลั่วไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน“เจ้ากล้ารึ!”ลั่วเสียนจง มีหรือจะไม่เข้าใจในความหมายของคำพูด นี่ลั่วเยี่ยนคังคิดว่าจะทำให้เขาตาย โดยไม่ต้องให้คนนอกรู้ ว่าเขาคิดร้ายต่อพี่น้องร่วมสายเลือด ช่างอำมหิตนัก!“แล้วทำไม...ข้าจะต้องไม่กล้าเล่าขอรับ”แม่ทัพหนุ่มยังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาจนยากแก้ไข ก็สมควรต้องสะสางให้หมดจด“อย่าเข้ามานะ! มิเช่นนั้นข้าจะสังหารนางซะ!”ลั่วเสียนจง เพิ่มแรงบีบที่ลำคอของฉู่ผิง เพื่อไม่ให้ลั่วเยี่ยนคังก้าวเข้ามาใกล้ตนเอง“ท่านอาลืมอะไรไปหรือไม่ขอรับ ว่าข้าคือทหาร เรื่องการต่อรอง ท่านอาย
ห้องขังด้านหลังเรือน ณ เรือนเยี่ยนคัง สาวใช้ฉู่ผิงยังคงถูกจองจำ หาได้รับอิสระหรือถูกสำเร็จโทษตายอย่างที่ควรจะเป็น นางดูอิดโรยจนใบหน้าซูบตอบไปไม่น้อยเลย เพราะนางมิเพียงกลายเป็นนักโทษ แต่นางยังรู้สึกตรอมใจกับชะตาของตนเองคนรักที่นางทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้แต่การทรยศต่อนายที่มอบชีวิตให้สุขสบาย ก็เพื่อเขาเพียงคนเดียว สุดท้ายกลับเป็นนางที่หลงมัวเมาไปกับคำลวงอยู่เพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวนอนสิ้นเรี่ยวแรง เหมือนผักที่เหี่ยวเฉา เยี่ยงต้นไม้ที่มิได้รดน้ำมานาน จนใกล้ตายเต็มทีแล้วแก๊ก! เสียงเหมือนกลอนประตู กำลังมีคนพยายามเปิดมันออก ฉู่ผิงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เพราะถ้าเป็นคนของท่านแม่ทัพ ย่อมเปิดประตูนี้ออกได้โดยง่ายดาย นางคือคนที่กุมความลับของผู้บงการ ย่อมถูกตามเก็บกวาดอยู่แล้ว แม้จะไม่รู้ถึงใบหน้า ของผู้นำใหญ่แต่ก็รู้ผู้เชื่อมต่อข่าวสารร่างที่ยังอ่อนแรงรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบคลานเข้าไปหลบยังมุมด้านในสุดของห้อง ด้วยอาการสั่นเทา แก๊ก! เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน เป็นการบอกได้ว่าแม่กุญแจถูกไขได้แล้ว แอ๊ด!! ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนจะมีร่างสูงของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามา แล้วประตูก็ปิดลง“เจ้ายังอยู
รถม้าวังหลวง ณ ตรอกข้างจวนแม่ทัพ ภายในรถม้าเมิ่งหยู๋เฟิง นั่งนิ่งสบกับดวงตาของขันทีเฒ่า ซึ่งตอนนี้ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้แก่ผู้เป็นนาย ด้วยเขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้น เยี่ยงไรต่อการถ่ายทอดคำสั่ง จากโอรสสวรรค์ โดยที่คนตรงหน้า ไม่หนีหายไปไกลตาอีก นี่หากว่าท่านแม่ทัพลั่วคังอันไม่แต่งงาน ทอรู้ว่าอีกนานแค่ไหน องค์รัชทายาทจะกลับเข้าเมืองหลวง รวมไปถึงพระสหายทั้งห้า ที่ล้วนเป็นทายาทสายหลักของสกุลใหญ่ เหตุผลที่ทั้งหมดไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในเมืองหลวง ก็เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ถึงแก่เวลาที่จะเผยตน “หน้าข้าตลกนักหรือ จึงมองแล้วยิ้มเยี่ยงนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยถามขันทีเฒ่า พร้อมเลิกคิ้วสูงอย่างมีคำถาม ทว่ามิได้จริงจังเท่าใดนักต่อคำถามที่เอ่ยออกไป กลับเป็นเสมือนการหยอกเย้าเสียมากกว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ารีบปฏิเสธในทันที “เขาบอกสิ่งใดท่านมาอีก”ชายหนุ่มเอ่ยถาม โดยที่ไม่เอ่ยชื่อของคนผู้นั้น ซึ่งเป็นที่รู้กันดีระหว่างนายบ่าว ว่าหมายถึงผู้ใด “ฝ่าบาททรงอยากให้พระองค์ เข้าวังไปเยี่ยมเยียนบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ารีบบอกตามคำที่
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า มิว่าเรื่องอันใด ข้าย่อมต้องออกหน้าปกป้องเจ้าอยู่แล้ว”ด้วยมิเคยอยู่ชิดใกล้กัน โดยที่เขาและนาง ไม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก หยางมู่เสวียนจึงไม่รู้ ว่าความอ่อนโยนเท่าที่เขาจะแสดงออกมาในตอนนี้นั้น จะทำให้สถาการณ์ ระหว่างเขากับนางในเวลานี้ จะแปรเปลี่ยนกลับไปคุกรุ่น เช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่ และคำตอบของเขามันยังคงเป็นทางการอยู่บ้าง เขาจึงไม่แน่ใจว่านางจะมองเห็น ในความอ่อนโยนนั้นบ้างหรือไม่“ข้า...”ฉีเหนียงเหนียง ที่ยังคงมีความขัดเขินเยี่ยงวัยสาว ทั้งที่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย นับตั้งแต่นางต้องแต่งงานกับสามี โดยไม่มีความรักต่อกัน ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกมัน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย“เจ้าเหนื่อยหรือยัง”เมื่อเห็นภรรยาอึกอัก ด้วยไม่รู้จะหาเรื่องไหนชวนนางคุย เขาจึงเลือกที่จะถามนาง ด้วยคำถามเท่าที่จะคิดออกได้ในตอนนี้“ไม่เท่าไหร่เจ้าค่ะ”ฉีเหนียงเหนียง ยังคงตอบสามีด้วยเสียงอู้อี้อยู่กับอกกว้าง ถาว่านางเหนื่อยกับงานเลี้ยงไหม นางก็อยากตอบไปตรงๆ ว่าเหนื่อยอยู่ไม่น้อย อาจเพราะไม่บ่อยครั้ง ที่นางจะออกงาน ด้วยสายตาของภรรยาขุนนางมากมาย มักมองนางด้วยความหยามหยัน ที่แต่ง
“สวะ! ที่ใดกัน! กล้ามาทำร้าย”หลงจ้าวอัน ตวาดเสียงกร้าว ก่อนที่แรงบีบนั้นจะมากขึ้น จนเขาต้องปล่อยมือจากอดีตคนรัก แม่ว่าจะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้สมดั่งใจหมับ! ฉีเหนียงเหนียง วิ่งเข้าสวมกอด คนที่มาช่วยนางด้วยอาการตื่นกลัว และนางก็ได้รับการกระชับกอดตอบรับ เพื่อให้นางอุ่นใจว่าตอนนี้ ปลอดภัยแล้วปึก! ตุบ! ร่างสูงของหลงจ้าวอัน ถูกผลักจนล้มลงหน้าคะมำกับพื้นหญ้าอย่างแรง ทำให้ปากของเขากระแทกเข้ากับหิน จนปากของเขาแตกเลือดอาบ“แก!!”พอหันกลับไปหมายจะด่าทอ คนที่ทำร้ายตนเอง นิ้วที่ชี้ตรงไปยังคนผู้นั้น ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นชัดต่อสายตาแล้ว ว่าคนผู้นั้นคือใคร!“เจ้าคิดจะทำสิ่งใดภรรยาข้าหรือ”น้ำเสียงว่าเย็นเยียบแล้ว ยังมิสู้แววตาที่เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันของคนพูด ส่วนฉีเหนียงเหนียงนั้น ยังคงซุกใบหน้าอยู่กับอกสามี มิคิดหันมองอดีตคนรักแม้แต่หางตา หากวันนี้สามีไม่มาช่วยเหลือ ชีวิตนางคงต้องแบกความอับยศไปทั้งชีวิตบทเรียนจากอดีต ทำให้นางรู้แล้วว่าการถูกตราหน้า ในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มันร้ายแรงแค่ไหน แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง ทั้งชีวิตของนางคงไร้แม้แต่ที่ให้ยืน“ข้ากับนาง ก็แค่รื้อฟื้นความหลัง”หลงจ้าว
“แค่คนเมาเจ้าค่ะ ท่านพี่เหยาเกอ อยากพักหรือไม่เจ้าคะ”หญิงสาวเกรงว่าเขาจะเบื่อ กับการที่ต้องนั่งอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ถ้าได้ออกไปสูดอากาศสักหน่อย ก็คงดีไม่น้อย”ชายหนุ่มตั้งใจที่จะชวนหญิงสาว ออกไปเดินเล่นกันเพียงลำพัง ด้วยไม่อยากให้นางดื่มอีกแล้ว ต่อให้นางจะคุ้นชินแค่ไหน กับสุรารสแรง แต่ก็ยังคงเป็นสตรีอยู่“เช่นนั้น เราออกไปเดินเล่นที่สวนกันเจ้าค่ะ”หญิงสาวได้ฝากน้องสาวทั้งสอง เอาไว้กับเหล่าสหาย พร้อมกำชับว่าห้ามกลั่นแกล้ง หรือคิดอื่นใดเป็นอันขาด ก่อนจะเข็นรถพาหยางเหยาเกอก้าวออกไปเสียงหัวเราะของเหล่าสหาย ที่ดังไล่หลังทั้งสองมา ทำให้แม่ทัพสาวได้แต่ส่ายหน้า เมื่อคำของนางเป็นเรื่องที่สหาย มักไม่ทำตามเสมอ เพราะนี่มิใช่กองทัพ ที่คำของนางหรือจะศักดิ์ ขนาดชี้เป็นชี้ตายกับใครได้ ยิ่งเรื่องเย้ากันแค่นี้ยิ่งไม่มีทาง ที่เหล่าสหายตัวร้ายจะใส่ใจทำตาม“ดูพวกเจ้าจะรักเจ้ามากนะ”หยางเหยาเกอเอ่ยขึ้น เมื่อทั้งคู่ห่างออกมาจากลานจัดเลี้ยงแล้ว“พวกเราเสมือนครอบครัวเจ้าค่ะ เบื้องหลังพวกข้าทุกคน มันเต็มไปอันตราย หากเราแตกแยกก็เท่ากับ เอาคอไปวางใต้คมดาบศัตรู แต่หาก