"เรียนนายหญิง มีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ"
"พบข้า ผู้ใดกัน?" หว่านหว่านแสดงสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่อาจไว้ใจผู้ใด นางพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงชั่วยาม ข้าวของกลับถูกเตรียมพร้อมเอาไว้จนเสร็จสรรพ แล้วในตอนนี้ยังมีคนมาหานางได้ถึงที่นี่อีก
"เป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายหญิงฝากคุณหนูไว้กับบ่าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ"
"ไม่เป็นไรหวาหวาไม่ใช่เด็กงอแง ข้าจะพานางไปด้วย" หว่านหว่านเอ่ยออกมาตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้นางหวาดระแวงและไม่กล้าฝากบุตรสาวไว้กับผู้ใด
"เจ้าค่ะ เชิญนายหญิงด้านนี้เจ้าค่ะ"
หว่านหว่านเดินเข้ามาในห้องรับรองเล็ก ที่มีเก้าอี้วางเอาไว้สองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะพบกับชายชราที่ดูท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพนางในทันที
"คารวะนายหญิง ข้าน้อยมีนามว่าไห่ลู่ เป็นพ่อบ้านในจวนของนายท่านเสิ่นขอรับ นายท่านกลัวว่านายหญิงจะหวาดระแวงจนกระทั่งไม่กล้าไว้ใจและอาจจะหนีไปแล้วได้รับอันตราย จึงได้ส่งข้าน้อยมาชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนขอรับ"
"เชิญท่านพ่อบ้านนั่งลงก่อนเถิด"
"ขอบคุณนายหญิง"
"แท้จริงแล้วนายท่านของพวกเจ้าคือใครกันแน่ หากว่าวันนี้ตัวข้าไม่ได้รับความกระจ่างชัดเห็นทีคงจะต้องปฏิเสธความช่วยเหลือแล้ว"
"นายหญิงอย่าพึ่งด่วนใจร้อนไปเลยขอรับ นายท่านของข้าน้อยมีนามว่า เสิ่นชิงหลวน เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านตระกูลเสิ่นแห่งเจียงหนาน ครั้งหนึ่งในตอนที่นายท่านผู้เฒ่ายังคงเป็นเพียงคุณชายที่ไม่ได้รับความสำคัญและบังเอิญได้รับความเดือดร้อนนั้นได้รับความช่วยเหลือจากนายท่านผู้เฒ่าเมิ่งขอรับ ในวันที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งจากไปนายท่านผู้เฒ่าของเราก็ยังเดินทางไปร่วมงานพิธี นายหญิงอาจจะจดจำไม่ได้แล้ว"
หว่านหว่านได้ยินคำอธิบายของชายชราตรงหน้าแม้จะยังไม่เชื่อถือเต็มสิบส่วน หากแต่ก็วางใจลงเล็กน้อย หากท่านปู่มีบุญคุณต่อพวกเขาจริงในยามที่นางตกยากเช่นนี้พวกเขายังกล้ายื่นมือมาช่วยเหลือก็นับว่ามีน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง ตัวนางเองมีฐานะค่อนข้างพิเศษ บุตรสาวของนางแม้ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของบิดาแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นท่านหญิงผู้หนึ่งของสกุลตู๋กู ที่ถูกตามล่าสังหารเช่นนี้หว่านหว่านเองก็ไม่แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วคนร้ายนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ ในนิยายเองก็ยังเขียนให้เป็นปริศนาหากแต่ทุกอย่างนั้นชี้เป้าไปที่ตู๋กูหรงเซ่อผู้เป็นสามี แต่หว่านหว่านกลับไม่คิดเช่นนั้น นางยังมีประโยชน์ต่อเขาและเขายังไม่ได้ความลับของตระกูลเมิ่งไปคนผู้นั้นจะไม่มีวันปล่อยให้นางตาย
ในนิยายนั้นยามที่ตู๋กูรั่วหวาสังหารเขา ชายหนุ่มทำเพียงปล่อยให้บุตรสาวสังหารเขาได้ตามใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องราวในนิยายเองก็ยังคงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง หว่านหว่านก็ยังแอบก่นด่าคนเขียนอยู่หลายครั้ง เพราะคนเขียนคงตั้งใจจะให้ผู้อ่านจินตนาการเอาตามใจชอบ แต่เรื่องแบบนี้จินตนาการไปก็มีแต่จะใส่ร้ายกันไปมาคิดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ถ้าได้กลับไปนะ! นางจะบุกไปชกหน้าคนเขียนสักตั้งโทษฐานเป็นคนไม่ชัดเจน
แต่ว่า... ดูเหมือนนางจะตายแล้วนี่นา แล้วจะกลับไปได้อย่างไรกัน
"นายท่านฝากกรรมสิทธิ์ที่ดินเรือนหลังนี้มาให้นายหญิงขอรับ ที่นี่ลงนามเป็นชื่อของท่าน นายท่านยังกล่าวอีกว่านายหญิงจะอยู่นานเท่าใดก็ได้ หากมีเรื่องเดือดร้อนสามารถให้จางเซียงอวี้ไปแจ้งข่าวที่จวนเสิ่นได้ตลอด ส่วนไห่หมัวมัวเป็นน้องสาวของข้าน้อยเอง นางไม่มีลูกหลานและเคยดูแลนายท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นคนที่ไว้ใจได้ ขอให้นายหญิงโปรดรับนางเอาไว้ด้วยเถิดขอรับ นายท่านจึงจะวางใจ" หว่านหว่านหันไปมองดูไห่หมัวมัวสาวใช้อาวุโสนางนี้หญิงสาวสังเกตมาได้พักใหญ่ ท่าทางซื่อสัตย์ไว้ใจได้อย่างที่กล่าวมาจริง ๆ
"เช่นนั้น ข้าต้องขอฝากคำขอบคุณไปถึงนายท่านของพวกเจ้าแล้ว"
"มิกล้า ๆ ขอเพียงนายหญิงยินดีรับสิ่งเหล่านี้ไว้ ข้าน้อยย่อมต้องกลับไปรายงานแก่นายท่านอย่างดีขอรับ"
"ขอบใจท่านพ่อบ้านมาก ส่วนไห่หมัวมัว... หากนางยินดีที่จะช่วยอยู่ดูแลหวาหวาของข้า ข้าก็ไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน"
"บ่าวยินดีเจ้าค่ะ" ไห่หมัวมัวเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาตลอดสามวันที่นายหญิงยังไม่ฟื้นนั้น นางดูแลคุณหนูรั่วหวาจนชินแล้วทั้งยังรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กน้อยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยพบเด็กผู้หญิงคนใดที่งดงามน่าเอ็นดูเท่าคุณหนูมาก่อน นางไม่มีลูกหลานหลังจากคุณชายเติบใหญ่ก็ยังไม่แต่งงาน ภายในจวนก็ไม่มีเด็กให้เลี้ยงดูทำให้นางใช้ชีวิตอย่างเหงา ๆ ไปวัน ๆ ได้มีโอกาสดูแลเด็กอีกครั้งหัวใจของนางก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยยิ่งนัก
"เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้าเช่นกันที่ยินดีจะอยู่ช่วยดูแลรั่วหวาของข้า" หว่านหว่านเอ่ยขอบคุณสาวใช้อาวุโสอย่างจริงใจ
"มิกล้าเจ้าค่ะ คุณหนูน่าเอ็นดูยิ่งเป็นบุญของบ่าวแล้วเจ้าค่ะ"
"ในวันพรุ่งนายท่านจะส่งสาวใช้มาอีกสองคนขอรับ จะได้ช่วยดูแลภายในเรือนและเอาไว้ให้นายหญิงเรียกใช้งานได้สะดวก"
"เช่นนั้นก็ขอบคุณนายท่านของพวกเจ้าอีกครั้ง"
"เช่นนั้นวันนี้ ข้าน้อยขอตัวลา"
"รบกวนไห่หมัวมัวไปส่งท่านพ่อบ้านด้วยเถิด" นางหันไปเอ่ยกับสาวใช้อาวุโส
"เจ้าค่ะ"
หว่านหว่านมองตามหลังคนทั้งสอง จนกระทั่งร่างของทั้งคู่เดินออกจากประตูเรือนไป ภายในใจของนางไม่อาจปล่อยวางได้เลยแม้แต่น้อยและไม่อาจกล่าวว่าสามารถเชื่อถืออีกฝ่ายได้อย่างเต็มปาก เพียงแต่ในตอนนี้นางยังไม่มีหนทางที่จะไปต่อยังคงต้องพึ่งพาอีกฝ่ายไปก่อน
หวาหวาเองก็ยังเล็กมากจริง ๆ ยังไม่พร้อมที่จะออกเดินทางไกล เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยไปอย่างนี้สักพัก รอจนกว่าทุกอย่างจะพร้อมแล้วค่อยว่ากันใหม่ ถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้ว่ามือสังหารเหล่านั้นจะตามมาพบนางอีกเมื่อใด หากพวกมันรู้ว่านางและบุตรสาวยังไม่ตายแล้วละก็ พวกมันจะต้องตามล่านางจนสุดหล้าฟ้าเขียวเป็นแน่
หลังจากนั้นจึงได้อุ้มบุตรสาวหายกลับเข้าไปยังห้องนอนของทั้งคู่ นางวางร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะสังเกตว่าบนร่างกายของบุตรสาวถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน คงเป็นฝีมือของไห่หมัวมัวที่ดูแลนางในขณะที่ร่างนี้ยังคงไม่ได้สติ หญิงสาวยกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายให้บุตรสาว
ใบหน้าที่งดงามนี้เมื่อเติบใหญ่จะต้องเป็นหญิงงามล่มเมืองผู้หนึ่งอย่างแน่นอน จะว่าไปแล้วร่างนี้ของนางแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสามีอยู่เลยแม้แต่น้อย นอกจากใบหน้าที่จดจำไม่ได้แล้วเพราะได้พบเพียงแค่ครู่เดียวในคืนแต่งงานก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้เวลาทั้งคืนกับเรือนร่างของนางท่ามกลางความมืด ภายหลังจากคืนนั้นนางก็ไม่ได้พบหน้าสามีอีกเลยมีเพียงคนของเขาเท่านั้นที่แวะเวียนมาส่งข่าวและของใช้
"สามีที่แม้แต่หน้าตาของอีกฝ่ายยังจำไม่ได้จะเรียกสามีได้อย่างไรกัน" หว่านหว่านพึมพำออกมาเบา ๆ ขณะที่นางกำลังจ้องมองใบหน้ากลมราวกับซาลาเปาของบุตรสาว ก็อดที่จะใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มนุ่ม ๆ ของนางไม่ได้ มือป้อม ๆ ปัดป่ายไปมาราวกับรำคาญที่ถูกกวนใจแล้วหลับต่อได้อย่างหน้าตาเฉย
นางช่างมีความสามารถพิเศษในการนอนยิ่งนัก!
ก่อนจะผละร่างออกมานั่งอยู่ที่ตั่งยาวริมหน้าต่าง หญิงสาวลองเปิดดูถุงผ้าที่ได้รับจากไห่หมัวมัว ภายในถุงผ้ามีกำไลและหยกเนื้อดีถึงสองชิ้น หว่านหว่านพลันนึกได้ว่าสิ่งนี้คือกุญแจที่ไขความลับของตระกูลเมิ่ง แต่นางไม่รู้ว่ามันใช้งานอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าในนิยายเขียนเอาไว้ว่าผู้ที่สามารถเปิดใช้งานได้ต้องเป็นทายาทตระกูลเมิ่งที่แท้จริงเท่านั้น แต่นางเป็นเพียงวิญญาณที่มาอาศัยร่างของเมิ่งจิ่วซือจะสามารถใช้งานมันได้หรือไม่นะ?
ในขณะที่หญิงสาวเกิดคำถามบางอย่างในใจ อยู่ ๆ ก็เกิดแสงสีขาวรอบ ๆ ตัวของนาง หว่านหว่านรู้สึกแสบตาจนต้องยกฝ่ามือของตนเองขึ้นมาบัง ไม่นานแสงสีขาวนั้นก็หายไป พร้อมกับบรรยากาศรอบข้างที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน นางลืมตาขึ้นดูก็ต้องรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากจนแทบตกตะลึง นอกจากนางที่ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายแล้วยังมีเรื่องอะไรให้ต้องแปลกประหลาดใจมากเท่านี้อีกหรือไม่ เรื่องนั้นก็ว่ามากแล้วแต่ภาพตรงหน้าของนางนี่ทำเอาพูดไม่ออกจริง ๆ
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ