เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงง ครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วย
คราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว
“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง
“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น
“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”
เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงที่กำลังจะก้าวเข้าไปใจกลางลานกลับหยุดชะงักเพราะพลังมารขวางเอาไว้ แววตาข่มขู่ของกงจื่อเย่ราวกับจะบอกไม่ให้ผู้ใดเข้ามายุ่ง
“อย่าเข้ามาแส่” น้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ฝ่ายตรงข้ามแทบหยุดหายใจเพราะขนาดถูกพลังเทพฉีกทึ้งยื้อหยุดกับร่างมาร กงจื่อเย่แทบไม่สะทกสะท้านอันใดสร้างความหวาดกลัวยิ่งนัก
“ปล่อยข้า” สวีลู่ชิงสั่งคนตรงหน้า “เจ้าอย่าคิดว่าจะทำอันใดตามใจตัวเองได้”
“เยว่ชิง เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าแก่นวิญญาณของเจ้ากำลังเกิดรอยร้าว ไม่มีทางรับอสนีบาตได้อีก” ดวงตาสีม่วงแดงจ้องใบหน้าคุ้นเคยไม่วางตา
“หากต้องการให้ข้าตายนัก ย่อมมีวิธีอีกมากมาย เหตุใดต้องสละตัวเองเช่นนี้”
“เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องทำอันใด” นางถามสิ่งที่สงสัยอย่างตรงไปตรงมา สองมือยังคงพยายามผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยพลังเทพของนาง
“ข้ารู้...” เขาเอ่ยตามความจริง
“รู้แล้วแต่ก็ยังมาขวางทางข้าอยู่อีกหรือ” นางนิ่วหน้าร่ายพลังสายสีขาวจากฝ่ามือ “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
กงจื่อเย่ส่ายหน้าปฏิเสธกอดนางแน่นกว่าเดิม แม้จะถูกพลังเทพเซียนเชือดเฉือนร่างกายเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ทั้งยังร่ายพลังมารที่มากขึ้นกว่าเดิมบีบให้สวรรค์พิโรธจนสายฟ้ากระหน่ำลงมาไม่ขาดช่วง
อสนีบาตฟาดผ่านร่างจอมมารครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพทุกอย่างในเวลานี้ราวกับเขากำลังจะฆ่าตัวตายอย่างไรอย่างนั้น แต่เทพดารารู้ดีว่าทำเช่นนี้ไปจอมมารอาจจะหายไปได้จริง แต่วันหนึ่งข้างหน้าแม้จะไม่ใช่ช่วงร้อยปีพันปี มารตนนี้คงจะฟื้นคืนมาอย่างแน่นอน
กระนั้น ความคิดของนางกลับสับสนว่าถ้าหากเขารู้แล้วว่าแผนการของนางคืออะไร เหตุใดจึงไม่คิดทำลายเมล็ดพันธุ์นั้นไปแต่กลับมานั่งรับทัณฑ์สวรรค์แทนนาง
แม้ว่าสายฟ้าจะผ่าลงมาสิบครั้งแล้ว แต่นางไม่ได้ยินเสียงร้องของจอมมารสักนิดเดียว ทว่า กลิ่นคาวเลือดกลับคลุ้งเข้ม ร่างกายผู้ที่กอดนางเอาไว้สั่นเทาเล็กน้อย
มือเล็ก ๆ สองข้างของเทพดาราที่พยายามผลักเขาออกไปจึงหยุดชั่วคราวพลางเอื้อมแตะแผ่นหลังของจอมมารด้วยความสงสัยก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างนั้นมีแต่แผลเหวอะและโลหิตแดงฉานกำลังไหลริน
หากนางยังดื้อดึงรับสายฟ้าแต่เพียงผู้เดียว สภาพคงไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นสิ่งที่นางต้องทำจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทว่า เวลานี้นางกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย คนที่โอบกอดนางไว้ต่างหากกำลังอดทนให้ครบสิบเก้าครั้งอยู่และเขารู้ดีว่าปลายทางตนเองจะต้องสูญสลายไปหลายร้อยหลายพันปี
“เหตุใดจึงทำเช่นนี้” นางกระซิบถามแต่น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้กงจื่อเย่ยิ้มมุมปากเพราะนึกถึงวันเก่า ๆ
“เป็นห่วงข้าหรือ” คำพูดหยอกล้อไม่ดูสถานการณ์ยิ่งสร้างความงุนงงให้สวีลู่ชิงมากยิ่งขึ้น
“ไม่ใช่” นางตอบทันควันในช่วงจังหวะที่สายฟ้าครั้งที่สิบสองผ่าลงร่างจอมมาร
กงจื่อเย่กระอักเลือดกองใหญ่ พลังมารรอบตัวเริ่มลดน้อยลงจนไม่อาจสร้างกำบังห้ามไม่ให้เทพเซียนคนอื่นเข้ามายุ่มย่ามกลางลานลงทัณฑ์ได้ ดวงตาสีม่วงแดงจึงมองพวกเขาเหล่านั้นราวย้ำเตือน
“เยว่ชิง” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้วว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้า สัมผัสได้แล้วว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”
“...” สวีลู่ชิงนั่งนิ่งในอ้อมกอดของเขารอฟังว่าคนตรงหน้าจะพร่ำพูดเรื่องอันใด ยอมแพ้ไปแล้วว่าครั้งนี้คงจะรับทัณฑ์สวรรค์ไม่สำเร็จ
“ข้าขอโทษ”
“...”
“หากตัวตนของข้าเป็นปรปักษ์ต่อผู้อื่น ข้าจะยอมสูญสลายไป ขอแค่เพียงเจ้ายังคงอยู่ สัญญากับข้าได้หรือไม่”
ร่างกายจอมมารดูอ่อนแรงลงทุกขณะจนนางสังเกตได้แต่อ้อมแขนกลับไม่ยอมปล่อยนางให้ดิ้นหนี
“เหตุใดข้าต้องสัญญากับเจ้า อย่างไรเราทั้งคู่ล้วนเป็นศัตรูกัน ทำเช่นนี้เจ้าเพียงหายไปชั่วคราว หากฟื้นกลับมาในคราวหน้า เจ้าก็ยังคิดทำลายสามภพ...” ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรจบ สายฟ้าครั้งที่สิบหกและสิบเจ็ดก็กระหน่ำลงมา
“ข้าไม่คิดทำเช่นนั้นแล้ว” กงจื่อเย่บอกออกไป ทุกสิ่งที่เขาพูดในเวลานี้ล้วนเป็นความจริง แม้จะเชื่อได้ยากก็ตาม
จังหวะนั้น เทพอาวุโสฉวยโอกาสก้าวเข้ามาในลานกว้างพลันถูกพลังมารของเขาซัดกระเด็นออกไป กงจื่อเย่บีบอัดเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ครั้งสุดท้ายกันพวกเขาให้อยู่รอบนอก
“เยว่ชิง เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นภรรยาของข้า นามของเจ้าคืออู๋เยว่ชิง” เขากล่าวถึงความหลัง สติเริ่มพร่าเลือนเพราะใกล้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้ “สัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าครั้งหน้าในอีกหลายพันปีที่ข้าฟื้นขึ้นมา หากเจ้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย เพราะฉะนั้น รักษาแก่นวิญญาณของเจ้าไว้ให้ดีได้หรือไม่ อย่างน้อยก่อนข้าจะตายในแต่ละครั้ง ข้าก็ยังอยากพบหน้าเจ้า”
“เจ้าพูดเล่นหรืออย่างไร เหตุใดถึงจะยอมตายไปคนเดียว มิสู้หายไปพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือ” สวีลู่ชิงรู้ว่าเขาจะวนเวียนกลับมาใหม่อีกครั้ง วิธีเดียวที่จะกำราบเขาได้ตามคำทำนายคือแหลกสลายไปพร้อมกัน
กงจื่อเย่แสยะยิ้ม “แม้จะไม่เหลือความทรงจำนั้นแล้วก็ยังเกลียดข้าอยู่หรือถึงได้อยากสละชีวิตเพื่อสังหารข้าถึงเพียงนั้น”
เปรี้ยง!
สายฟ้าครั้งที่สิบแปดผ่าลงมาตรงกลางหัวใจของจอมมารจนเขากระอักเลือดอีกครั้ง ทั่วร่างกายเกิดบาดแผลนับไม่ถ้วนแต่เจ้าตัวยังคงฝืนรอคำตอบจากคนตรงหน้าพลันนึกสิ่งหนึ่งได้จึงเอ่ยออกไปว่า “เยว่ชิง ลูกของเรา อีนั่ว ข้าฝากเจ้าดูแลได้หรือไม่ อย่าให้ผู้ใดทำร้ายเขา หากพรรคพวกของเจ้ารู้ขึ้นมาว่ามีสายเลือดจอมมารหลงเหลือ พวกเขาคงจะไม่ไว้ชีวิตอีนั่วเพราะฉะนั้นข้าขอร้องให้เจ้าปกป้องเขาแทนข้าได้หรือไม่”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น หัวใจของสวีลู่ชิงสั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพลันความรู้สึกและความทรงจำเกี่ยวกับเด็กชายตัวน้อยที่เคยอยู่บ้านหลังเล็กเมื่อไม่นานมานี้ผุดขึ้นมา
ท้องฟ้าเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นกว่าเดิม พายุหมุนตรงใจกลางน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด อาจเป็นเพราะอสนีบาตครั้งสุดท้ายกำลังมาถึง บรรยากาศโดยรอบจึงเย็นยะเยือกและน่าหดหู่
กงจื่อเย่ถอนหายใจรับรู้แล้วว่านางไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปอย่างแน่นอนเพราะเวลานี้มีใครอีกคนที่ต้องดูแล คนที่นางรักไม่แพ้ตัวเองและยังคงคิดถึงตลอดเวลาแม้จะจำเรื่องราวของเขาไม่ได้เลยก็ตาม
ก่อนที่สายฟ้าครั้งสุดท้ายจะมาถึง กงจื่อเย่คลายอ้อมกอดเพราะอยากมองหน้านางให้ชัด รอยยิ้มเปื้อนเลือดและสายตาเศร้าสร้อยเพราะเวลาที่ต้องจากกันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“เยว่ชิง ข้าคงคิดถึงเจ้า” เขาเอ่ยแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเคยถามความรู้สึกของข้าแต่เวลานั้นข้าเป็นเพียงมารไร้ใจไม่อาจรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร”
“...”
แววตาอบอุ่นที่เขาไม่เคยมองใครกำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าสวีลู่ชิง รอยยิ้มที่มีให้นางเพียงคนเดียวทำให้หัวใจของนางสั่นไหวราวกับคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว
เปรี้ยง!
อสนีบาตครั้งสุดท้ายสะบั้นทุกอย่างให้จบสิ้น จอมมารกอดเทพดาราไว้ในอ้อมแขน ปกป้องไม่ให้นางถูกทัณฑ์สวรรค์ ยอมรับชะตากรรมของตัวเองด้วยความเต็มใจ
คำพูดสุดท้ายเอื้อนเอ่ยอย่างยากลำบาก บอกลาคนตรงหน้าทั้งที่ไม่ต้องการ “ข้ารักเจ้า เยว่ชิง”
แม้ร่างมารปีศาจจะค่อย ๆ สลายหายไปกลายเป็นเถ้าธุลี แต่เสียงอ่อนโยนที่บอกรักกลับก้องกังวานในหัวใจของสวีลู่ชิง คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าไปข้างในความรู้สึกลึก ๆ ที่หลงลืมไปแล้ว
ดวงตาคู่งามจึงมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับรับรู้ความรักของเขา ทว่า ไม่อาจโต้ตอบอันใดกลับไปได้เพราะมารตนนั้นไม่อยู่แล้ว
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้