ผ่านไปสองเดือน
ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก
คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจ
ถอดหน้ากากออก
ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม
สกาว เป็นผู้จัดการนักแสดงและนางแบบมานานหลายปี คนที่เธอชักชวนเข้าวงการนั้นดังแทบทุกคน เธอเคยเห็นความสวยของคนจนเคยชิน แต่กระนั้นก็ยังอ้าปากค้างเมื่อเห็น ศศิกานต์ หญิงสาวผมยาวถึงกลางหลัง เธอไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย แต่แม้ว่าจะไม่แสดงความเป็นมิตรออกมา แววตานั่นก็ชวนหลงใหล เสื้อผ้าของเธอหลวมโคร่งและดูเก่าคร่ำคร่า สกาวลืมวิจารณ์ว่าหญิงสาวไม่มีแม้แต่เซนส์แฟชั่น กระนั้นด้วยดวงหน้าระดับนี้ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็ต้องการใกล้ชิดเธอ สกาวต้องหุบปากแล้ววิ่งตามตามไป
"น้องคะๆ"
ศศิกานต์หันมามองหญิงวัยสี่สิบปี สวมแว่วตากลมสีดำ ตัดผมสั้นทรงกะลาครอบ เธอทำหน้าสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มีธุระอะไรกับเธอ
"คะ..ขอโทษค่ะ บังป้ายเหรอคะ" ศศิกานต์หมายถึงป้ายบอกทางไปห้องน้ำ
"หา" สกาวแปลกใจ
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"คือพี่.. แป๊บหนึ่งนะคะ" เรียกสติให้ตัวเอง แสงไฟทำหน้าสวยนั่นยิ่งงดงาม จนทำให้เธอรีบเอ่ยตามจริง "อยากได้น้อง"
"หา" ตกใจยิ่งกว่ากับคำพูดนั้น
"มาอยู่ในสังกัดพี่ คือพี่อยากได้น้องมาถ่ายโฆษณา เล่นละคร"
ศศิกานต์ไม่เคยเข้าข้างตัวเอง เธอคิดว่าเป็นโฆษณา ธีมตลก เหมือนโฆษณาที่โด่งดังของเมืองไทยหลายชิ้น ไม่จำเป็นต้องใช้คนหน้าตาดี และเธอก็ไม่เข้าพวกคนหน้าตาดี แถมยังอยากได้เงินมาคืนหนี้กว่าล้านบาทในเร็ววัน
"ตกลงค่ะ"
ตอนเช้าอีกวัน โชคดีที่ทาวน์เฮ้าส์เธออยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ก่อนขึ้นรถไฟฟ้าที่คนแน่นขนัด ศศิกานต์อาบน้ำแต่งตัวโดยไม่ดูกระจกอีกเช่นเคย เธอรวบผมหางม้าแล้วใส่หน้ากากสีดำ แทรกตัวเข้าไปในกล่องขนส่งขนาดยักษ์ คนตาคมเกร็งเมื่ออยู่กับคนมากๆ แผ่รังสีมืดออกมา จนคนรอบตัวต้องเขยิบตัวออกห่างจากเธอ มีเก้าอี้ว่างตรงหน้า ศศิกานต์ผายมือให้หญิงชรานั่ง แต่เธอยังรีรอเพราะหญิงสาวดูน่ากลัว ชายวัยรุ่นคนหนึ่งจึงนั่งลงแทน
"อ้าว...น้อง" ศศิกานต์ตะกุกตะกัก
"ทำไม"
"ให้ป้าเขานั่งสิ น้องเป็นผู้ชาย...นะ"
ไขว่ห้าง จีบนิ้วขึ้นมา
"ใครบอกว่าผู้ชายฮะ"
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ เงาดำพาดผ่านตัวชายวัยรุ่น เขารู้สึกเกรงร่างใหญ่โตนั่น จึงทำเสียงไม่พอใจแล้วลุกให้หญิงชราคนนั้นนั่ง แต่เขาแกล้งปัดหน้ากากของหญิงสาวออก คนในรถไฟฟ้านิ่งไปชั่วครู่ เพราะอึ้งใบหน้าสวย บางคนอ้าปากค้าง บางคนลืมหายใจ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเมื่อเธอสวมหน้ากากเข้าไปใหม่
ลงจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วเดินอีกกว่าสิบห้านาทีจึงถึงอาคารสำนักงานย่านใจกลางเมือง แอร์เย็นฉ่ำทำให้เหงื่อแทบจะแห้งในทันที ภายในห้องโถงส่องประกายระยิบระยับจนแสบตา ศศิกานต์ขึ้นลิฟท์ไปอีกหน่อยจึงถึงสตูดิโอถ่ายโฆษณาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ในห้องมีกล้องถ่ายหนังตัวใหญ่ เจ้าหน้าที่ทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น เธอถูกจับแปลงโฉมตั้งแต่เสื้อผ้ายันหน้าผม ห่างกับเธอเพียงห้านาที ร่างบางก็เดินทางมาถึง หน้าสวยนั้นยังไม่ได้แต่งแต้มใดๆ เพียงแค่เห็น ศศิกานต์ก็จำได้
สุปรีย์!!
เธออ้าปากค้าง หน้าร้อนผ่าว ตะโกนก้องในใจ
คุณพระช่วย อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ให้ตายเถอะศศิ!!
ดึงสติพร้อมกับเก็บอาการ แล้วยิ้มให้นางแบบที่ปลื้ม สุปรีย์ยิ้มตอบ
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ชื่อ..."
"คุณสุปรีย์ใช่ไหมคะ"
สุปรีย์แปลกใจ เพราะเธอเป็นนางแบบเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมีคนรู้จัก เสียงในหัวกระซิบให้เธอทำความรู้จักให้มากขึ้น นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนสวยขนาดนี้
"ค่ะ คุณ..."
"ศศิกานต์ค่ะ เรียกศศิก็ได้" อดีตกอริลลาแนะนำตัว แต่ดูเหมือนเธอจะจำไม่ได้
"ยินดีค่ะ ว้าว...สูงเหมือนกันนะคะ" แม้รู้สึกคุ้นกับชื่อและเสียง แต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย จึงไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน
คนตาคมถูมือแก้เก้อไปมา แล้วก็ถูกเรียกไปบรีฟเรื่องถ่ายแบบพร้อมกัน ได้แต่รอคอยว่าโฆษณาชิ้นนี้จะตลกตรงไหน แต่ไม่ว่าจะเริ่มจนจบก็ยังไม่มีฉากตลกตรงไหน ทีมงานทำผมให้สองนางแบบดูมีวอลุ่ม พวกเธอต้องสะบัดผมเข้าหากัน ยิ้มให้กัน แล้วก็เอ่ยสโลแกนยาสระผมอีกหลายรอบ
ศศิกานต์ไม่คุ้นกับการมีคนมอง ดวงตาโตแผ่รังสีดำมืดออกมาอีกแล้ว รอยยิ้มเป็นได้แค่ยิ้มแสยะ ผู้กำกับและทีมงานรู้สึกหวั่นเกรง เครียด และจนแต้ม ไม่ว่าจะพูดให้กำลังใจอย่างไร เธอก็ยังไม่สามารถยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้
สุปรีย์เดินเข้ามาในฉาก เธอรู้ว่าต้องทำอย่างไร แค่จับแก้มเธอเบาๆ ยิ้มให้พร้อมกับความรู้สึกแสนดี อีกฝ่ายผ่อนคลายลง ดวงตาหยุดแผ่รังสีอำมหิต เปลี่ยนเป็นความสดใสและรอยยิ้มที่สวยที่สุด
"สะบัดผมเข้าหากัน แบบนั้นแหละ ยิ้มครับยิ้ม กอดอกแล้วชนหลังกัน ครับดีครับ"
ผู้กำกับรีบเก็บภาพ ก่อนปิดกองในเวลาเย็น ศศิกานต์ยังไม่ได้กินข้าว จึงรู้สึกหมดแรง เธอดื่มน้ำแก้คอแห้ง ก่อนเจอสุปรีย์นั่งมองเธออยู่
"คะ"
"ขอเซลฟี่ด้วยได้ไหม จะโพสต์ลงไอจีค่ะ"
"คะ ค่ะ ได้ค่ะ"
"บอกเผื่อไว้ก่อน ว่าจะโพสต์ได้ก็ต่อเมื่อโฆษณาออนแอร์นะคะ" ทีมงานกระซิบบอก เมื่อได้ยินสองคนคุยกัน
สุปรีย์รอคนตาคมอยู่นาน ไม่เห็นเธอขยับ จึงเดินเข้าไปเขย่งแล้วถ่ายรูปกันสองคน "ขอไอดีไลน์ศศิได้ไหม จะส่งรูปให้ค่ะ แล้วก็ เผื่อว่ามีงานแคสโฆษณาอีก จะได้มาเจอกันอีก"
ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ศศิกานต์เห็นว่าแววตานั่นระยิบระยับเหมือนเสือจ้องจับเหยื่อ แต่กระพริบตาถี่ๆ คิดว่า
ตาฝาดไปมั้ง
สุปรีย์ส่งรูปให้ในทันที และเซฟชื่อศศิกานต์ว่า คนตาคม เสียงไลน์ดังเตือน ทำให้ศศิกานต์งงงวยไปชั่วเวลาหนึ่ง ข้างสาวสวยที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด มีเธออยู่เคียงข้าง
แต่เอ๊ะ ข้างๆ นั้นเป็นสาวสวยอีกคน ศศิกานต์จับหน้าตัวเอง หน้าเธอเริ่มเข้าที่แล้ว
ศศิสวยแล้ว!!!
คนตัวโตแทบจะร้องไห้เมื่อเห็นภาพนั้น สุปรีย์มองอาการแปลกๆ นั้นอย่างไม่เข้าใจ
ศศิกานต์กลับบ้านแทบจะตัวไม่ติดพื้น เธอส่องกระจกตั้งแต่เย็นวันนั้นจนถึงเที่ยงคืน และส่องต่อจนลืมวันลืมคืน ตอนเช้าเธอวิ่งไปโบกมือไปให้คนที่นั่งรถเมล์ผ่านหน้าทาวน์เฮาส์จนหลายคนทั้งอึ้งระคนแปลกใจ ว่าหญิงหน้าตาดีคนนี้สติดีหรือไม่
ในที่สุดเธอก็สามารถคว้าโอกาสที่ต้องการในไม่กี่อึดใจแล้ว เธอร้องคำว่า "พร้อม!!!" ต่อตัวเองอีกหลายครั้ง จนน้ำตาแห่งความยินดีซึมออกมา การคว้าหงส์มาเป็นของตนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ราวกับดวงจันทร์มายืนเคียงข้างเธอ เป็นกำลังใจให้เธอแล้ว!!
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว