ภายนอกห้องพักด้านในสุดของโรงเตี๊ยมอี้ฉาง
เหมยลี่กำลังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการพาพยานมายังห้องพักห้องนี้ตามที่ได้นัดหมายกับอวี้ถิงเอาไว้
นางช่างโชคดีเหลือเกินที่บังเอิญเจอเข้ากับกลุ่มคนของท่านใต้เท้าหลิง พวกเขาทำท่าทางคล้ายกับตามหาคนอยู่ มิรู้ได้ว่ากำลังตามหาใคร แต่เรื่องนั้นช่างมันเถิด นางเพียงอยากได้พยานให้อวี้ถิงเท่านั้น กลุ่มคนพวกนี้มีจำนวนพอเหมาะที่จะกดดันบุรุษให้รับผิดชอบได้แล้ว
เหมยลี่คิดอย่างปลื้มปริ่มพลางเดินนวยนาดนำทางกลุ่มผู้คน
“พวกเราต้องขอขอบคุณแม่นางที่ให้ความร่วมมือ” เสียงหนึ่งบุรุษท่าทางขึงขังเอ่ยขึ้นมาทางเหมยลี่ เขาเป็นหัวหน้าทหารยามประจำจวนของเสนาบดีกรมคลังได้รับมอบหมายจากใต้เท้าหลิงอี้ถังให้ออกมาตามหาคุณหนูหลิงเวย
“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ” เหมยลี่กล่าวพลางโบกไม้โบกมืออมยิ้มพริ้มเพรา
“หากไม่เจอคนที่ตามหาก็อย่าว่ากันเท่านั้นก็พอเจ้าค่ะ”
“มิกล้า มิกล้า” ชายผู้นั้นส่งยิ้มเล็กน้อยตอบกลับ
“เชิญเจ้าค่ะ ตามข้าน้อยมาเถิด” เหมยลี่ชี้ชวนอย่างชดช้อยมาตามทางเดินของโรงเตี๊ยมอี้ฉางพาเอาเหล่าบุรุษประมาณห้าคนให้เดินตามนางมาอย่างสามัคคี
เวลาเพียงครู่เหมยลี่จึงมาถึงห้องพักเป้าหมาย นางคำนวณเวลาเอาไว้แล้วเป็นอย่างดี ป่านนี้สองคนนั้นคงเสร็จสมอารมณ์หมายกันเรียบร้อยแล้วและก็คงนอนกอดกันตามระเบียบ แน่นอนว่านางไม่เข้ามาขัดจังหวะกิจกรรมรัญจวนของใครหรอก นางย่อมต้องรอให้พวกเขาได้ปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดกันเต็มที่แล้วนอนหลับไปอย่างสุขสม
“เชิญพวกท่าน” เหมยลี่ชี้ชวนให้บุรุษทั้งหลายเดินตามเข้ามายังห้องพักห้องหนึ่งเมื่อนางเดินนำเข้าห้องไปก่อนอย่างถือวิสาสะ ทำเอาพวกของจวนตระกูลหลิงนึกแปลกใจแต่ก็มิได้เอ่ยปากว่ากระไรออกมา
หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้มผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมไม่มีรีรอให้เสียเวลาทำมาหากิน นางรีบเดินไปที่เตียงนอนอย่างถือวิสาสะเกินมนุษย์แล้วเปิดม่านมุ้งออกอย่างแรง ตามด้วยกรีดร้องอย่างตกอกตกใจ
“ไอ๊หยา! ตายแล้ว ท่านแม่ทัพฟง” เสียงแหลมสูงของเหมยลี่ดังออกมาพาเอาพวกพ้องที่เข้ามาด้วยต้องสะดุ้งตกใจกันเป็นแถว
เหมยลี่ยังคงทำหน้าที่ของตนได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องโดยเป้าหมายของนางคือท่านแม่ทัพฟงกับสตรีที่นอนอยู่ด้วยกันตามแผนการที่ได้วางเอาไว้
“ท่านแม่ทัพฟง ท่านกับๆ ตายแล้ว ตายๆ” เถ้าแก่เนี๊ยผู้ไร้จรรยาบรรณยังคงส่งเสียงแหลมสูงได้อย่างต่อเนื่องทำเอาบุรุษร่างหนาบนเตียงนอนพลันได้สติตื่นขึ้นมา
ฟงชินหยางลืมตาขึ้นมาพลางขมวดคิ้วมุ่นปวดหัวตุบๆ แบบแปลกๆ จนต้องยกฝ่ามือใหญ่หนาขึ้นกุมขมับก่อนจะเริ่มกวาดสายตาคมกล้ามองไปยังต้นเสียงที่รบกวนเวลาหลับนอนของเขา
ชายหนุ่มถึงกับหรี่ตามอง นี่มิใช่เถ้าแก่เนี๊ยประจำโรงเตี๊ยมของเมืองแห่งนี้หรอกหรือ?
“ท่านแม่ทัพฟง ตายแล้ว ตายๆ” เหมยลี่ยังคงเอ่ยประโยคเดิมตามแผนการแต่พลันชะงักเมื่อมองเห็นสตรีข้างกายของฟงชินหยางแบบเต็มตา “อ่ะ! ไอ่หย่า ใครกันล่ะนี่”
“มีอะไร” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของฟงชินหยางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางหรี่ตาคมมองเจ้าของเสียงแหลมสูงเสียดแทงแก้วหูที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงนอนของเขา
“ท่ะ ท่านแม่ทัพฟง ท่ะ ท่านๆ ใครๆ ใครกัน” ครานี้เหมยลี่ตกใจของจริง นางเอ่ยคำละล่ำละลักพลางวาดนิ้วชี้มายังสตรีข้างกายของฟงชินหยางอย่างผิดคาดเป็นที่สุด
ชายหนุ่มร่างหนาบนเตียงนอนจึงปรายสายตาคมเข้มมืดดำมองตามเรียวนิ้วนั้น และเขาก็ได้เห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนาใหญ่ผืนเดียวกับเขา
หัวหน้าทหารยามประจำจวนตระกูลหลิงเริ่มใคร่รู้จึงถือวิสาสะเดินมาที่เตียงนอนบ้าง
และแล้วเขาถึงกับต้องผงะเดินถอยหลังถึงสองก้าว
“คะ คุณหนูหลิง!”
ประโยคนั้นของชายหนุ่มหัวหน้าทหารยามประจำจวนตระกูลหลิงทำเอาพวกที่ตามมาด้วยต้องรีบกรูกันเข้ามาดูเช่นเดียวกัน
“คุณหนู!” พวกเขาส่งเสียงเซ็งแซ่กันอย่างพร้อมเพรียงและรีบถอยหลังกรูดหลบฉากไปอย่างรู้มารยาท
ฟงชินหยางรีบสลัดศีรษะไปมาเบาๆ เขาเริ่มจะตระหนักได้แล้วว่ากำลังเกิดสิ่งใด
กลิ่นเครื่องหอมแปลกๆ ที่กระจายอยู่ทั่วห้องพักและยังมีกลิ่นเหล่านี้ในถังอาบน้ำพร้อมกับอารมณ์กำหนัดชนิดฉับพลัน
และสตรียั่วยวนบนเตียงตั่ง
อา...นี่เขาพลาดเสียแล้ว
เสียงกรีดร้องหวีดแหลมของสตรีและเสียงดังอื้ออึงของบุคคลหลายคนกำลังแล่นเข้าสู่โสตประสาทของหลิงเวยเป็นระยะๆ เรียกสติที่กำลังหลุดลอยของนางให้เริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง จากที่กำลังนอนหลับตาพริ้มสบายๆ จึงเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคน
หญิงสาวเริ่มได้สติกลับคืนมาพร้อมกับอาการปวดตุบๆ ในศีรษะ แต่ที่ปวดหนึบหนักหน่วงก็เห็นจะเป็นช่วงกลางลำตัวตั้งแต่ช่วงเอวลงไป
นางขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งเพื่อที่จะลืมตาขึ้นมา นางลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาได้แล้วยังต้องกะพริบตาปริบๆ อีกหลายครั้งเมื่อมองเห็นแผ่นหลังเปล่าเปลือยกว้างใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าของนาง
หญิงสาวเอื้อมฝ่ามือน้อยๆ ขึ้นขยี้ตาเบาๆ อย่างไม่อาจเชื่อสายตาว่าจะมีใครมานั่งด้วยกันบนเตียงตั่ง เขาผู้นี้เป็นใคร รูปร่างใหญ่โต ใบหน้าคมเข้ม โดยเฉพาะสายตาช่างคมกล้ามองมาทางนางอย่างกับจะตัดกันให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
นี่เขาเคืองโกรธอันใดนาง?
“ท...ท่านแม่ทัพ สตรีนางนี้เป็นใครกันเจ้าคะ นางมานอนกับท่านในสภาพนี้ได้อย่างไร นางเข้าห้องของท่านมาได้อย่างไร อะไรกัน!?” เหมยลี่เสียงสูงถามออกมาอีกครั้งอย่างตกอกตกใจ ทำเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจพลันได้สติตื่นเต็มตา
หญิงสาวกะพริบตาจ้องมองบุรุษเจ้าของแผ่นหลังเปล่าเปลือยที่นั่งมองนางด้วยสายตาเข้มข้นก่อนจะก้มลงมาที่เรือนร่างของตน
และเมื่อนางมองเห็นสภาพของตนเองที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน นางถึงกับลุกขึ้นนั่งอย่างตกอกตกใจพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นห่อหุ้มเรือนกายฉับพลันจนอาการปวดหนึบช่วงกลางลำตัวพุ่งสูงจนต้องขมวดคิ้วพันกัน
จากที่คิดจะอ้าปากกรีดร้องกลับต้องกัดเม้มเอาไว้แน่นเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดหนักหน่วงที่ท้องน้อย
ในขณะเดียวกันเมื่อผ้าห่มถูกรั้งขึ้นมาสายตาของนางจึงได้มองเห็นคราบเลือดบนเตียงนอน
อา...อะ...อะไรกัน!?
ภายในห้องพักอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องพักห้องแรกที่มีสตรีนางหนึ่งนอนติดเตียงด้วยอาการบาดเจ็บตามเรือนร่าง “นางจำสิ่งใดไม่ได้รึ? ก็ดี! ต่อไปนี้ให้นางเป็นบ่าวไพร่ คอยรับใช้เพื่อทดแทนคุณ” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากบุรุษที่มีบาดแผลจนเต็มตัว พันด้วยผ้าสีขาวจนเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแผงอกตึงแน่น ลำแขนกำยำ กระทั่งเอวสอบและโคนขาล่ำสัน ทุกสัดส่วนแห่งเรือนกายใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดน่ากลัว เขาเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับสตรีโง่งมที่กระโดดลงหน้าผาทั้งๆ ที่เขาฆ่าเจ้านั่นจนตายไปแล้ว ทำให้เขาต้องกระโดดหน้าผาตามนางลงไปจนเนื้อตัวได้เลือดอาบร่าง ฮึ่ม!“ใจเย็นนะ จินหมิง” หลิงเวยรีบเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษแทนหลี่ลี่เหมย เมื่อนางเห็นริ้วโทสะของน้องสามีทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เขาได้ฟังข่าวจากนางว่าหลี่ลี่เหมยฟื้นแล้วแต่กลับจำสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย นางเพียรพยายามแนะนำว่านางเป็นใคร และบอกนามของทุกคนให้ลี่เหมยฟังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ช่วยนางชื่อจินหมิง สามีของนางและลูกๆ ของนางชื่ออันใด แต่ลี่เหมยก็ยังเงียบงัน นัยน์ตาสั่นเทา ไร้วี่แววของความร้ายกาจเฉกเช่นวันวาน เห็นได้ชัดว่าลี่เหมยไม่เหม
ดวงตาเรียวสวยร้ายกาจบนใบหน้างามซีดเผือด เริ่มกะพริบตาขึ้นลงเบาๆ เพื่อสู้แสงตะวันที่สาดส่องลอดช่องเล็กแคบของหน้าต่างที่ปิดสนิท ในโรงเตี้ยมทรุดโทรมอันห่างไกลความเจริญ บนทางเชื่อมต่อระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นเป่ยฉีบนเตียงนอนไม้เก่าๆ ที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีหมองปรากฏร่างระหงงดงามของหญิงสาวในอาภรณ์เนื้อหยาบสีหม่นผู้เป็นเจ้าของดวงตาเรียวสวยร้ายกาจนางเริ่มระลึกได้ ถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่นางอยู่ใต้ต้นของดอกกุ้ยฮวา แล้วถูกไล่ล่าจากพี่ชายของสหาย ผู้ถูกชักใยโดยเชื้อพระวงศ์ในวันนั้นเป็นวันครบรอบวันตายครบสามปีของบิดามารดา นางจึงถือโอกาสขึ้นไปยังสถานที่เฉพาะของพวกเขา แต่แล้วพลันเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ จนนางต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดแบบสุดกำลังเยี่ยงคนสิ้นคิด ทันใดนั้นเมื่อยามที่นางถูกดาบพาดบ่าหมายปาดคอ สติอันน้อยนิดของนางที่กำลังจมดิ่งสั่งให้นางหลับตายอมตายอย่างจำนนแต่ทว่าในขณะที่ความสิ้นหวังกำลังถาโถม อำนาจแห่งความกลัวตายกลับมีมากยิ่งกว่า นางยังไม่อยากตาย...ถึงแม้ว่าการมีชีวิตในวังหลวงจะเสี่ยงอันตรายแต่ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่ามากนัก หากนางยอมตายง่ายๆ แล้วบิดามารดาที่สู้อุตส่าห์ให้ชีวิตแก
“ท่านคิดว่าคนที่หาศพตัวปลอมมาแอบอ้างเป็นใครกัน” หญิงสาวหน้าขาเอ่ยถามตามตรงอย่างใคร่รู้“อืม...เรื่องนี้ยังต้องสืบอีกมาก” ชายหนุ่มตอบคำตามตรงไม่มีปิดบัง “ศพตัวปลอมละม้ายคล้ายคลึงกับลี่เหมยมากหากคนของเจ้ามิได้ช่วยนางเอาไว้ได้ทันท่วงทีข้ายังคิดว่าศพนั้นเป็นลี่เหมยตัวจริง กระทั่งฝ่าบาทยังดูไม่ออก” “พวกเขาเป็นถึงคู่หมั้นกันอยู่วังเดียวกันประหนึ่งแต่งงานกันแล้วกระนั้น ทำไมถึงดูไม่ออก” เฉินลี่หลินขมวดคิ้วแปลกใจ“ถึงแม้ลี่เหมยจะมีตำแหน่งแลอำนาจมากล้น ทว่าพี่ชายของข้ากับลี่เหมยยังมิได้มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เนื่องด้วยมีการไว้ทุกข์ของบิดามารดาขวางกั้น และอีกอย่างลี่เหมยตัวปลอมเหมือนลี่เหมยตัวจริงอยู่หลายส่วนคล้ายกับเป็นคนๆ เดียวกัน ทั้งยังมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายจนเต็มใบหน้าและลำตัว การนอนหลับตาแน่นิ่งไร้ท่วงท่ากิริยาอันใดที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ในยามมีชีวิต นั่นยิ่งทำให้ไม่เห็นถึงความแตกต่าง” ชายหนุ่มอธิบายพลางก้มหน้าลงต่ำที่ซอกคอนางอย่างเนียนๆ นี่เขากำลังคุยกันถึงเรื่องเคร่งเครียดใช่หรือไม่?"อา...คนที่ทำเรื่องนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครางเมื่อถูกริมฝีปากของใครบางคนดูดดันตรงซอกค
ภายในห้องบรรทมอันรโหฐานโอ่อ่ากว้างขวางมีเครื่องเรือนสูงค่ามากมายของเฉินลี่หลินหญิงสาวนั่งอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาแบบลับๆ ของพี่ใหญ่ว่าด้วยเรื่องของหลี่ลี่เหมยที่ปลอดภัยดีหากแต่ความจำกลับลบเลือนไปจนสิ้นเฉินลี่หลินยิ้มบางเบาอย่างพึงพอใจกับข่าวที่ได้รับ ถึงแม้ว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์จะมีสภาพไม่เหมือนเดิม แต่การเริ่มต้นใหม่ของหลี่ลี่เหมยที่เป็นเช่นนี้ย่อมนับว่าดีมากนักลืมเรื่องเก่าแสนเศร้าจำเรื่องใหม่แสนสุข...ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกยิ้มพริ้มเพรายามเผากระดาษจดหมายกับเปลวเทียนร้อนแรงจนสิ้นแผ่นสีหมึกเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี เสียงทุ้มนุ่มสุขุมพลันดัง “จะบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่?”“...!?”ผู้กำลังเผากระดาษจดหมายอย่างอารมณ์ดีถึงกับสะดุ้งตกใจฉีเล่อพาวรกายงามสง่ามาลงนั่งเคียงข้างชายาหนึ่งเดียวของตนก่อนจับแก้มนวลบีบเบาๆ อย่างที่ชอบทำ“โอย...” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครวญเจ้าของเรียวมือที่บีบแก้มนางจึงเปลี่ยนมาลูบแก้มนวลของนางอย่างรักใคร่พลางยกยิ้มตรงมุมปากสีแดงมากเสน่ห์ชวนหลงใหลพาใจของอิสตรีให้ถูกล่อลวง “บอกมาได้แล้ว”หญิงสาวย่นจมูกเล็กน้อยแล้วหลอกล่อเขาเพื่อหยั่งเชิงเรียกความเชื่อมั่นให้ศีรษะบนบ่า
ฉีเล่อเอ่ยอธิบาย "ทูลฝ่าบาท เรื่องการตายของลี่เหมยล้วนแล้วแต่เป็นแผนซ้อนแผนพ่ะย่ะค่ะ การที่องค์ชายสามใช้ท่านหญิงเป็นเครื่องมือแทนที่จะใช้แผนการอื่นกับพระองค์ ทั้งยังกระทำการอย่างโจ่งแจ้งที่เสี่ยงมาก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มาจากการโยงใยของพระสนมไป๋"ฉีหย่งเหอถึงกับเลิกคิ้วแล้วถอนหายใจอย่างนึกเสียดายไม่สร่างซา ไป๋ฮวาเป็นสตรีงดงามมาก เนื้อนวลของนางช่างเย้ายวน ลีลาของนางช่างเหลือร้าย นางเป็นสนมที่เขาโปรดปรานเป็นอย่างมากฉีเล่อหรี่ตามองพี่ชายของตนตรงหน้าอย่างรู้ใจรู้ไส้รู้พุงแล้วเอ่ยต่อ "สนมไป๋กับองค์ชายสามแอบรักกันแอบมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง นางจึงร่วมมือกันวางแผนกับองค์ชายสาม เมื่อตำแหน่งฮองเฮาว่างลงสตรีที่เหมาะสมย่อมต้องเป็นคนจากตระกูลไป๋ และเมื่อพระสนมไป๋ได้เป็นฮองเฮา เมื่อนั้นฝ่าบาทย่อมถูกสั่นคลอน หากล้มฝ่าบาทลงได้ องค์ชายสามย่อมได้บัลลังก์มังกรเคียงคู่กับนาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์ชายสามยังมีสตรีอีกหนึ่งนางที่ทำสัญญาใจเคียงข้างยามเมื่อถึงฝั่งฝัน หาใช่พระสนมไป๋ไม่ และสตรีนางนั้นก็ตลบหลังพระสนมไป๋อีกทีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เป็นอันเข้าใจประโยคยาวเหยียดของฉีเล่อที่หมายเต
เวลาผ่านไปไม่นาน ความยิ่งใหญ่แห่งพิธีเถลิงราชสมบัติของฉีหย่งเหอจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น คงเหลือเอาไว้เพียงพิธีพระราชทานพระราชอิสริยยศฮองเฮาที่ยังคงถูกทิ้งเอาไว้ให้ร้างหายเงียบงันภายในสุสานหลวงแห่งราชวงศ์ ปรากฏโลงไม้สลักลวดลายทองคำเลอค่า ที่ภายในโลงมีร่างไร้ลมหายใจของสตรีงดงามนางหนึ่ง ที่ดวงตาร้ายกาจของนางถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยเปลือกตาอย่างแนบแน่น ไร้วี่แววว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกต่อไป นางมีริ้วรอยของการถูกทำร้ายเป็นแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ใบหน้าสวยงามซีดขาว ริมฝีปากที่มักเป็นสีแดงตลอดเวลาบัดนี้กลับซีดเซียวไร้สีสัน ลำคอผ่องผาดมีรอยปาดลากยาวจากคมดาบและลำตัวระหงมีบาดแผลจากการถูกทำร้ายจนฟกช้ำ ความงามของนางถูกลบเลือนไปจนสิ้นนางยังคงอยู่ในอาภรณ์สีเขียวอ่อนปักลายดอกมู่ตานสีชมพูจัดจ้านปิดทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงขลิบชายผ้าโดบรอบเป็นสีขาวพองฟู ม้วนผมปักปิ่นทองคำแท้สลักลายฉลุฝังมุกเม็ดงามนี่คือชุดที่นางสั่งตัดเอาไว้นานแล้วเพื่อสวมใส่ในวันครบรอบการตายของบิดามารดา มิคาดว่านางจะสิ้นชีพลงในวันเดียวกันนางนอนตายอย่างเดียวดายบนหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลจากต้นดอกกุ้ยฮวาอันเป็นสถานที่ระลึกถึงบิดามารดาของนา