“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”
ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ
“เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป
“ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต
“องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้
ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง
“นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น
“เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา
“อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่” สายตาที่มองเด็กน้อยอย่างเอ็นดูเริ่มพร่ามัว ด้วยดวงเนตรทั้งสองมีหยดน้ำใส่เอ่อล้น
อี้หนิงแม้อายุเพียงขวบเศษกลับรู้ความไม่น้อย เพียงลี่อินยื่นมือไปหา เจ้าตัวน้อยก็ปีนออกจากอ้อมแขนของปิงเซียง คว้ามมือบางของนางในทันที
“เก่งมาก เก่งมากอี้เอ๋อร์ของน้า” ลี่อินดึงเด็กน้อยเข้ามากอด หวังให้ร่างเล็กของเด็กน้อยปลอบโยนความเสียใจของตน ที่บัดนี้เจ็บปวดเกินจะทานทน
ภาพเบื้องหน้าของปิงเซียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เด็กอายุเพียงขวบเศษต้องสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ กลับได้พบสตรีคนแรกในครอบครัวที่รักนางสุดหัวใจ ภาพน้าหลานที่ปลอบโยนกันนี้จะดีเท่าไหร่กันหากไม่ได้เกิดขึ้นในงานศพของใครสักคน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ลี่อินอุ้มอี้หนิงไว้แน่น ก่อนถามคำถามกับปิงเซียงนางกำนัลข้างกายเหมยหลิง
“ทูลองค์หญิงสาม คืนนั้นองค์หญิงใหญ่กำลังจะลักลอบออกจากจวนเพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าทูลความจริง
ลี่อินหวั่นใจว่าการหนีออกจากจวนอ๋องของท่านพี่ของตน จะเกี่ยวข้องกับบุรุษอื่นนอกจวน
“เสด็จพี่จะไปที่ใด”
“หอชายงามเพคะ พระองค์หลงใหลบุรุษรูปงามในหอนั้น”
ปิงเซียงจนใจที่จะปิดบัง
ลี่อินมองหน้าหลานสาวที่ไร้เดียงสา กำลังเล่นกับปิ่นปักผมของนางด้วยความสงสาร
“แล้วอย่างไรต่อ”
“ท่านหญิงเสวี่ยหนิงพบเข้า จึงจะไปแจ้งท่านอ๋องแต่องค์หญิงใหญ่ทรงรั้งไว้ก่อน”
“องค์หญิงใหญ่คงเกรงว่าเมื่อท่านอ๋องรู้จะลงโทษพระนาง ดังเช่นเหตุการณ์ในอดีต จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นใกล้กลับสระน้ำในสวนเจ้าค่ะ”
“แลทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำ บ่าวไพร่ไม่มีใครกล้าลงไปช่วย ด้วยเกรงว่าจะทีความผิดโทษฐานแตะต้องพระธิดาของฮ่องเต้ จึงได้แต่แจ้งท่านอ๋อง”
“จากนั้นท่านอ๋องจึงมายังสระน้ำ.....”
“เขาช่วยเสวี่ยหนิงก่อนจะช่วยเสด็จพี่ใช่หรือไม่” ลี่อินกล่าวขัดปิงเซียง
“เพคะ” ปิงเซียงได้แต่หยักหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“หึ! ช่างดีเสียจริง กล้าช่วยสตรีอื่นก่อนชายาของตน” ลี่อินเจ็บปวดแทนพี่สาวของตน จนเผลอกอดร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้น
“แง~.....”
เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บของอี้หนิงทำให้ลี่อินรู้สึกตัว ใบหน้าน้อย ๆ มีน้ำตาอาบแก้ม ร่างน้อยสะอื้นไห้ทำให้ลี่อินปวดใจอย่างยิ่ง
“โอ๋ โอ๋~ น้าขอโทษนะอี้หนิง เด็กดีไม่เจ็บแล้ว” ลี่อินก้มลงเป่าร่างเล็ก หวังว่าจะให้นางหายเจ็บได้โดยเร็ว
หากแต่เด็กน้อยเมื่อถูกทำให้เจ็บแล้วก็หวาดกลัว ปีนป่ายออกจากอ้อมกอดของลี่อิน ยื่นมือน้อย ๆ ไปทางปิงเซียง จนลี่อินจนใจยอมคืนนางให้กับพี่เลี้ยงที่ดูแลมาตั้งแต่เกิด สายตาที่เอ่อล้นด้วยหยดน้ำใสเจือด้วยคำขอโทษส่งไปหาเด็กน้อย หากแต่อี้หนิงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมาย ใบหน้าน้อย ๆ ยังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของปิงเซียง
“แล้วตอนนี้ชินอ๋องอยู่ที่ใด” ลี่อินนึกได้ว่านางมาถึงนานแล้ว แต่กลับไม่พบเจ้าของจวนออกมาต้อนรับเลย
“ท่านอ๋อง....น่าจะอยู่...เอ่อ.เรือนท่านหญิงเสวี่ยหนิงเพคะ” สิ้นเสียงของปิงเซียง ลี่อินโกรธจนแทบอดกลั้นไม่อยู่
“เหตุใดร่างของพระชายายังอยู่ในจวน ท่านอ๋องยังคงไปหาอดีตคนรักอีก”
“ท่านหญิงเสวี่ยหนิงยังคงป่วยหนักจากการจมน้ำเพคะ หมอหลวงยังคงต้องมาดูอาการทุกวัน” ปิงเซียงอธิบายให้กระจ่าง
“เช่นนั้นข้าควรไปเยี่ยมนางแทนเสด็จพ่อเสียหน่อย”
ลี่อินในยามปกติจะยึดเหตุผลเป็นสำคัญ แต่ในยามนี้ยากที่นางจะใช้สติอยู่เหนืออารมณ์ได้ แม้พี่สาวนางจะทำผิดมากเพียงใดแต่บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามีควรอยู่ไว้ทุกข์ให้กับชายาก่อนมิใช่หรือ
เรือนรับรองหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของจวนดูโออ่าไม่น้อย หากผู้ที่ไม่รู้อาจจะหลงคิดว่าเป็นเรือนของชายาอีกคนของชินอ๋องได้ สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของลี่อินมากยิ่งขึ้น
ภายในเรือนถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพง แจกันบางอันแม้แต่ในตำหนักองค์หญิงของนางยังหามาประดับไม่ได้ นี่ยังไม่รวมการเชิญหมอหลวงมาตรวจสตรีนางหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอีก
“ดูท่าพี่เขยของข้าจะเอาใจเสวี่ยหนิงไม่น้อย” ลี่อินพึมพำด้วยสายตาเย้ยหยัน
เจียฮุ่ยนางกำนัลข้างกายเสวี่ยหนิงมองเห็นลี่อิน ในใจเกิดกลัวไม่น้อย รีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย
“เรียนท่านหญิง องค์หญิงลี่อินมาถึงแล้วเพคะ”
เสวี่ยอวี่รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงในทันที นางรู้ว่าแคว้นฉีต้องส่งคนมาร่วมพิธีศพองค์หญิงใหญ่แน่ หากแต่ไม่คิดว่าจะเป็นลี่อิน สตรีที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ใด หากนางคิดอยากโต้แย้งแม้ผู้นั้นเป็นฮ่องเต้นางก็มิละเว้น
ดีที่ลี่อินไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด แต่หากนางมาที่นี่เกรงว่าเรื่องจะไม่จบง่าย ๆ
หยางหมิงสังเกตเห็นแววตาหวาดกลัวของร่างบางที่ยังคงนอนป่วยบนเตียง อกด้านซ้ายก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าไม่ต้องกลัว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าข้าจะปกป้องเจ้าเอง” แววตาห่วงใยทอดยาวให้กับท่านหญิงผู้อาภัพ
“อือ หม่อมฉันเชื่อพระองค์” เสวี่ยหนิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ให้นางเข้ามา” หยางหมิงเอ่ยอนุญาต
“ลี่อิน คาราวะชินอ๋อง” ลี่อินยอบกายเคารพเขาตามศักดิ์
หยางหมิงปรายตามองสตรีผู้มาเยือน แม้อาภรณ์ที่นางสวมใส่จะเป็นของบุรุษที่คาดว่าเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง หากทว่าดวงหน้างดงามนั้นกลับไม่อาจปิดบังความเป็นสตรีของนางได้ ดวงตางดงามราวไข่มุกที่บัดนี้แดงก่ำ บ่งบอกว่านางคงไปไหว้ศพของเหมยหลิงมาแล้ว
“องค์หญิงสามตามสบาย โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ” หยางหมิงดึงสายตาของตนกลับ
“หม่อมฉันคิดว่าเวลานี้ท่านอ๋องจะโทมนัสจากการจากไปของพระชายาเสียอีก” ลี่อินจ้องมองสตรีที่คุ้นหน้าบนเตียงนอน
“ข้าจะรู้สึกเช่นไร ไม่จำเป็นต้องให้องค์หญิงลี่อินทรงกังวล” หยางหมิงยืนขวางตรงหน้าลี่อิน เขาเห็นนางที่จ้องมองเสวี่ยหนิงด้วยสายตาคาดโทษ จึงคิดใช้ร่างกายตนปกป้องเสวี่ยหนิงจากสายตาคู่นี้
ลี่อินเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ‘ตัวเขาเป็นถึงชินอ๋อง แต่กลับแสดงออกว่าปกป้องสตรีอื่นชัดเจนเพียงนี้เลยหรือ’
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ