บรรยากาศในห้องโถงเกล็ดน้ำแข็งที่เคยสงบเงียบ...พลันเปลี่ยนไปในพริบตา เมื่อประตูน้ำแข็งเปิดออกเบา ๆ พร้อมแรงลมที่พัดเข้ามา ร่างของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม สูงส่ง ดุดัน และเปล่งรัศมีสีทองรอบกายจาง ๆ ดวงตาสีทอง ของเขาคมกริบจนน่าหวาดหวั่น
แค่เขาเหลือบมองมาที่ฉัน...ฉันก็เหมือนถูกมองทะลุไปทั้งร่าง
“น้องสาม... เจ้าไม่เคยสนใจมนุษย์มาก่อน” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ฉันไม่อาจตีความได้ว่าอบอุ่น หรือแฝงคมดาบ
“ข้าสงสัย...ว่ามีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่หรือไม่”
ฉันหันไปมองหลงอวิ๋นทันที เขายังคงนิ่งเงียบ ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แต่ฉันกลับรู้สึกได้...ว่าความเย็นรอบตัวเขากำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ละอองน้ำแข็งแผ่ขยายออกจากเท้าของเขาไปทั่วพื้นห้อง
มังกรน้ำแข็ง กับ มังกรเพลิงทองคำ
ยืนเผชิญหน้ากันในห้องเดียวกัน
แม้พวกเขาจะไม่ได้เอ่ยวาจาร้ายแรง แต่ก็ทำให้...วิญญาณรับใช้ทั้งหมดหายตัวไปในทันที เหลือแค่ความว่างเปล่า และแรงก
หิมะโปรยลงมาเบา ๆ ราวม่านบางของความเงียบงันที่ปกคลุมพระราชวังน้ำแข็งยามค่ำคืนเอลาเรียเดินช้า ๆ ไปตามโถงทางเดินแกะสลักที่เย็นเฉียบ แม้จะใส่เสื้อคลุมกำมะหยี่ของราชสำนักอยู่เต็มตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเปลือยเปล่าในดินแดนของศัตรูหนาว—ไม่ใช่เพราะลม แต่เพราะสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้องวันนี้...มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมสายตาของเหล่าทหารเวรที่เคยนิ่งเฉย กลับดูตั้งใจเกินเหตุบางคนมองสบตาเธอแล้วรีบหลบสายตาบางคน…ไม่ได้หลบเลยแววตาเหล่านั้นไม่ได้เปล่งความเคารพ—...แต่มากไปด้วยความระแวง เหมือนเธอคือระเบิดเวลาที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ“เราไปทำอะไรผิด...หรือพวกเขาเริ่มรู้เรื่องคำทำนาย...หรือแม้แต่...”“...หลงอวิ๋น?”เสียงหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามเธออยากไปหาเขา อยากถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หอประชุมชั้นในของราชสภาถูกผนึกด้วยม่านเวท ห้ามผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตและเขา...ก็ไม่ได้กลับมาหาเธอเลยนับตั้งแต่รุ่งเช้าเอลาเรียก้า
เสียงลมหายใจของฉันแผ่วเบาในห้องเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบหลังมือฉันขณะสับไพ่ทาโรต์ เสียงกระดิ่งจากข้อมือดังกริ่งเบา ๆ ทุกครั้งที่นิ้วลากผ่านไพ่ ราอูลเพิ่งจากไปหลังเอ่ยคำเตือนเพียงประโยคเดียว—ประโยคที่ยังสั่นอยู่ในอกฉันจนถึงตอนนี้“หากเจ้าอยากรู้ว่าความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร...จงถามไพ่ของเจ้า”ฉันวางไพ่สามใบเรียงลงบนโต๊ะไม้เก่า ทุกใบเหมือนจะสั่นเล็กน้อย—หรืออาจเป็นฉันเองที่กำลังสั่นอยู่ใบแรก: The Lovers (กลับหัว)ใบที่สอง: Death (ตั้งตรง)ใบที่สาม: The Star (กลับหัว)ฉันรู้ทันที…ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักรักที่ต้องเลือกระหว่างสองทางการจบสิ้น…และความหวังที่ริบหรี่ หากใจไม่มั่นพอ“จะต้องมีคนหนึ่ง...ที่เสียสละ” ฉันกระซิบออกมา ลูบแผ่นไพ่ด้วยปลายนิ้ว เสียงหัวใจเต้นหนักจนรู้สึกได้ถึงชีพจรที่ข้อมือ รอยสักที่ข้อมือฉันเรืองแสงจาง ๆทันใดนั้นเอง—แสงสีฟ้าม่วง
หลังจากเอลาเรียฟื้นคืนจากห้วงหลับใหล เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในตำหนักส่วนพระองค์แม้หลงอวิ๋นจะไม่อยากห่างจากเธอแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ แต่ในฐานะองค์ชายผู้ถือดุลอำนาจแห่งราชวังเทียนหลง เขายังต้องแบกรับภาระ…เพื่อทั้งราชวงศ์ และโลกทั้งใบทุกเช้า เขาจะเป็นผู้ประคองเธอลุกจากเตียงด้วยมือตนเอง ก่อนจะก้มจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา แล้วผละจากมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมคำมั่นสัญญาซ้ำเดิม“อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา...พร้อมข่าวดี”แต่ภายในห้องประชุมของราชสภามังกร ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงคำว่า ‘ข่าวดี’เหล่าองค์ราชาแห่งมังกรทั้งห้าทิศประจำที่อยู่ในที่นั่งสูง แวดล้อมด้วยขุนนางอาวุโส มังกรเวท และบรรดาสายสืบจากแต่ละแคว้น ผู้ทำหน้าที่รายงานการเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรูที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด“...มีรายงานจากหุบผาดำ” ไคเซอร์ องค์ชายแห่งมังกรดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พบร่องรอยเวทที่ใกล้เคียงกับเนรูไซร์ แม้มันจะถูกผนึก แต่แก่นเวท...ยังไม่สลาย”“มันจะตื่นไม่ได้” หลงอวิ๋นกล่าวเสียงเย็นเยียบ&
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห
โลกทั้งใบ...เริ่มชัดขึ้นอีกครั้งแสงจันทร์ทอดพาดผ่านเปลือกตา กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก ปลายนิ้วฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากมืออีกข้างที่กำมันไว้แน่นหนา ไม่ยอมปล่อยแม้สักวินาทีฉันกะพริบตาช้า ๆ เสียงแรกที่ได้ยิน—“เอลาเรีย…!”เสียงที่ฉันรู้จักดี ไม่ว่าจะอยู่ในฝัน ในความมืด หรือแม้แต่ในความว่างเปล่า...เพราะเขา—คือ บ้าน ของฉันฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านม่านบางทำให้สายตาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนในใจชายผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งงดงามราวผลึกเวทมนตร์นั่งอยู่ชิดขอบเตียง เขาจ้องฉัน...นิ่งงัน ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ผมยาวกระเซิงไม่ได้รวบไว้เช่นทุกวันหลงอวิ๋น...เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำในแววตานั้น—ฉันเห็นรอยแตกร้าว ...แต่มันเริ่มจางหายไปเมื่อฉันลืมตา“...เอลาเรีย...” เขาเอ่ยชื่อฉันอีกครั้ง เสียงสั่นเครือราวกับยังไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงฉันยิ้มให้เขา ลมหายใจแผ่วเบา ฉันพยายามขยับริมฝีปาก...แต่สิ่งแรกที่หลุดออกมากลับเป็น—น้ำตา
กลิ่นชาหอมอ่อนจากมวลดอกไม้ยามราตรีลอยอบอวลทั่วห้องบรรทม ผ้าม่านโปร่งลายจันทราโบราณปลิวไหวตามลมหิมะที่ลอดผ่านหน้าต่างแสงจันทร์พาดผ่านเนื้อผ้าและไหลแตะลงบนผ้าห่มสีเงินอ่อนที่คลุมร่างของหญิงสาวหนึ่งไว้แนบเนื้อ—อย่างแผ่วเบาเอลาเรียยังคงหลับใหล...นานถึงสิบแปดวันแล้วร่างกายของเธอยังอุ่น เวทจันทรายังเรืองแสงบางใต้ผิวบริเวณหัวใจ แต่เปลือกตาคู่งามของเธอ...ยังคงปิดสนิท ราวกับหลับลึกในห้วงแห่งคำสัญญาที่ไร้เสียงบนเก้าอี้ไม้แกะลายมังกรน้ำแข็งข้างเตียง หลงอวิ๋นนั่งนิ่งไม่ไหวติง มือข้างขวาของเขากุมมือของเธอไว้แน่น...นิ้วโป้งลูบเบา ๆ ที่หลังมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เพื่อปลุกเธอแต่เพื่อบอกกับเธอทุกวินาที...ว่าเขายังอยู่ตรงนี้“ข้าจะรอ…ไม่ว่านานแค่ไหน” เขากระซิบ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งยังจ้องใบหน้าอ่อนหวานของเธอ...อย่างไม่ละสายตาเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนบานประตูไม้จะถูกแง้มออกช้า ๆ ด้วยมือเรียวในชุดคลุมผ้าทอมือ“องค์ชายเพคะ…”หลงจื่อ สาวใช้คนสนิทกล่าวเสียงอ่อน เธอถือถาดอาหารไม้แกะลา