การได้ใกล้ชิดกับพัณณ์ชิตามาเกือบหนึ่งเดือนทำให้มาเฟียหนุ่มอย่างนิโคไลเริ่มจะคล้อยตามความคิดของบิดาที่อยากให้เขามีภรรยาเป็นคนไทย
นอกจากหญิงสาวจะสวยแล้วยังทำงานเก่งและอึดได้อย่างน่าประหลาด เขาเห็นเธอตรวจคนไข้ทั้งวัน บางวันก็มีผ่าตัด อีกทั้งบางคืนยังถูกเรียกให้มาทำคลอดหรือผ่าคลอดกลางดึกแต่ไม่เคยได้ยินเธอบนว่าเหนื่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าใครที่จะมาเป็นแฟนกับเธอคงคิดหนักเพราะเวลาพักแทบจะไม่มี และถ้าอีกฝ่ายต้องทำงานด้วยแล้วโอกาสจะได้อยู่กับแฟนก็คงริบหรี่ แต่สำหรับคนว่างงานอย่างนิโคไล กลับมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีเวลาให้เธอตลอดไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ขอแค่เธอโทรบอกเข้าก็พร้อมที่จะรับเธอไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะวันไหนที่เธอต้องเข้าเวรชายหนุ่มจะมาเช่าโรงแรมที่ใกล้กับคอนโดของเธอเพื่อจะได้รับเธอไปส่งได้ทันเวลา
“วันนี้ให้ผมไปส่งที่บ้านเหมือนเดิมใช่ไหม” เขารู้ตารางของเธอเป็นอย่างดีเพราะปกติแล้วเช้าวันเสาร์เธอจะราวน์คนไข้เสร็จแล้วจากนั้นก็จะไปค้างที่บ้านกับครอบครัว นิโคไลไปส่งเธอแค่หน้าบ้านแต่ยังไม่เคยเข้าไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักครั้ง
ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควรแต่มันไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะถ้าเขาอยากจะรู้จักเธอขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เขารู้ที่อยู่และข้อมูลของสมาชิกในครอบครัวของพัณณ์ชิตาเป็นอย่างดี
“วันนี้ไม่ต้องค่ะ” เธอบอกขณะที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัย
“ทำไมล่ะ หรือกลัวว่าผมจะเข้าไปในบ้าน ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ถ้าคุณไม่ชวน”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ พอดีว่าวันนี้ฉันนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ ไปที่ไหนร้านไหนล่ะ คุณบอกทางมาเลย” ตอนนี้นิโคไลรู้จักเส้นทางในกรุงเทพมากขึ้นเพราะบางวันเขาก็ออกมาขับรถเล่นเพื่อศึกษาเส้นทางไปในตัว
“คุณจะไปทำไม คุณไม่รู้จักเพื่อนฉันสักหน่อย แค่ไปส่งอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง ขากลับฉันจะให้เพื่อนมาส่ง” พัณณ์ชิตารีบปฏิเสธ
“คุณก็แนะนำให้ผมรู้จักสิ ไม่เห็นยากเลย”
“จะให้ฉันบอกเพื่อนๆ ว่ายังไง นี่ทุกคนฉันขอแนะนำให้รู้จักผู้คุมของฉันนะ อย่างนี้เหรอ ไม่เอาหรอกค่ะ มันฟังดูน่าตลก”
“ผมรับส่งคุณมาเกือบเดือนแล้ว ผมนึกว่าเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก” เขาตัดพ้อ
“เพื่อนเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วถามพลางมองหน้าเขา
“ครับ เราเป็นเพื่อนกัน”
“ฉันว่าที่คุณคอยตามฉันเพราะอยากหาคนรับผิดชอบเรื่องหลานคุณมากกว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันนะคะ”
“นั่นมันแค่ตอนแรก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ผมไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว”
นิโคไลเชื่อแล้วว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้อง หลานของตนอาการดีขึ้นและเขาก็ถามหมอหลายๆ คน ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกว่าการตัดสินใจผ่าเด็กออกมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดทั้งกับน้องสาวและหลานสาวของเขา
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันทำทุกอย่างถูกต้อง คุณก็น่าจะเลิกตามฉันได้แล้วนะคะ”
“ที่ผมตามคุณเพราะผมอยากเป็นเพื่อนคุณนะ”
“คุณอยากเพื่อนฉันเหรอคะ” เธอมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่
“ครับ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหมพั้นช์”
เป็นครั้งแรกที่พัณณ์ชิตาได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่น มันเลยทำให้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขากำลังขยับเข้ามาทีละนิด จากพี่ชายผู้ป่วยมาเป็นเพื่อน แม้ที่ผ่านมาจะให้เขาตามรับส่งตลอดแต่นั้นก็เพราะคิดว่าเขาเพื่อหลาน แต่พอได้เขาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนก็เลยอดแปลกใจไม่ได้
“ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนฉันล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ แต่ผมชอบที่ได้คุยกับคุณไง ผมมีเพื่อนไม่เยอะหรอกนะ คุณคงไม่รังเกียจใช่ไหม”
“ไม่หรอกค่ะ แค่แปลกใจ”
“งั้นตกลงเราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วเย็นนี้ผมก็ขอไปด้วย”
“คุณจะไปกับฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ คุณไปแค่คนเดียวได้ไหม ส่วนลูกน้องของคุณให้เขาตามไปส่งแล้วก็กลับ ไม่ต้องตามติดเหมือนทุกครั้ง”
“ปกติผมก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดนะ” เขารีบเถียงเพราะคิดว่าที่ผ่านมาพัณณ์ชิตาคงไม่รู้ตัว
“ฉันไม่ได้โง่นะคะ ฉันเห็นว่าเขาคอยตามคุณอยู่ห่างๆ เพียงแต่ฉันไม่พูดเพราะคิดว่ามันไม่ได้กระทบอะไรมากแต่ถ้าคุณไปกับฉันแล้วเขาไปกับคุณด้วยฉันกลัวว่าพวกเขาจะตกใจ” เธอบอกเหตุผลของเธอ ส่วนนิโคไลจะรับฟังหรือไม่มันก็เรื่องของเขา ถ้าเขายอมทำตามที่เธอขอเธอก็จะยอมให้เขาไปด้วย
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” นิโคไลรู้สึกว่าพัณณ์ชิตาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและช่างสังเกตมากคนหนึ่งเพราะลูกน้องของเขาไม่ได้ตามติดขนาดนั้นแต่เธอก็ยังรู้สึกตัว
“คุณอย่าเพิ่งรีบรับปากเร็วขนาดนั้น คิดก่อนก็ได้ว่าจะมีผลเสียไหม ถ้าพวกเขาไม่ไปด้วย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันคงรับผิดชอบไหว” พัณณ์ชิตาไม่อยากบังคับเขาแต่ก็ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ถ้าเขาจะพาลูกน้องไปด้วย
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ ว่าแต่คุณนัดเจอเพื่อนที่ไหน กี่โมงล่ะครับ”
“เรานัดกันที่ร้านอาหาร หกโมงเย็น เดี๋ยวคุณไปส่งฉันที่คอนโดแล้วสักห้าโมงค่อยมารับก็ได้ ฉันเตือนไว้ก่อนนะว่าเพื่อน ๆของฉันส่วนใหญ่เวลาเจอกันก็จะพูดถึงแต่เรื่องการทำงาน ถ้าคิดว่ามันน่าเบื่อจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ” เธอไม่อยากให้เขาไปนั่งเหงาอยู่คนเดียว
“ผมอยากเป็นเพื่อนคุณ ผมก็ต้องเรียนรู้ว่าสังคมของคุณเป็นแบบไหน”
“ฉันไม่บังคับคุณหรอกนะคะ ถ้ามันน่าเบื่อมาก คุณจะเดินออกมารอข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรคุณหรอก แต่อย่าชวนฉันกลับก่อนเวลาแค่นั้นคิดว่าทำได้ไหมคะ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถึงผมไม่ได้โตที่เมืองไทยแต่แม่ก็สอนผมเรื่องมารยาทนะครับ”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยก็แค่บอกไว้ก่อน” ที่พัณณ์ชิตาต้องพูดกับเขาเรื่องนี้ก็เพราะเธอเคยมีแฟนมาก่อนและเวลาเขาไปเจอกับเพื่อนๆ ของเธอชายหนุ่มก็มักจะนั่งทำหน้าเบื่อโลกจนเธอหมดสนุกและบางครั้งก็ชวนเธอกลับก่อนทั้งที่ยังคุยกับเพื่อนไม่ถึงไหม
“ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอนครับ ผมกลับก่อนนะ เดี๋ยวห้าโมงเย็นเจอกัน”
“ค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมาบอกได้ตลอดนะคะ”
“ไม่มีทาง” นิโคไลไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆ ของพัณณ์ชิตาอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าถ้าอยากรู้จักใครให้มากขึ้นก็ให้ดูเวลาที่เธออยู่กับเพื่อน
พัณณ์ชิตาขึ้นมาบนห้องจากนั้นก็อาบน้ำและตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาสี่โมงเย็นก่อนจะล้มตัวลงนอนเก็บแรงเอาไว้ก่อนเพราะการเจอเพื่อนในแต่ละครั้งเธอก็มักจะคุยกันจนดึก เนื่องจากแต่ละคนก็มักจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร ยิ่งครั้งนี้เป็นการเจอกันในรอบ 6 เดือนคงต้องมีเรื่องคุยกันยาวแน่ๆ
ไม่บ่อยนักที่เธอกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะแต่ละคนก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ การลางานมาเจอกันของเพื่อนที่ทำงานเป็นหมออยู่ตามโรงพยาบาลในต่างจังหวัดจึงทำได้ไม่บ่อยนัก
“หมอพั้นช์ลางานตั้งหลายวันครั้งนี้จะไปเที่ยวไหนคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจถามคุณหมอสาวที่มักจะใช้วันหยุดไปกับการท่องเที่ยวและมีของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นประจำ“ครั้งนี้คิดว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านจริงๆ ค่ะ เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ” พัณณ์ชิตาอยากให้เวลากับนิโคไลบ้างเพราะที่ผ่านมาเธอทำแต่งานหนักมาโดยตลอดพัณณ์ชิตาบอกพยาบาลที่หน้าห้องตรวจก่อนจะรีบมาขึ้นรถซึ่งนิโคไลมารออยู่ก่อนแล้ว“เหนื่อยไหมครับ” ชายหนุ่มส่งน้ำเย็นให้เธอ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มารับคนรัก“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับน้ำมาดื่มจากนั้นทั้งสองคนก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเพนท์เฮาส์“ผมขอทำงานต่ออีกนิดนะครับ” นิโคไลบอกคนรักเมื่อมาถึงบนห้อง“ได้ค่ะ”พัณณ์ชิตากลับมายังห้องนอนยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำก็มีข้อความจากหมอปิญชาน์แจ้งผลการตรวจเลือดและนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก ไม่ใช่แค่ผลจากหมอปิญชาน์ แต่เธอยังไม่ตรวจที่อื่นมาแล้วเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวยิ้มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้ เธออาบน้ำอย่างสบายใจจนลืมไปว่านิโคไลก็รอฟังผลเลือดอยู่เหมือนกันเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกข่าวดีกับเขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต
วันนี้พัณณ์ชิตามาเจาะเลือดที่คลินิกของหมอปิญชาน์หลังจากที่ทานยาครบ 28 วันแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจเลือดจะออกมายังไงนิโคไลก็ยังยืนเหมือนเดิมว่าเขาจะแต่งงานกับเธอซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว “เดี๋ยวพี่จะเอาเลือดไปส่งเอง พั้นช์ไปรอฟังผลที่บ้านก็ได้นะ” “นานไหมครับหมอ” นิโคไลถาม “ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ” “ถ้าผลเป็นลบก็หยุดยาแล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากวันนี้อีกสองเดือน” “แล้วถ้าผลเป็นบวกล่ะครับ” “ถ้าผลเป็นบกต้องตรวจเพิ่มว่าระดับเชื้อมีมากน้อยแค่ไหนจากนั้นก็จะเริ่มทานต้านเชื้อครับ แต่ผมว่าดูแล้วโอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย พั้นช์ก็อาการปกติดี” “ขอบคุณครับหมอชาน์” “พั้นช์ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม พี่ขอปรึกษาอะไรคุณนิคสักหน่อย” ปิญชาน์บอกคุณหมอรุ่นน้อง “ขอพั้นช์ฟังด้วยไม่ได้เหรอคะ” “มันเป็นเรื่องของผู้ชายพั้นช์อย่าฟังเลย” “ก็ได้ค่ะ” พัณณ์ชิตาเดินออกไปแล้วปิญชาน์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับนิโคไลเพราะรู้ว่าผู้ชายทุกคนนั้นมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า “ขอบคุณค
“เป็นอะไรหรือเปล่าพั้นช์” นิโคไลถามคนรักทันทีที่เธอขึ้นมานั่งบนรถ “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ” “ผมช่วยอะไรได้ไหมครับ” “ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” “ผมไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถึงผมช่วยไม่ได้แต่ให้กำลังใจพั้นช์ได้ใช่ไหมครับ” เขาจับมือเล็กๆ ขึ้นมาแล้วจูบไปบนหลังมือเบาๆ “ขอบคุณค่ะนิค เรารีบกลับเถอะค่ะพั้นช์เหนื่อยมากอยากนอนพักแล้ว” “พั้นช์หลับเลยก็ได้นะครับ” พัณณ์ชิตาหลับตาลงช้าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่เธอกำลังเครียดกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่และก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดกับเขายังไง “ที่รักถึงแล้วถ้าไม่ไหวให้ผมอุ้มไปนะ” “ไม่เป็นค่ะนิค พั้นช์ไหว” พอมาถึงบนห้องก็รีบอาบน้ำและเข้านอนซึ่งนิโคไลก็เข้าใจว่าคนรักเหนื่อยจากการทำงานจริงๆ เพราะเมื่อเช้าเธอบอกเขาว่าวันนี้มีผ่าตัดถึงสามเคสด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งทำงานต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอนตามเธอไป พัณณ์ชิตายังนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างรอผลเลือดหนึ่งเดือนนี้เธอต้องหาทางอยู่ห่างจากเขาให้ม
อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว การเตรียมงานเป็นไปตามแผนที่คิดไว้ ทั้งสองคนเลือกไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่ภูเก็ตเพราะที่นั่นเป็นจุดที่ทั้งสองตกลงใช่ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเหลือแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น พัณณ์ชิตายังคงทำงานอย่างเดิมแต่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะรับขึ้นเวรให้น้อยลงเพราะอย่างแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้นิโคไลก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเขาก็ยังคงทำงานที่บริษัทของตนเองและบิดาที่ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล “หมอพั้นช์ไหวไหมคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดถามเธอขึ้นเพราะวันนี้พัณณ์ชิตาผ่าตัดไปถึงสามเคสและเคสสุดท้ายเป็นที่ค่อนข้างหนักเพราะคนไข้มีเชื้อ HIV แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” “ไหวค่ะพี่ไก่” “หมอพั้นช์อึดมากๆ เลยนะคะ” “พี่ไก่เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่ได้พี่พั้นช์ก็คงแย่” เพราะพี่ไก่หรือปัทมานั้นเป็นพยาบาลที่คอยส่งเครื่องมือให้เธอในห้องผ่าตัด ทั้งสองทำงานเข้าขากันดี บางครั้งเธอแทบไม่ต้องบอกพี่พยาบาลก็หยิบเครื่องมือมารออยู่แล้ว “พี่ดูตารางผ่าตัดแล้ว เดือนนี้หมอพั
กลับมาถึงเมืองไทยชีวิตของพัณณ์ชิตาก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ในทุกๆ วันนิโคไลจะคอยตามรับส่งจนใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา แม้ว่าต้องทำงานบริษัทของตนเองและบิดาแต่นิโคไลก็บริหารเวลาได้ดี “พั้นช์ครับ ผมแต่งตัวโอเคไหม” “หล่อแล้วค่ะ” พัณณ์ชิตามองคนรักที่วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวต่างจากวันปกติที่มักจะสวมแต่สีโทนมืด “มันดูเข้ากับคุณไหม” “เข้าสิคะ นิคคะคุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับพั้นช์หรอกนะคะ แต่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว” “ผมอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง เบื่อแล้วสีมืดๆ ดูไม่สดชื่นเลย แล้วผมก็อยากดูดีในสายตาของเพื่อนคุณ”วันนี้พัณณ์ชิตานัดทานอาหารกับเพื่อนซึ่งบังเอิญว่าเข้ามาประชุมวิชาการกันที่กรุงเทพหญิงสาวจึงนัดทานอาหารเย็นกับทุกคนและเธอก็ตั้งใจจะบอกข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ“เราต้องเตรียมการ์ดไปให้เพื่อนๆ ไหมครับ”“พั้นช์เอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ”“เดี๋ยวสิ ลืมอะไรหรือเปล่า”“ไม่นะคะ หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือของตนเองเช็กแล้วว่าด้านในมีการ์ดแต่งงาน โทรศัพท์รวมทั้งกระเป๋าเงินอยู่ครบแล้ว“ผมไม่ได้หมายถึงของในกระเป๋า”“แล้วหมายถึงอะไรล่ะคะ” หญิ
สายของวันใหม่พัณณ์ชิตาถึงรู้สึกตัวตื่น เมื่อคืนทั้งเธอและคนรักต่างกระโจนเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีเรี่ยวแรงตอบสนองเขาได้มากขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่ามันมากไปหรือเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับคนอื่นมาก่อน แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหมคุณหมอสาวก็ตอบได้อย่างไม่อายเลยว่ามันมีความสุขมาก สุขจนนึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อวานถ้านิโคไลกลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถึงแม้จะยิงอังเดรไปแล้วแต่ก็ยังมีลูกน้องของเขาที่รออยู่ทางด้านนอกอีกอย่างน้อยสองคน “โทรศัพท์” พัณณ์ชิตานึกได้ว่าเมื่อวานได้อัดเสียงสนทนาไว้ จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องทรุดลงข้างเตียงเพราะขาเธอแทบมีแรงอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั้งตัว “โอ๊ยยย...” “พั้นช์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” นิโคไลที่เดินขึ้นมาบนห้องนอนพอได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเตียง “นิคคะ โทรศัพท์ของพั้นช์อยู่ที่ห้องรับแขก ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหมคะ” “ผมเห็นแล้วแต่แบตมันหมดตอนนี้ชาร์ตอยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้แบตน่าจะเต็มแล้ว” พัณณ์ชิตานั่ง