เพราะเคยเสียลูกสาวไปแล้วคนหนึ่งเขาจึงไม่อยากจะเสียหลานสาวไปอีกคน มาเฟียหนุ่มจึงต้องจับตามองคุณหมอราวกับเธอเป็นตัวประกัน แต่พอได้อยู่ใกล้ หัวใจของมาเฟียกลับกลายมาเป็นตัวประกันเสียเอง
View Moreสัญญาณไฟเหนือประตูห้องผ่าตัดยังเปิดอยู่แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตีสามแต่ทุกคนด้านหลังประตูก็ทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ป่วยและลูกน้อยในครรภ์รอดชีวิต
หลังเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกแหกโค้งชนกับรถเก๋งเมื่อสองชั่วโมงก่อนคารินาก็ถูกส่งมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าหญิงสาวมีอาการที่น่าเป็นห่วงเพราะถูกหน้าท้องถูกสายเข็มขัดนิรภัยกระชากอย่างแรงจนทำให้ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ทางโรงพยาบาลจึงต้องตามหมอเฉพาะทางเพื่อมาทำการเด็กออกก่อนแม้ว่าจะยังไม่ถึงกำหนดคลอดเพราะพิจารณาแล้วว่าอัตราการรอดชีวิตจะมากกว่าปล่อยให้อยู่ในท้องมารดา
อรรถวุฒิผู้เป็นสามีรีบเซ็นชื่อให้ความยินยอมให้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าถ้าหากตนเองตัดสินใจช้าเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจจะต้องเสียคนรักทั้งสองคนไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลังจากทำแผลตามร่างกายของตนเองแล้วเขาก็รีบตามมาที่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งตอนนี้พี่ชายของภรรยามารออยู่ก่อนแล้ว
“พี่นิค ผมขอโทษนะครับ”
“ไม่ใช่ความผิดขอบนายหรอก รถบรรทุกนั่นต่างหากที่ขับมาเร็ว” ก่อนมาโรงพยาบาลชายหนุ่มที่ที่โรงพักมาแล้วจึงได้รู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอะไร
“อือ นายไม่เป็นไรมากใช่ไหม แล้วหมอว่ายังไงบ้าง”
“ผมมีแผลแค่นิดหน่อยครับ แต่เคทกับลูกนี่สิ ลูกผมยังตัวเล็กนิดเดียวเองนะพี่ ยังไม่ครบกำหนดคลอดด้วยซ้ำ แต่หมอก็ยืนยันว่าจะต้องรีบผ่าเอาเด็กออก”
อรรถวุฒิรู้สึกบีบหัวใจอย่างหนักเพราะห่วงทั้งลูกและภรรยา เขากับคารินานับวันที่จะได้เจอลูกสาวตัวน้อยแต่ไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
ทั้งสองคนเดินวนอยู่หน้าห้องผ่าตัดจนกระทั่งประตูห้องเปิดออกออกอีกครั้ง
“ลูก” อรรถวุฒิมองเด็กทารกที่ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดซึ่งมีลำตัวมีแดงจัดลำตัวเหี่ยวย่นอีกทั้งยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจทำให้เขามองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
ทั้งสองคนเดินตามไปอย่างอัตโนมัติจนกระทั้งเด็กถูกเข็นเข้าไปในห้อง NICU ซึ่งเป็นห้องกระจกที่มองเห็นว่าด้านในนั้นมีทารกอีกหลายคนที่นอนอยู่ในตู้อบ
หลังจากหมอและพยาบาลช่วยกันนำร่างเล็กๆ เขาไปในตู้อบและจัดการต่อเครื่องช่วยหานใจและสายน้ำเกลือจนเรียบร้อยแล้วคุณหมอก็เดินออกมานอกห้อง
“ก่อนผ่าตัดพวกคุณบอกว่าลูกผมจะปลอดภัย”
“ค่ะ ตอนนี้น้องก็ถือว่าอยู่ในขั้นที่ปลอดภัย”
“ถ้าปลอดภัยทำไมเขาจะต้องเข้าไปอยู่ในตู้นั่นล่ะ”
“คุณพ่อใจเย็นๆ นะคะน้องคลอดก่อนกำหนดทำให้น้ำหนักตัวน้อยอีกทั้งปอดก็ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็ม”
“แต่พวกคุณก็ยังยืนยันจะผ่าตัด”
“เราต้องรีบผ่าตัดเพราะน้องเริ่มดิ้นน้อยลงและรกเริ่มลอกตัวถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตรายทั้งเด็กและแม่นะคะ ที่เราให้น้องนอนในตู้อบก็เพื่อรักษาอุณหภูมิ เราจะรอจนกระทั่งน้องน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและหายใจเองได้ดีก็จะกลับบ้านได้ค่ะ”
“นานแค่ไหนครับ”
“เท่าที่หมอประเมินก็ไม่น่าจะเกินสองเดือนค่ะ”
“แล้วถ้าหลานผมไม่ดีขึ้นหรือต้องอยู่ในนั้นตลอดใครจะรับผิดชอบ”
“ฉันรับผิดชอบเองค่ะ” เสียงที่พูดดังมาจากด้านหลังทำให้คนถามหันกลับไปมอง
หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ดวงตากลมโตที่เดินเข้ามานั้นทำให้มาเฟียหนุ่มชื่อนิโคไลรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเธอสะกด
“คุณเป็นใคร”
“ฉันชื่อพัณณ์ชิตาเป็นคนผ่าตัดค่ะ”
“พูดผิดหรือเปล่าคุณ เด็กอย่างคุณจะมาผ่าตัดได้ยังไง”
“แต่ฉันก็ผ่าตัดไปแล้วนี่คะ”
“เมียผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“เธอปลอดภัยค่ะ คุณไปรอเธอที่ห้องพักได้เลยไม่เกินหนึ่งชั่วโมงพยาบาลจะไปส่งที่นั่น”
“ขอบคุณครับหมอ”
“เป็นไรค่ะ ฉันทำตามหน้าที่”
“แล้วคุณล่ะคะ ไม่ตามไปด้วยเหรอ” หมอพัณณ์ชิตาถามเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมเดินออกไป
“คุณใช่ไหมที่เป็นคนตัดสินใจผ่าตัดน้องสาวผม”
“ใช่ค่ะ”
“คุณผ่าตัดทั้งที่หลานของผมตัวเล็กนิดเดียวถ้าหลานสาวผมเป็นอะไรไปผมจะฟ้องพวกคุณทุกคน”
“ฉันผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ คุณอยากจะฟ้องก็ฟ้องไปสิคะ” คุณหมอสาวกล่าวอย่างมั่นใจ จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปยังห้องด้านในที่มีเด็กตัวน้อยนอนอยู่ในตู้อบ
“พี่อัยย์คะ เด็กเป็นยังไงบ้าง”
“น้ำหนักตัว 1200 กรัมเอง ปอดก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่เลยคงต้องอยู่ในตู้อบอีกยาว แต่พั้นช์ไม่ต้องห่วงนะ เคสแบบนี้พี่เจอมาเยอะแล้ว”
“ชอบคุณนะคะพี่อัยย์ และก็ขอโทษด้วยที่โทรตามกลางดึก”
“ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วพี่ต้องขอโทษพั้นช์มากกว่าคืนนี้เวรหมอชาน์แท้ๆ แต่เจ้าตัวดันไม่สบายเลยทำให้พั้นช์ต้องมาเจอเคสที่ตัดสินใจยากแบบนี้ แล้วดูท่าผู้ชายคนนั้นจะเอาเรื่องมากกว่าสามีเขาอีกนะ”
“ถ้าเขาไม่บอกว่าเด็กเป็นหลานพั้นช์ก็คงคิดว่าเขาเป็นพ่อของลูก คนอะไรก็ไม่รู้หน้าดุชะมัด”
“นั่นสิคะ เสียดายหน้าหล่อๆ ถ้าเขายิ้มอีกนิดนี่คงดูดีกว่านี้เยอะเลย” หมอไอรดาออกความเห็น
“ไม่รู้ว่าจะเครียดอะไรกัน”
“เขาก็คงไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ละมั้ง”
“เหมือนเขาไม่ค่อยไว้ใจเราเลยนะคะ พี่อัยย์คิดเหมือนพั้นช์ไหม”
“ก็คงอย่างนั้น แต่เราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็แค่รอเวลาให้ยัยหนูตัวเล็กแข็งแรงไวๆ”
“พั้นช์ก็หวังอย่างนั้น แล้วพี่อัยย์จะกลับบ้านเลยไหมคะ”
“ไม่จ้ะ พี่ว่าจะอยู่ยาวเลยเดี๋ยวให้หมอชาน์เอาชุดมาให้เปลี่ยนแล้วพั้นช์ล่ะ”
“พั้นช์ก็ว่าจะไปตรวจคนไข้อีกรอบแล้วค่อยกลับไปอาบน้ำพรุ่งนี้พั้นช์ไม่มีตรวจ OPD ค่ะ”
“หมอพั้นช์ลางานตั้งหลายวันครั้งนี้จะไปเที่ยวไหนคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจถามคุณหมอสาวที่มักจะใช้วันหยุดไปกับการท่องเที่ยวและมีของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นประจำ“ครั้งนี้คิดว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านจริงๆ ค่ะ เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ” พัณณ์ชิตาอยากให้เวลากับนิโคไลบ้างเพราะที่ผ่านมาเธอทำแต่งานหนักมาโดยตลอดพัณณ์ชิตาบอกพยาบาลที่หน้าห้องตรวจก่อนจะรีบมาขึ้นรถซึ่งนิโคไลมารออยู่ก่อนแล้ว“เหนื่อยไหมครับ” ชายหนุ่มส่งน้ำเย็นให้เธอ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มารับคนรัก“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับน้ำมาดื่มจากนั้นทั้งสองคนก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเพนท์เฮาส์“ผมขอทำงานต่ออีกนิดนะครับ” นิโคไลบอกคนรักเมื่อมาถึงบนห้อง“ได้ค่ะ”พัณณ์ชิตากลับมายังห้องนอนยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำก็มีข้อความจากหมอปิญชาน์แจ้งผลการตรวจเลือดและนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก ไม่ใช่แค่ผลจากหมอปิญชาน์ แต่เธอยังไม่ตรวจที่อื่นมาแล้วเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวยิ้มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้ เธออาบน้ำอย่างสบายใจจนลืมไปว่านิโคไลก็รอฟังผลเลือดอยู่เหมือนกันเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกข่าวดีกับเขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต
วันนี้พัณณ์ชิตามาเจาะเลือดที่คลินิกของหมอปิญชาน์หลังจากที่ทานยาครบ 28 วันแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจเลือดจะออกมายังไงนิโคไลก็ยังยืนเหมือนเดิมว่าเขาจะแต่งงานกับเธอซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว “เดี๋ยวพี่จะเอาเลือดไปส่งเอง พั้นช์ไปรอฟังผลที่บ้านก็ได้นะ” “นานไหมครับหมอ” นิโคไลถาม “ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ” “ถ้าผลเป็นลบก็หยุดยาแล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากวันนี้อีกสองเดือน” “แล้วถ้าผลเป็นบวกล่ะครับ” “ถ้าผลเป็นบกต้องตรวจเพิ่มว่าระดับเชื้อมีมากน้อยแค่ไหนจากนั้นก็จะเริ่มทานต้านเชื้อครับ แต่ผมว่าดูแล้วโอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย พั้นช์ก็อาการปกติดี” “ขอบคุณครับหมอชาน์” “พั้นช์ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม พี่ขอปรึกษาอะไรคุณนิคสักหน่อย” ปิญชาน์บอกคุณหมอรุ่นน้อง “ขอพั้นช์ฟังด้วยไม่ได้เหรอคะ” “มันเป็นเรื่องของผู้ชายพั้นช์อย่าฟังเลย” “ก็ได้ค่ะ” พัณณ์ชิตาเดินออกไปแล้วปิญชาน์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับนิโคไลเพราะรู้ว่าผู้ชายทุกคนนั้นมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า “ขอบคุณค
“เป็นอะไรหรือเปล่าพั้นช์” นิโคไลถามคนรักทันทีที่เธอขึ้นมานั่งบนรถ “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ” “ผมช่วยอะไรได้ไหมครับ” “ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” “ผมไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถึงผมช่วยไม่ได้แต่ให้กำลังใจพั้นช์ได้ใช่ไหมครับ” เขาจับมือเล็กๆ ขึ้นมาแล้วจูบไปบนหลังมือเบาๆ “ขอบคุณค่ะนิค เรารีบกลับเถอะค่ะพั้นช์เหนื่อยมากอยากนอนพักแล้ว” “พั้นช์หลับเลยก็ได้นะครับ” พัณณ์ชิตาหลับตาลงช้าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่เธอกำลังเครียดกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่และก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดกับเขายังไง “ที่รักถึงแล้วถ้าไม่ไหวให้ผมอุ้มไปนะ” “ไม่เป็นค่ะนิค พั้นช์ไหว” พอมาถึงบนห้องก็รีบอาบน้ำและเข้านอนซึ่งนิโคไลก็เข้าใจว่าคนรักเหนื่อยจากการทำงานจริงๆ เพราะเมื่อเช้าเธอบอกเขาว่าวันนี้มีผ่าตัดถึงสามเคสด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งทำงานต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอนตามเธอไป พัณณ์ชิตายังนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างรอผลเลือดหนึ่งเดือนนี้เธอต้องหาทางอยู่ห่างจากเขาให้ม
อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว การเตรียมงานเป็นไปตามแผนที่คิดไว้ ทั้งสองคนเลือกไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่ภูเก็ตเพราะที่นั่นเป็นจุดที่ทั้งสองตกลงใช่ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเหลือแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น พัณณ์ชิตายังคงทำงานอย่างเดิมแต่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะรับขึ้นเวรให้น้อยลงเพราะอย่างแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้นิโคไลก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเขาก็ยังคงทำงานที่บริษัทของตนเองและบิดาที่ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล “หมอพั้นช์ไหวไหมคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดถามเธอขึ้นเพราะวันนี้พัณณ์ชิตาผ่าตัดไปถึงสามเคสและเคสสุดท้ายเป็นที่ค่อนข้างหนักเพราะคนไข้มีเชื้อ HIV แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” “ไหวค่ะพี่ไก่” “หมอพั้นช์อึดมากๆ เลยนะคะ” “พี่ไก่เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่ได้พี่พั้นช์ก็คงแย่” เพราะพี่ไก่หรือปัทมานั้นเป็นพยาบาลที่คอยส่งเครื่องมือให้เธอในห้องผ่าตัด ทั้งสองทำงานเข้าขากันดี บางครั้งเธอแทบไม่ต้องบอกพี่พยาบาลก็หยิบเครื่องมือมารออยู่แล้ว “พี่ดูตารางผ่าตัดแล้ว เดือนนี้หมอพั
กลับมาถึงเมืองไทยชีวิตของพัณณ์ชิตาก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ในทุกๆ วันนิโคไลจะคอยตามรับส่งจนใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา แม้ว่าต้องทำงานบริษัทของตนเองและบิดาแต่นิโคไลก็บริหารเวลาได้ดี “พั้นช์ครับ ผมแต่งตัวโอเคไหม” “หล่อแล้วค่ะ” พัณณ์ชิตามองคนรักที่วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวต่างจากวันปกติที่มักจะสวมแต่สีโทนมืด “มันดูเข้ากับคุณไหม” “เข้าสิคะ นิคคะคุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับพั้นช์หรอกนะคะ แต่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว” “ผมอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง เบื่อแล้วสีมืดๆ ดูไม่สดชื่นเลย แล้วผมก็อยากดูดีในสายตาของเพื่อนคุณ”วันนี้พัณณ์ชิตานัดทานอาหารกับเพื่อนซึ่งบังเอิญว่าเข้ามาประชุมวิชาการกันที่กรุงเทพหญิงสาวจึงนัดทานอาหารเย็นกับทุกคนและเธอก็ตั้งใจจะบอกข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ“เราต้องเตรียมการ์ดไปให้เพื่อนๆ ไหมครับ”“พั้นช์เอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ”“เดี๋ยวสิ ลืมอะไรหรือเปล่า”“ไม่นะคะ หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือของตนเองเช็กแล้วว่าด้านในมีการ์ดแต่งงาน โทรศัพท์รวมทั้งกระเป๋าเงินอยู่ครบแล้ว“ผมไม่ได้หมายถึงของในกระเป๋า”“แล้วหมายถึงอะไรล่ะคะ” หญิ
สายของวันใหม่พัณณ์ชิตาถึงรู้สึกตัวตื่น เมื่อคืนทั้งเธอและคนรักต่างกระโจนเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีเรี่ยวแรงตอบสนองเขาได้มากขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่ามันมากไปหรือเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับคนอื่นมาก่อน แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหมคุณหมอสาวก็ตอบได้อย่างไม่อายเลยว่ามันมีความสุขมาก สุขจนนึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อวานถ้านิโคไลกลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถึงแม้จะยิงอังเดรไปแล้วแต่ก็ยังมีลูกน้องของเขาที่รออยู่ทางด้านนอกอีกอย่างน้อยสองคน “โทรศัพท์” พัณณ์ชิตานึกได้ว่าเมื่อวานได้อัดเสียงสนทนาไว้ จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องทรุดลงข้างเตียงเพราะขาเธอแทบมีแรงอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั้งตัว “โอ๊ยยย...” “พั้นช์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” นิโคไลที่เดินขึ้นมาบนห้องนอนพอได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเตียง “นิคคะ โทรศัพท์ของพั้นช์อยู่ที่ห้องรับแขก ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหมคะ” “ผมเห็นแล้วแต่แบตมันหมดตอนนี้ชาร์ตอยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้แบตน่าจะเต็มแล้ว” พัณณ์ชิตานั่ง
Comments