อี้หมิงได้นำเอาเม็ดถั่วเขียวออกมาจากถุงผ้า นางนำไปแช่น้ำปล่อยทิ้งข้ามคืนไว้ แล้ววันพรุ่งจึงจะจำนำออกมาเพาะ เมื่อจัดการทำถั่วเขียวเสร็จ สาวน้อยและมารดาได้นำเอาพริกที่มีทั้งเม็ดที่เน่าเสีย และช้ำ ซึ่งเป็นเม็ดที่แก่แล้วภายในอัดแน่นไปด้วยเมล็ดพริกเต็มเม็ด มาค่อย ๆ ใช้มีดกรีดทีละเม็ด แล้วใส่ในกระด้ง นางตั้งใจจะนำเมล็ดพริกแก่เหล่านี้ออกมาผึ่งตากแดดทำให้แห้ง แล้วจะนำไปเพาะต่อไปนั่นเอง
ซึ่งวันนี้เธอกับเฟิน เฟิน หลังจากถอนหญ้าที่รกปกคลุมพื้นที่ว่างขนาดเล็กหลังเรือนเล็กเสร็จ ทั้งสองก็ลงมือพรวนดิน โดยอี้หมิงบอกกับเฟิน เฟิน ว่า มันคือขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยขุดดินที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาพรวนตากแดดไว้ก่อน เป็นการพลิกให้หน้าดินที่อยู่ด้านบนลงไปอยู่ด้านล่าง แล้วใช้ไม้เเหลมเสียบๆ จนพรุนลงไปเป็นการเพิ่มพื้นที่ช่วยทำให้ดินไม่จับกันเป็นก้อนใหญ่ ดินจะได้โปร่ง จะได้มีช่องว่างให้น้ำและอากาศแทรกเข้าไปพอเหมาะ ทำให้ดินมีความเป็นกรดและด่างที่พอดี เป็นการช่วยให้รากของต้นพืชที่จะปลูกชอนชัยหาอาหารได้ดี และที่สำคัญเป็นการฆ่าเชื้อโรคให้กับดินไปในตัวอีกด้วย พืชที่ปลูกจะได้โตเร็ว ๆ “โอ้โห!!! พี่หมิงอี้ พี่ไปเอามาจากไหนกัน ใครสอนเจ้ามารึ ครั้งก่อนที่พี่จะสลบไปเรายังเตร็ดแตร่เล่นกัน และยังแย่งอารหารกับคนเร่ร่อนในตลาดด้านกะโน้นอยู่เลยนะ ไม่ยักกะรู้ว่าพี่จะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย” เฟิน เฟิน ถามอย่างประหลาดใจ ด้านอี้หมิงไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มให้เฟิน เฟิน แล้วลงมือใช้ไม้ไผ่ปลายแหลมเสียบลงดินต่อไปเรื่อย ๆ ” อ่ะ หมิงอี้พริกเสร็จแล้ว “อี้เฟินเอ่ยบอกลูกสาวที่นับวันยิ่งแปลกประหลาด หมิงอี้คนเดิมเคยสนใจงานการเกษตรเสียที่ไหน แม้แต่เธอเองยังไม่มีความรู้ด้านนี้เลย อี้เฟินส่ายหน้ากับความคิดตนเอง ” ดีเลย ต่อไปก็มะเขือเทศ “ “อ่ะ นี่” อี้เฟินยกตะกร้าที่ใส่มะเขือเทศที่บางลูกบ้างก็ช้ำ บางลูกก็เน่าไปแล้วครึ่งซีก มาวางตรงหน้า อี้หมิงเลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วใช้มีดกรีดลงไปแบะเนื้อออกแล้วคว้านเอาแต่เมล็ดเหลืองๆ ออกมา “เราจะะเอาเมล็ดมะเขือเทศนี่ไปตากแดดเหมือนพริก จะได้ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ได้” อี้หมิงอธิบายกับอี้เฟิน “อ่อ ข้าเข้าใจเเล้วล่ะ” ทั้งสองช่วยกันลงมือพลางพูดคุยสัพเพเหระกัน จนในที่สุดก็ได้เมล็ดพันธุ์ออกมา สองแม่ลูกช่วยกันยกกระด้งที่มีเมล็ดพริก และมะเขือเทศที่แผ่กระจายเต็มกระด้งอยู่ ออกไปตากแดดยังลานเล็กหน้าบ้าน เมื่อเสร็จแล้วอี้หมิงก็วกมาหอบยกเอาใบผักทั้งหลายที่มารดาได้มา ไปวางทิ้งไว้ในแปลงผักเพื่อที่จะให้หมักและทำเป็นปุ๋ยธรรมชาติต่อไป ส่วนผักบุ้งบัดนี้ถูกนำมาชำแช่อยู่ในน้ำเป็นที่เรียบร้อย รอเพียงตากหน้าดินเสร็จเท่านั้น “หมิงอี้ ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจะได้มาทานข้าวกัน “ อี้เฟินตะโกนบอกลูกสาว วันนี้นางไปรับจ้างล้างจานในโรงเตี๊ยมในตลาดมาได้ค่าตอบแทนเป็นแป้งสาลี แถมยังได้หมูจากอู๋ไป๋ที่ใจดีแบ่งมาให้อีก วันนี้นางจึงจะทำเมนูที่ลูกสาวนางโปรดปรานที่นาน ๆ ได้ทำที เดิมสมัยที่อยู่แคว้นเหลียง นางพลันนึกย้อนไปถึงสมัยที่หลายปีก่อนที่ นางเติมโตในตระกูลขุนนางใหญ่ เมื่อเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นก็ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งที่สาว ๆ ทั้งเมืองใฝ่ฝัน มีลูกสาวน่ารัก มีสามีที่ดี แต่แล้วราชสำนักเกิดระส่ำระส่าย บ้านเมืองเกิดสงครามทำให้ครอบครัวแตกแยก สามีนางรึ แม้แต่ศพก็หาไม่พบ นางและคนของนางต่างพลัดหลงแตกจากกัน มีเพียงนางและลูกสาวที่โดนกวาดต้อนมายังแคว้นต้าหลี่แห่งนี้ จากชีวิตอันแสนสุขสบายกลับต้องตาลปัตร ระหกระเหินกระเสือกกระสนทำงานงานแลกข้าว เพื่อประทังชีวิตของลูกน้อยและตัวนางเอง เมื่อนึกย้อนอดีตใบหน้าที่คล้อยตามกาลเวลาแต่ยังคงเหลือเค้าโครงความงามอยู่ก็พลันน้ำตารื้นขึ้นมา อี้เฟินถอนหายใจอย่างปลงตกกับโชคชะตาแล้วลงมือทำอาหารต่อ วันนี้นางตั้งใจทำเกี๊ยวทอด ส่วนผสมถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มือที่เริ่มเหี่ยวจุ่มมือลงไปในน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ เเขนเสื้อถูกพันเลิกขึ้นเพื่อสะดวกแก่การปรุงอาหาร เริ่มต้นด้วยการนำหมูมาหั่น จากนั่นก็ลงมือสับหมูหยาบ ๆ จนเกิดเป็นเสียงมีดที่กระทบกับเขียงไม้เป็นจังหวะ “ปุก ปุก!!” เมื่อได้หมูสับที่ต้องการ ก็เอื้อมมือหยิบเต้าหู้ที่เหลือมาซอยหั่น ๆ เป็นชิ้นเล็กเต๋าอย่างชำนาญมีด ต่อด้วยซอยสับต้นหอมที่เก็บจากผักที่ร้านเหลือทิ้ง น้ำหมูสับ ตามด้วยเต้าหู้ และหอมซอยเทผสมลงในชามไม้ใหญ่ ใช้มือปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน เมื่อทั้งสามอย่างผสมเข้าที่แล้ว ขึงหยิบแป้งที่เตรียมไว้ค่อยๆ โรยและคลุกเคล้าไปมาจนได้เป็นก้อนแป้งกลมขาดไม่ใหญ่มาก มือค่อย ๆ หยิบแบ่งก้อนออกมาขนาดพอดี นวดคลึงไปมากับมือจนเป็นก้อนกลม ๆ แล้ววางบนไม้ขนาดสี่เหลี่ยม นวดแบออกเป็นแผ่น ๆ ขนาดพอดี ตอนนี้กระทะเหล็กที่ตั้งไว้กำลังร้อนพอดี จนเกิดเป็นเสียงเดือด” ปุด ปุด “นางคุมไฟไม่ให้แรงมาก เมื่อเห็นว่าน้ำมันร้อนได้ที่ก็หล่นแผ่นแป้งลงไปทอด เกิดเป็นเสียง “ฟู่ ฟู่ “เกิดกลิ่นหอมจากการทอดลอยฟรุ้งหอมไปทั่วบ้าน ” อึก! “อี้หมิงกลืนน้ำลาย จากกลิ่นอาหารที่หอมยั่วยวนกระเพาะน้อย ๆ ของเธอ หลายวันตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ได้กินแต่ข้าวต้มกับผักมาตลอด แต่ข้าวต้มที่นางกินแม่น่าตาธรรมดาแต่รสชาตินั่นหาได้ธรรมดาไม่ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวและน้ำซุปที่หวานกลมกล่อมกำลังดี จนอดชมในใจไม่ได้ว่าแม่นางในชาตินี้ก็ทำอาหารได้อร่อยเหมือนแม่ของเธอไม่น้อย คิดแล้วก็ทำให้คิดถึงพ่อกับแม่ที่เธอจากมา ป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้างหนอ จะคิดถึงนางกันบ้างไหมนะ ” หมิงอี้ นี่แม่ทำเกี๊ยวทอดที่เจ้าชอบ มาๆ ลูก มาทานกัน” อี้หมิงสะดุ้งออกจากภวังค์ที่กำลังคิดถึงบ้าน มองเกี๊ยวทอดตรงหน้าแล้วหยิบขึ้นชิมทันที “ค่อย ๆ นะลูก พึ่งทำเสร็จกำลังร้อน ๆ อยู่เลย” อี้เฟินบอกยิ้ม ๆ ” หื้มมม อร่อยย! “หลังกัดคำแรกแล้วเคี้ยว อี้หมิงตะลึงกับรสชาติที่ได้สัมผัส นางตาโตเคี้ยวตุ่ย ๆ มือก็ส่งเกี๊ยวทอดเข้าปากไม่หยุดอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานอาหารด้านหน้าก็หมดเกลี้ยง อี้เฟินมองลูกสาวที่กำลังเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ยิ้มหายเหนื่อยจากการทำงานเป็นปลิดทิ้ง ขอแค่ลูกของนางกินอิ่มนอนหลับ ไม่ป่วย ไม่ไข้ เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขมากแล้วล่ะ ” อื้มม อร่อยมากเลยทะท่านแม่ ฝีมือท่านไม่ธรรมดานะเนี่ย “อี้หมิงพูดหยอกเย้า ” อ่ะ อะ อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ ไว้ข้าจะทำให้กินใหม่นะอ่ะ “ เมื่อทานเรียบร้อยอี้หมิงจึงอาสาเก็บจานชามไปล้าง เมื่อเรียบร้อย สองแม่ลูกจึงได้แยกย้ายกันเข้านอนสู่นิทราหลังจากดหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
“หมิงอี้ ไม้ไผ่ที่เจ้าต้องการ ตอนนี้ตัดได้ครบตามจำนวนตามที่สั่งแล้วล่ะ” อู๋ไป๋รีบเดินปรี่เข้ามารายงานหมิงอี้ในทันทีที่ทำงานลุล่วงตามที่หมิงอี้สั่งไว้ ด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเหงื่อแต่ก็ทำเพียงใช้หลังมือเช็ดออกเพียงเท่านั้น โดยที่เจ้าตัวนั้นมิได้สนใจที่จะใช้ผ้าเช็ดออกแต่อย่างใดภาพของอู๋ไป๋ตรงหน้านางในเวลานี้ทำให้หมิงอี้ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมทั้งยื่นน้ำเย็นชื่นใจเพื่อเป็นการขอบคุณอยู๋ในที“ครบแล้วเช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกันเถิด เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน เฮ้อชินอีหากมีเวลามากกว่านี้ข้าเองก็ยังอยากว่ายน้ำในลำธารนั่นอีกอยู่ดี” หมิงอี้อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างนึกเสียดายเสียมิได้ แต่ภาระงานข้างหน้ายังรออยู่อีกอย่างในใจก็ยังเป็นห่วงมารดาอยู่มากจึงเร่งเดินทางกลับในทันที“โธ่ นายหญิงน้ำเย็นเพียงนั้นชินอีล่ะไม่เห็นว่าจะน่าภิรมย์เลยเจ้าค่ะ”“ก็เจ้าไม่ชอบอาบน้ำนี่นา เจ้าไม่เข้าใจหรอกชิ ไปเถอะ ๆ ” หมิงอี้เอ่ยพร้อมทั้งเร่งเดินตามขบวนคนงานเพื่อมุ่งออกจากป่าตรงกลับหมู่บ้านคนอพยพของตนคล้อยหลังเหล่าขบวนขนไม้ของหมิงอี้ เฉิงอี้ที่ซ่อนกายเพื่อซุ่มดูมาครู่ใหญ่ก็ได้เผยตนออกมา พร้อมทั้งหันไปสั่งราชองครักษ์คนสนิ
เฉิงอี้ไม่ปล่อยให้ถูกความใครรู้ครอบงำ เขาค่อย ๆ ขยับกายอย่างแผ่วเบาย่องเข้าไปประชิดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธารน้ำ ทันทีที่แลเห็นใบหน้าหญิงงามที่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามวางกลอุบายหวังลวงหลอกตนเข้า ฉับพลับใบหน้าคมคายหล่อยเหลาพลันแดงก่ำ ก่อนครู่ต่อมาจะกัดฟันกรอดหันไปสั่งองครักษ์ของตนอย่างรวดเร็วให้รีบหันหน้ากลับไป“บัดซบ เย่หลาง!หยุดตรงนั้นแล้วหันกลับไปซะ!”“....เอ่อ พะย่ะค่ะ” เย่หลางที่กำลังเตรียมเคลื่อนตัวตามผู้เป็นนายพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปอย่างรวดเร็วในใจสับสนแลสังสัยอยู่มิน้อยกับคำสั่งกะทันหันของผู้เป็นนายเฉิงอี้หลังออกคำสั่งแล้วเสร็จ แต่ทว่าตนนั้นกลับขยับเท้าเข้าใกล้ริมลำธารอย่างเผลอไผล ภาพสตรีเรือนร่างขาวกระจ่างยวนตาท่ามกลางแสงจันทร์รำไรที่ตกกระทบกับสายน้ำจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับขึ้น ทำให้ภาพหมิงอี้เวลานี้ที่เขามองซุ่มดูอยู่นั้นดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน“นายหญิงขึ้นมาได้แล้วเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นมากแล้วเดี๋ยวไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกอย่าง ...เอ่อ แถวนี้น่ากลัวพิลึก นายหญิงขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”ชินอีที่เริ่มกลัวขึ้นมาเมื่อบรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงโคมไฟพอสลัวที่ตนนั้นห
ขบวนคาราวานของหมิงอี้และพวกที่เดินทางมุ่งหน้าสู่ชายป่าวัดฉงซิ่งในที่สุดก็มาถึงจุดที่เหมาะแก่การตั้งกระโจมที่พัก พื้นที่พักติดริมธารน้ำ ด้านหลังเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่เกิดเรียงกันเป็นทิวแถวสลับกอกันไปทั้งน้อยใหญ่ซึ่งการเดินทางนั้นต้องเดินให้ลึกเข้ามาพอสมควรเพราะต้นไผ่ที่ตนต้องการนั้นต้องลำอวบใหญ่ ฉะนั้นจำต้องเข้าป่ามาลึกกว่าปกติ และชายป่าที่ตนและพวกกำลังตั้งกระโจมอยู่นี้นั้นได้ยินอู๋ไป๋บอกกับว่าที่ ๆ พวกต้นกำลังตะว่าเกือบสุดเขตเมืองหลี่ก็ว่าได้ เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วแสงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้าทำให้ต้องจุดไฟเสียตั้งแต่ยังไม่มืด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ต้นไผ่เอนไหวโน้มกิ่งเข้าหากันลำต้นเสียดสีไปมาพลันเกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายคนบรรเลงเพลง หากแต่ในความคิดของหมิงอี้คิดว่าเสียงนี้ช่างน่ากลัวและวังเวงยิ่งนักจนอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตัวเองเสียมิได้“ชินอี ทำไมข้ารู้สึกว่าเสียงนี้มันช่าง...”ชินอีหันมาสนใจผู้เป็นนายอย่างใคร่สงสัยนางนั้นไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดแปลก ป่าก็คือป่าและเสียงเอี๊ยดอ๊าดสีกันของต้นไผ่ในเวลานี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ“ช่างกะไรรึเจ้าคะ”“ก็มันช่างน่ากลัวพิลึกน่ะสิ”หมิงอี
“หมิงอี้เจ้าจะไปจริงรึ”อี้เฟินมองบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง ในใจนั้นรู้สึกโหวงหวิวพิกล ตั้งแต่เล็กจนโตแม้กระทั่งผ่านความเป็นความตายมาตนและบุตรสาวนั้นล้วนไม่เคยต้องห่างกันเลยซักครา“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าไปเพียงสองคืน หากได้ไม้ไผ่ครบแล้วจะรีบกลับมาทันทีเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างป่าแถบวัดฉงเซิ่งก็ไม่ไกลล้วนไม่มีอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ อู๋ไป๋ก็ไปด้วยท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าคะ”หมิงอี้โอบกอดมารดาพลางมือยกลูบหลังผู้เป็นมารดาไปมาก่อนจะผละออกเพื่อเตรียมขึ้นรถม้า ส่วนสาเหตุที่ตนต้องไปคุมการตัดไม้ด้วยตนเองนั้นเป็นเพราะว่าลำไม้หากเล็กเกินไปก็ไม่ดีใหญ่เกินไปก็ไม่ดี งานนี้งานใหญ่และเป็นครั้งแรกจำต้องไปดูด้วยตนเอง“พี่หมิงอี้! รอข้าด้วยสิ”เฟิน เฟิน ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับย่ามในมือท่าทางเตรียมพร้อม“เฟิน เฟิน เจ้าจะไปที่ใดเจ้าอยู่กับท่านแม่ข้าที่บ้านดีกว่านะ ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า”“แต่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ยะ”“เถอะนะ แค่เพียงสองคืนเท่านั้นเองเจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ นะข้าจะได้สบายใจอีกอย่างเจ้าอยู่ช่วยแม่ข้าจัดหาพวกฟักนุ่นและผักบวบปห้งดีกว่าเมื่อพวกข้ากลับมาจะได้ลงปลูกได้เลย นะ นะ”หมิงอี้
‘ผักสะ สลัด รึ อะไรอีกนะ อะออ’‘ชื่อเรียกช่างประหลาดนัก สะ สะ สาลัด ฮะ ฮาย ดะ โอ๊ยชื่อช่างเรียกยากนัก’‘นั่นหนะสิ ชักอยากเห็นแล้วล่ะ’“เอาล่ะทุกท่าน ทุกท่านอาจจะมิคุ้นกับชื่อผักของข้าเท่าใดนัก นั่นเป็นเพราะว่าข้าอยากตั้งชื่อให้แปลกใหม่ ส่วนคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ นั้น”ส่วนเหล่าบรรดาลูกค้ารวมไปถึงคนงานในร้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งอู๋ไป๋ก็ต่างตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้หมิงอี้ตั้งเว้นจังหวะพูดให้ดูน่าสนใจ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเอ่ยต่อ“ไฮโดรโปนิกส์ คือ การปลูกพืช/ผักโดยการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งก็มีหลายอย่างนัก หากผู้ใดสนใจข้ายินดีให้คำแนะนำได้ หากแต่ในครั้งนี้นั้นข้าเลือกใช้การปลูกแบบใช้น้ำแทน โดยที่ผักของข้านั้น...”เมื่อพูดมาจนถึงจุดสำคัญหมิงอี้ก็จับปลายผ้าคลุมและกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าก็เลื่อนหลุดลงพื้นโดยง่ายเผยให้เห็นโครงไม้ไผ่ที่ถูกต่อกันขึ้นเป็นชั้น ๆ สูงเกือบถึงศีรษะโดยแต่ละชั้นถูกเจาะรูและมีผักอยู่ในแต่ละรูที่เจาะมีทั้งสีเขียวสีม่วงสลับกันไป พลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง“โอ้โห เฮ้ย! สิ่งใดกันละนั่น”“ดะดูสิ! พวกเจ้าดู ๆ ”หมิงอี้นั้นรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่เห็นการตอบรับที่เกิ
หน้าร้านเทียนฝู ยามซื่อ (09.00 น.)หญิงชายทั้งบุรุษทั้งสตรีทั้งเด็กหญิงเด็กชายต่างทยอยเดินข้ามฝั่งจากตลาดใหญ่ของเมืองข้ามมายังร้านผักร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่ลานหน้าทางเข้าหมู่บ้านของคนอพยพ จนทำให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสงสัยกันใหญ่บัดนี้ผู้คนในตลาดลดลงอย่างหนาตาเมื่อมองหาสาเหตุก็พบว่าผู้คนนั้นต่างเดินมุ่งหน้าข้ามฝั่งไปยังร้านผักชื่อดังในเวลานี้นั่นเอง“เกิดอันใดขึ้นกัน ลูกค้าหายไปเสียหมด แล้วนั่นจะไปที่ใดกันเล่า”พ่อค้าร้านขนมปังเจ้าดังของตลาดถึงกับเดินออกมาส่องดู ปกติยามนี้ตลาดจะคึกครึ้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของแต่ยามนี้ช่างหนาตาลงอย่างผิดปกตินัก“อ๋อ ได้ยินประกาศว่าร้านเทียนฝูจะเปิดขายผักชิดใหม่หนะ”พ่อค้าร้านถังหูลู่ที่ได้ยินเสียงประกาศตอนเตรียมตั้งร้านนั้นเอ่ยบอก“อ๋อถึงว่าล่ะ! ปกติแค่ถั่วงอกกับผักบุ้งก็ได้ยินมาว่าแทบจะขายไม่ทัน นี่ ๆ ข้าเห็นสาวใช้ในวังออกมาซื้อด้วยนะ พูดแล้วข้าก็ชักอยากมีบุญลิ้มลองซักครั้งแล้วสิ เช่นนั้น เมิ่งเอ๋อร์ ๆ ”“ว่าไงตาแก่ฮึ ตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า มีเรื่องอันใด”เมิ่งเอ๋อร์ที่เจ้าของร้านขนมปังเรียกเดินออกมายืนท้าวสะเอวส่องดูผู้เป็นสามี“ถ้าจะไปร้านเทียนฝูประ