หลินซือเยว่ให้ทหารติดตามนางไปแค่คนเดียว คหบดีเมี่ยวไม่ได้กลัวว่านางจะหนี ลำพังความสามารถเช่นนาง มีหรือจะทำไม่ได้ ตระกูลหลินทั้งตระกูลอยู่ในค่ายทหาร ยากนักที่นางจะหลบหนีไปเพียงลำพัง เขาจึงให้นายกองลู่ติดตามนางไป
“ดูเจ้ามีความสุขนะนายกองลู่”
“ได้ติดตามคุณหนูหลินผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจะไม่สุขได้เล่า” นายกองลู่ถูกส่งมารับตัวหลินซือเยว่ที่จวนคหบดีเมี่ยว เขาจึงได้ทราบข่าวจากบ่าวไพร่ในจวน ว่าหลินซือเยว่คลี่คลายปัญหาในเรือนฮูหยินรองได้แล้ว แม้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเขาก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าทำงานสำเร็จเป็นพอ
“เหตุใดหิมะถึงตกหนักอีกแล้วล่ะ ข้าว่าจะแวะไปซื้อกระดาษเหลืองเสียหน่อย” หลินซือเยว่บ่นหลังเห็นหิมะโปรยปรายลงมา
นายกองลู่ตาโต กระดาษเหลือง !
“คุณหนูหลินท่านเคยคิดจะวาดยันต์ขายหรือไม่ ทหารในค่ายต้องควักเงินซื้อแน่ ๆ”
“นายกองลู่ยันต์ของข้าไม่ได้มีไว้ใช้ในทางนั้น อีกอย่างหากไม่ได้มีวาสนาต่อกันจริง ข้าไม่มีทางมอบยันต์ให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนั้น” ยกเว้นยามข้ายากจนข้นแค้น
นายกองลู่คอตกในทันที ก่อนจะตาเบิกโตขึ้นอย่างดีใจ “เช่นนั้นข้าก็เป็นคนมีวาสนาล่ะสิ”
หลินซือเยว่ “อืม” อย่างเบื่อหน่าย “เจ้าช่วยพาข้าไปกินข้าวร้านที่อร่อยที่สุด มองเห็นทิวทัศน์ทั่วเมืองได้หรือไม่”
“เช่นนั้นคงต้องเป็นภัตตาคารฝูหลงฮาว ที่นั่นเป็นอาคารสูงสามชั้น หากนั่งอยู่บนชั้นสามจะสามารถมองเห็นเมืองเหลียงได้ในมุมกว้าง” นายกองลู่ภูมิใจนำเสนออย่างยิ่ง
เจ้าหมอนี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย ที่ต้องมาขี่ม้าตามรถม้าของนักโทษ อีกทั้งยังพาไปหาภัตตาคารเพื่อกินข้าวอีก
หลินซือเยว่ให้เสี่ยวเอ้อร์ห่ออาหารกลับบ้านให้นางด้วย จะได้เอาไปฝากให้เผิงฉือกับคนที่โรงสมุนไพรได้กิน จากนั้นนางก็ขึ้นรถม้าให้คนขับวนรอบ ๆ ใจกลางเมืองเหลียง ผู้คนที่นี่อยู่กันอย่างเรียบง่าย ทำการค้าขายจากของป่าเป็นหลัก
“หยุดตรงนี้ก่อน” นางมองเห็นร้านขายเสื้อผ้าหน้าหนาว อดนึกถึงครอบครัวของตัวเองไม่ได้ จึงลงจากรถม้าไปเลือกซื้อมาหลาย ๆ ตัวเสียหน่อย
“คุณหนูลู่ท่านซื้อเสื้อหน้าหนาวไปตั้งหลายตัว ให้ใครหรือขอรับ”
“คนที่บ้าน” นางเอ่ยสั้น ๆ
นายกองลู่พยักหน้า เขาลืมไปได้อย่างไร หลินซือเยว่ยังมีครอบครัวของนาง ที่อยู่ในค่ายทหารเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาอยู่คนละหน่วย ก่อนหน้านี้แม่ทัพเหลียนได้ส่งคนไปสืบประวัติของนางมาแล้ว ถึงได้รู้ว่านางถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก เพราะเกิดอุบัติเหตุจนกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่แปลกหากนางไม่ขอความช่วยเหลือ ให้ตระกูลหลินมากไปกว่านี้ หากเป็นเขาคงไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
จากนั้นนางก็เลือกเครื่องเรือนเพิ่มอีกสักหน่อย ล้วนแต่เป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อย จ่ายไปทั้งหมดราวห้าสิบตำลึง นับว่านางใช้เงินเป็น เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการจับจ่ายใช้สอย หลินซือเยว่จึงไม่ได้มองฟ้ามองดิน ว่าวันนี้จะเกิดพายุหิมะระหว่างทางหรือไม่
ออกจากตัวเมืองเหลียงมาได้ราวสองสองลี้ พายุหิมะพัดถล่มอย่างรุนแรง หลินซือเยว่นึกโกรธตัวเองอยู่บ้าง เหตุใดนางถึงไม่เอะใจเรื่องนี้ก่อนหน้า เปิดเนตรทิพย์มองไปรอบ ๆ พบว่ามีบ้านร้างแห่งหนึ่งอยู่ เนตรทิพย์นอกจากจะมองเห็นเหล่าวิญญาณแล้ว ยังสามารถมองได้ในระยะไกลกว่าปกติอีกด้วย
“เลี้ยวขวาข้างหน้า เข้าไปราวครึ่งลี้จะเจอบ้านร้างอยู่ พวกเราไปหลบพักอยู่ที่นั่นก่อนเถอะ”
นายกองลู่เชื่อนางหมดใจ บอกให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปหาบ้านร้างในทันที แต่พอไปถึงกลับพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง ยึดครองที่นั่นอยู่ก่อนหน้าแล้ว นายกองลู่เห็นพวกเขาท่าทางดุร้าย อีกทั้งยังเป็นบุรุษทั้งหมด เขาจึงกลับมาหาหลินซือเยว่ที่รถม้า เพื่อบอกให้นางรู้ก่อน
“ไม่มีที่ให้ไปแล้ว พวกเราเข้าไปเถอะ แต่อย่าเปิดเผยตัวเองว่าเป็นใคร ให้บอกว่าแวะผ่านทางมาหลบพายุหิมะ”
ทั้งสามคนจึงพากันเดินเข้าไปในลานกว้างของบ้านร้าง คนขับรถม้าจูงม้าเข้ามาด้วย เขาไม่อาจปล่อยให้มันตายไปกับความหนาวเหน็บข้างนอกได้
“พวกเจ้าเป็นใคร หยุดอยู่ตรงนั้น !” บุรุษหน้าตาดุดันผู้หนึ่งยื่นดาบมาขวางทางพวกเขา
หลินซือเยว่นับจำนวนคนครู่หนึ่ง แปดคนรวมบุรุษผู้นอนอยู่บนกองฟางผู้นั้นก็เป็นเก้าคนพอดี
หืม เหตุใดถึงได้มีปราณมังกรปรากฏ เป็นคนในราชวงศ์อย่างนั้นรึ สีปราณทองกลาง ๆ เช่นนี้ ไม่องค์ชายก็คงเป็นท่านอ๋องอย่างแน่นอน
“นายท่านทั้งหลาย คุณชายของข้าผ่านทางมาเจอกับพายุหิมะเข้า เลยอยากเข้ามาหลบหนาวที่นี่ ได้โปรดขอความเห็นใจด้วยเถิด” นายกองลู่วันนี้สวมชุดนอกราชการมา เขาพยายามทำตัวให้เป็นบ่าวมากที่สุด
“รอเดี๋ยว !” คนผู้นี้เดินกลับไปยังกลุ่มของตัวเอง ครู่หนึ่งเขาก็เดินกลับมา พร้อมกับบอกให้ทั้งสามคนเข้าไปได้ แต่ให้แยกตัวออกไปอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาทั้งหมดต่างพักหลบหนาวอยู่ในห้องโถงของบ้านร้าง เพราะห้องอื่น ๆ สภาพไม่สามารถอยู่อาศัยได้แล้ว
เตาอุ่นขนาดใหญ่ถูกยกมาตั้งอยู่กลางห้อง อีกฝ่ายก็นำฟืนมาเผาไหม้ เพื่อให้อากาศในห้องนี้อบอุ่นขึ้น ส่วนหนึ่งก็ไปดูแลม้าของพวกเขาด้วย ในห้องโถงแห่งนี้จึงเหลือเพียงฝ่ายผู้มาก่อนเจ็ดคน และหลินซือเยว่กับนายกองลู่
“นายท่านข้าไม่ไว้ใจพวกเขา” ฮู่ตงหยางองครักษ์ประจำกายของเซวียนหมิงยู่ เอ่ยทั้งที่สายตายังจดจ้องไปยังสองคนที่กำลังนั่งเอนหลังพิงเสาต้นนั้นอย่างสบาย ๆ
“เจ้าระแวงเกินไปแล้วตงหยาง ข้ากลับเห็นว่าพวกเขาเป็นคนผ่านทางมาจริง ๆ ไอสังหารก็ไม่มีสักนิด” สวีวั่งซูเป็นองครักษ์คนสนิทอีกคนของเซวียนหมิงยู่ พวกเขาคือมือขวาของเหลียงอ๋องผู้นี้
ฮู่ตงหยางนั้นหน้าตาหล่อเหลาร่างกายกำยำบึกบึน ส่วนสวีวั่งซูหน้าตาไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ว่ารูปร่างสูงเพรียวของเขานั้น ดึงดูดสายตาสตรีอยู่ไม่น้อย
“แค่ก ๆ”
“นายท่าน !”
“พิษกำเริบรึ”
“ข้า...ยังพอทนไหว”
“เอายามาเพิ่มเร็วเข้า !”
ความวุ่นวายตรงนั้น ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่นึกอยากเข้าไปดูแต่อย่างใด เรื่องของผู้อื่นหาได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย นางกวักมือเรียกนายกองลู่เข้ามาใกล้ ๆ
“มีอันใดขอรับคุณชาย” นายกองลู่สวมบทบาทบ่าวทันที
“ไปเอาเสื้อกันหนาวให้คนขับรถม้าหนึ่งตัว เจ้ากับข้าอีกคนละหนึ่งตัว ที่นี่หนาวเกินไปข้าทนไม่ไหว อ้อ เอาอาหารที่ซื้อกลับมาด้วย ขืนเอาไว้ที่นั่นคงได้กลายเป็นน้ำแข็งแน่ เอาเตาอุ่นมือที่ซื้อใหม่มาด้วยก็ดี” วันหลังนางค่อยซื้อให้พวกเขาใหม่ก็แล้วกัน
“ได้ขอรับ” เมื่อได้ยินว่าหลินซือเยว่มอบเสื้อกันหนาวให้เขาด้วย นายกองลู่ก็ทำหน้าเบิกบานฝ่าพายุหิมะออกไป กลับเข้ามาอีกครั้ง ก็หอบของมาเต็มไม้เต็มมือ
คนของเหลียงอ๋องถึงกับตาเหลือก มองพวกเขาอย่างตกใจ เหตุใดถึงได้พกเสื้อกันหนาวมามากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งห่อผ้าอีกสองห่อ กระทั่งเตาอุ่นมือก็ยังมี
หลินซือเยว่สวมใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์ในทันที นายกองลู่ไม่ได้หยิบมาเพียงสามตัว เขากลับหยิบมาทั้งหมดที่นางซื้อ จึงเหลือตัวหนึ่งที่ไม่มีคนสวมใส่ นางจึงมาเอาทำเป็นผ้าห่ม แล้วเอนตัวลงนอนบนพื้น ติดเตาอุ่นมือไว้ใกล้ ๆ ตัว
ฮู่ตงหยางกับสวีวั่งซูจะไม่อิจฉานางได้อย่างไร เขามองดูท่านอ๋องของตนเองที่นอนหนาวสั่นอยู่ เพราะดาบเล่มนั้นที่เคลือบยาพิษเอาไว้ แม้จะรักษาอาการเบื้องต้น แต่ว่ากลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย สวีวั่งซูลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหลินซือเยว่
“คุณชายท่านนี้ นายท่านของข้าไม่สบาย อีกทั้งเสื้อคลุมขนสัตว์ยังเปียกน้ำระหว่างทาง หากเสื้อกันหนาวตัวนั้นท่านไม่ได้ใช้ ข้าขอซื้อต่อได้หรือไม่”
หลินซือเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง แล้วยื่นเสื้อกันหนาวให้เขาไป “หนึ่งร้อยตำลึง”
“แพงปานนั้นเชียว”
“เอาไม่เอา”
ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงถูกวางลงบนมือของหลินซือเยว่ในทันที
หลินซือเยว่อมยิ้ม “เตาอุ่นมือยี่สิบตำลึงสนใจหรือไม่”
สวีวั่งซู “?!”
เขาเดินกลับไปหาฮู่ตงหยางพร้อมกับเสื้อกันหนาวและเตาอุ่นมือ สีหน้าชอกช้ำใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะถูกบุรุษรูปงามรีดไถเช่นนี้ได้
“เจ้ามันโง่ !” กระทั่งฮู่ตงหยางยังปรามาสเขาอีกคน
“โง่จริงด้วย” เซวียนหมิงยู่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ เหตุใดองครักษ์ผู้มากความสามารถของเขา ถึงได้หลงกลสตรีผู้นั้นได้ แน่นอนเขาย่อมมองออกว่านางคือสตรี
ท่านอ๋องท่านก็เอากับเขาด้วยหรือ ยามนี้สวีวั่งซูอยากร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ
หลังจากได้สวมเสื้อกันหนาวเพิ่มอีกหนึ่งตัว ร่างกายของเซวียนหมิงยู่พลันอบอุ่นขึ้น ยิ่งมีเตาอุ่นมือด้วยแล้ว ทำให้เขาสามารถนอนหลับในค่ำคืนนี้ได้ ทุกคนในห้องโถงของเรือนร้างแห่งนี้ ต่างพากันนอนหลับพักผ่อนเพื่อเอาแรง
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ