แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
ฉินหงตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายว่า “มิใช่เป็นแน่ ตอนนั้นข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ข้าจะมิยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด”

หลินชิงเหยาเยาะเย้ยในใจ คร้านจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้

ฉินหงพูดกับตัวเองว่า “วันนี้ตัวข้าอารมณ์ดี ไปล่องเรือในทะเลสาบกันเถอะ”

หลินชิงเหยาส่ายหัวด้วยสีหน้าเย็นชา "หม่อมฉันขออภัยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึกมิสบายนิดหน่อย หม่อมฉันคงไปกับท่านอ๋องมิได้ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"

ฉินหงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป? ให้ข้าเรียกหมอมาดีหรือไม่?"

“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เพียงต้องพักผ่อนเพคะ”

“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน หลังจากโค่นฉินซูองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ลงได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ดี ๆ”

หลังจากพูดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาก็หันหลังกลับเดินออกไปอย่างมิเต็มใจ

เมื่อมองดูร่างที่จากไปของเขา ดวงตาของหลินชิงเหยาก็สั่นไหว หัวใจของนางดิ้นรนกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกัน

หลินชิงเหยา สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกจากประตูหลังจวนอย่างเงียบ ๆ และมุ่งตรงไปยังตำหนักบูรพา

……

ตำหนักบูรพา

ขันทีน้อยหลายคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าค่อนข้างมิสบายใจ

หนึ่งในนั้นมองดูท้องฟ้าข้างนอกแล้วกระซิบว่า “นี่ พวกเจ้าบอกข้าทีเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์รัชทายาท? ทันทีที่กลับจากพระราชวัง เองค์รัชทายาทก็เข้าไปในห้องทรงพระอักษร นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วยังมิออกมาเลย”

“ใครจะรู้ เราอยู่ในตำหนักบูรพามานานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นองค์รัชทายาทเข้าห้องทรงพระอักษร”

“ชู่! เจ้าทั้งสอง เงียบเสียงไว้เถอะ องค์รัชทายาทสั่งมิให้รบกวน หากทำให้พระองค์มิพอใจ ข้าแย่แน่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของขันทีน้อยอีกสองคนก็ซีดลงทันที เม็ดเหงื่อเย็นผุดออกมาบนหน้าผากของพวกเขา

ตลอดหลายปีของการเป็นทาสในตำหนักบูรพา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นฉินซูฆ่าใครสักคน

ชั่วครู่หนึ่งพวกเขามิกล้าแม้แต่จะหายใจ

ในห้องทรงพระอักษร

ฉินซูถือพู่กันเขียนอย่างพิถีพิถันบนกระดาษเปล่า โดยระบุชื่อและกลุ่มของขุนนางและทหารทั้งหมดในราชสำนัก

หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว เขาก็พบว่าแท้จริงแล้วองค์รัชทายาทไม่มีแม้แต่อำนาจ ไม่มีแม้แต่ผู้สนับสนุนในราชสำนัก

เขามิรู้ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรเกี่ยวกับความล้มเหลวในฐานะองค์รัชทายาท

ขณะที่ฉินซูกำลังคิดวิธีพลิกกระแสน้ำและสู้กระแสน้ำ

ด้านนอกประตูตำหนักบูรพา

องครักษ์รักษาการสังเกตเห็นเงาที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด!

เขาตะโกนเสียงดังทันที "นั่นใคร กล้าดีอย่างไรมาเดินหลบ ๆ ซ่อน ๆ รอบตำหนักบูรพา ยังมิรีบยอมจำนนอีก!”

หลังจากสิ้นคำพูด เขาก็ดึงดาบออกจากเอวด้วยเสียงดังเคร้ง

ทันใดนั้น แสงเย็นประกายวูบวาบ หวาดหวั่นไปถึงทรวงใน

เขาพุ่งออกไป ดาบในมือของเขาวางลงบนคอของคนผู้นั้นในพริบตาเดียว

จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าบุคคลนี้สวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกไม้ไผ่ ใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ ทำให้มิสามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าขององครักษ์ก็เคร่งขรึมขึ้น เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ แถวนี้?"

คนผู้นั้นรีบอธิบาย "ข้ามิใช่คนมิดี ข้าเป็นสหายขององค์รัชทายาท ข้ามาที่นี่เนื่องมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้พระองค์ทราบ”

องครักษ์มองคนชุดดำตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

คนผู้นี้เป็นสตรีนี่!

เมื่อนึกถึงความเลื่องชื่อด้านเคล้านารีขององค์รัชทายาทแล้ว เขาก็ลังเลที่จะลงมือ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นสหายขององค์รัชทายาท แล้วเจ้ามีนามว่าอันใด?”

“ข้า… เจ้าก็แค่บอกองค์รัชทายาทว่าข้าถูกพระองค์รังแกตอนกลางวัน พระองค์ก็จะเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น องครักษ์ก็หันกลับมาตะโกนบอกคนของตนว่า “พวกเจ้าทั้งสองคอยดูนางไว้ ข้าจะไปรายงานองค์รัชทายาท”

หลังจากการส่งมอบหน้าที่เสร็จ เขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังส่วนกลางของตำหนัก

เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร เขาก็เมินเฉยต่อคำห้ามของขันทีน้อย และกล่าวด้วยความเคารพ “องค์รัชทายาท เราจับคนน่าสงสัยไว้พ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้อ้างว่าเป็นสหายของท่าน กระหม่อมมาเพื่อรายงานเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินซูที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในความทรงจำของเขา เจ้าของร่างนี้มีสหายเพียงมิกี่คนเท่านั้น

เขาถามอย่างสงสัย "หืม? สหายของข้ารึ เขามีนามว่าอันใดเล่า?”

“คนผู้นั้นมิได้เอ่ยนาม เพียงบอกแค่ว่าเมื่อกลางวัน องค์รัชทายาท... รังแกนาง อ้อ ใช่แล้ว ฟังเสียงแล้วดูเหมือนจะเป็นสตรีพ่ะย่ะค่ะ”

สตรีรึ?

ฉินซูรู้ทันทีว่าเป็นใคร จึงสั่ง “ข้ารู้แล้ว ไปพานางเข้ามา”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากนั้นมินาน

สตรีสวมผ้าคลุมหน้าและเสื้อคลุมสีดำก็ถูกพาเข้ามา

ฉินซูเหลือบมองนางและโบกมือให้องครักษ์ออกไป แม้แต่ขันทีน้อยที่อยู่นอกประตูห้องทรงพระอักษรก็ถูกไล่ออกมาเช่นกัน

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ฉินซูพูดด้วยท่าทีสนใจ “หลินชิงเหยา เจ้าแอบมาพบข้าตอนกลางคืน เหตุใดรึ เจ้าถึงคิดถึงตัวข้าเร็วปานนี้เชียวรึ?"

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหม่อมฉัน”

สตรีผู้นั้นถอดหมวกและผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามจนน่าทึ่งของนาง

หลินชิงเหยานั่นเอง!

ฉินซูพูดอย่างฉุนเฉียว “สตรีที่ข้ารังแกในระหว่างวัน ตัวข้าใช้ปลายเท้าคิดก็เดาได้ว่าเป็นเจ้า บอกข้ามา เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”

หลินชิงเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญมากจะบอกท่าน แต่ท่านต้องสัญญากับหม่อมฉันว่าจะมิทำให้ท่านพ่อของหม่อมฉันลำบากในภายหลัง"

“หืม? เกี่ยวข้องกับเสนาบดีหลินหรือไม่? ให้ข้าเดาหน่อยแล้วกัน… พ่อของเจ้าร่วมมือกับอ๋องฉีเพื่อจัดการกับข้าใช่หรือไม่เล่า?”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?”

“ฉินหงมีความแค้นใจกับฉันมาโดยตลอด พ่อของเจ้าใกล้ชิดกับเขาเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาร่วมมือกันเพื่อจัดการกับข้ามิใช่รึ?”

“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาจะจัดการกับท่านอย่างไร?”

ฉินซูเยาะเย้ยและพูดว่า “ด้วยความสามารถแค่นั้นของพวกเขา นอกจากกลยุทธ์สาวงามแล้วพวกเขาจะคิดสิ่งใดได้อีกเล่า"

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลินชิงเหยาก็ดูประหลาดใจ

เพราะในความรู้สึกของนาง องค์รัชทายาทผู้ไร้ประโยชน์นี้หมกมุ่นอยู่แต่กับสุราเคล้านารีเท่านั้น เขากลายเป็นคนที่มีไหวพริบเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร?

เมื่อเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของนางฉินซูก็ยิ้มเบา ๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก แต่ข้ามิรู้ว่าคราวนี้พวกเขาจะส่งความงามเช่นไรมาให้ข้า เป็นเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่?”

ขณะที่เขาพูด รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา การจ้องมองของเขากวาดไปมาเหนือร่างของหลินชิงเหยาอย่างได้ใจ

แม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะหลวม แต่ก็มิสามารถซ่อนรูปร่างอันสง่างามของนางได้

หลินชิงเหยายกมือขึ้นปิดป้องร่างกายของตนโดยสัญชาตญาณ และพูดอย่างจริงจัง "องค์รัชทายาท ท่านกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ยังจะมีเวลาคิดเรื่องอื่นอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันจะบอกความจริงให้ว่า คนที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้คือเซี่ยหลาน บุตรีของชิ่งกั๋วกง”

“หืม? เช่นนั้นพวกเขาก็สมรู้ร่วมกคิดกับชิ่งกั๋วกง ดูเหมือนว่าฉินหงจะพอฉลาดอยู่บ้างนะ!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฉินซูก็เปลี่ยนหัวข้อและถามว่า “อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องการจัดการกับข้า เหตุใดเจ้าถึงมาบอกข้าเล่า?”

ดวงตาของหลินชิงเหยาว่อกแว่กเล็กน้อย

พูดตามตรง นางเองก็มิรู้ว่าตนมาที่นี่ด้วยเหตุใด

มิรู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนจึงบอกเรื่องนี้กับฉินซู

เมื่อเห็นว่านางเงียบ ฉินซูก็เลิกคิ้วอย่างขี้เล่น “หรือว่าเจ้าจะตกหลุมรักข้า?”

“ไม่ หม่อมฉันแค่มิอยากให้หลงเฉิงอลหม่านวุ่นวายเพราะพวกเขา”

“อ้อ เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปได้แล้ว ลาก่อน”

เมื่อเห็นว่าฉินซูออกคำสั่งให้ขับไล่แขกเช่นนี้ หลินชิงเหยารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

นางถามด้วยสีหน้ามิเต็มใจ “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับท่าน ท่านมิรู้สึกขอบเจ้าหม่อมฉันสักนิดเลยหรือ?”

ฉินซูหัวเราะอย่างดูถูกและพูดอย่างมั่นใจ “มิว่าเจ้าจะมาบอกข้าหรือไม่ แต่ตัวข้าก็สามารถทำให้พวกเขาสูญเสียภรรยาและกองกำลังได้!"

เมื่อเห็นท่าทีที่มั่นใจของเขา หลินชิงเหยาก็อดมิได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ

องค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าตน เหตุใดจึงดูมิเหมือนก่อนเลย ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยมิใช่หรือ?

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 846

    เกาตงเช็ดคราบเลือดที่มุมปากแล้วกัดฟันกรอด “วางใจเถิด ข้าตายมิได้ หนี้เลือดในวันนี้ วันพรุ่งข้าจะให้พวกมันชดใช้คืนร้อยเท่าพันทวี!”สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ใบหน้ามืดครึ้มจนน่ากลัวหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็สั่งการ “ไช่ซือ เจ้าเกณฑ์คนไปซุ่มโจมตีรอบ ๆ ป้องกันมิให้พวกมันมาลอบโจมตีอีก! ส่วนคนอื่น ๆ ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ ฟื้นฟูพละกำลังให้เต็มที่ แล้ววันพรุ่งค่อยบุกขึ้นเขาไปล้างแค้นความอัปยศในวันนี้!”“น้อมรับบัญชา! ท่านแม่ทัพเกาวางใจได้ หากพวกมันกล้ามาอีก ข้าจะทำให้พวกมันมิได้กลับไปอีก!”ไช่ซือโบกมือแล้วนำทหารฝีมือดีหลายพันนายไปซุ่มโจมตี......เหนือหุบเขาเจี่ยเซิ่งมาหาฉินซูแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้น “บุตรแห่งนักปราชญ์ ตอนนี้ดึกมากแล้ว พวกเราควรนำคนลงจากเขาไปลอบโจมตีพวกมันดีหรือไม่ขอรับ?”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ดวงตาของทุกคนรอบข้างก็พลันสว่างไสวขึ้นมาทันที ต่างเตรียมพร้อมที่จะลงมือฉินซูถอนหายใจเหลือบตามองพวกเขา แล้วกล่าว “พวกมันเพิ่งจะประสบความสูญเสียใหญ่หลวงไปเมื่อครู่ ตอนนี้คงวางแผนซุ่มโจมตีรอเราตกหลุมพรางอยู่เป็นแน่!”เจี่ยเซิ่งคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงจำใจยอมแพ้ฉินซ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 845

    “รองแม่ทัพของอ๋องเซียงหยางทุกคนล้วนเป็นผู้ที่สามารถนำทัพทำศึกได้ดีเยี่ยม เพียงแต่อ๋องเซียงหยางตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะแก้แค้นให้บุตรชายของตน ดังนั้นเมื่อใดที่อาการบาดเจ็บของเขากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เขาย่อมต้องพักรบ ซึ่งจะทำให้พวกท่านเป่ยเยี่ยนมีเวลาเสริมสร้างปราการป้องกันเมือง!”“พูดง่ายนี่ ต่อให้อ๋องเซียงหยางมาถึงแนวหน้า เขาย่อมต้องปักหลักตั้งค่ายใหญ่โต คิดว่าลอบโจมตีเขาง่ายนักหรือ?”ชิวเจ๋อเอ่ยปาก “ข้าน้อยยินดีช่วยเหลือพวกท่าน ขอเพียงพวกท่านปล่อยข้ากลับไป ข้าจะลอบเข้าหาอ๋องเซียงหยาง แล้วลงมือโจมตีเขาให้บาดเจ็บ เช่นนี้เขาก็จำต้อง...”ยังมิทันกล่าวจบ เจี่ยเซิ่งก็แค่นยิ้มเย็นเอ่ย “ปล่อยเจ้ากลับไปรึ? เจ้าเห็นพวกข้าโง่เง่าเต่าตุ่นหรือไร? อีกอย่างวรยุทธ์ของเขาทั้งทรงพลังลึกล้ำจนมิอาจหยั่งถึง อย่างเจ้าน่ะหรือจะทำกระไรเขาได้?”ชิวเจ๋อหน้าซีดด้วยความอับอาย มิรู้จะพูดอย่างไรเจี่ยเซิ่งมิสนใจเขา หันไปทางฉินซูแล้วกล่าว “บุตรแห่งนักปราชญ์ อ๋องเซียงหยางมีวรยุทธ์แกร่งกล้า กวาดสายตาไปทั่วเป่ยเยี่ยน ผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้เห็นจะมีเพียงท่านเจ้าสำนักเท่านั้น ดังนั้นเก็บเจ้านี่ไว้ก็เปล่าประโยชน์ เชือดม

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 844

    แสงไฟลุกโชนขึ้นจากเชิงเขาที่อยู่ไกลออกไป ปนเปไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน“ท่านแม่ทัพเกา แย่แล้วขอรับ ค่ายของเราโดนไฟไหม้!”ทหารนายหนึ่งได้สติแล้วรีบตะโกนเตือนเกาตงแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ เขาตะโกนลั่น “ถอย! รีบถอยลงไปช่วยค่าย!”ดังนั้น พวกเขาจึงรีบหันหลังถอยลงจากเขาไปอย่างรวดเร็วระหว่างการถอยทัพ ด้านหลังของพวกเขาเปิดกว้าง พลธนูบนภูเขาจึงมิพลาดโอกาสที่ฟ้าประทานนี้เสียงสายธนูดังผึงสลับกัน ลูกธนูพุ่งทะลุห้วงอากาศว่างเปล่าราวกับลำแสงสีดำในแสงจันทร์เลือนรางพร้อมกันนั้น ก็มีก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมากกลิ้งลงมาท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน การลอบโจมตีของเกาตงในครั้งนี้จึงประกาศความล้มเหลว มิหนำซ้ำยังสูญเสียทหารไปอีกสองสามร้อยนายเมื่อมาถึงตีนเขา เขากับไช่ซือก็รวมกำลังกันแล้วรีบไปช่วยค่ายที่กำลังไฟไหม้ในตอนนั้นเอง เสียงแหวกอากาศดังลั่นมาจากสองข้างถนนอีกครั้ง“อ๊าก!!”“แย่แล้ว รีบแยกย้ายกันเร็วเข้า!”เสียงกรีดร้องและเสียงอุทานปะปนระงมทั่วเกาตงและคนอื่น ๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธขึ้งพวกเขาต้องการตอบโต้ ทว่าภายใต้แสงจันทร์อันมืดสลัว พวกเขามิรู้ด้วยซ้ำว่าลูกธนูยิงมาจาก

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 843

    “เช่นนี้… เช่นนี้...”เกาตงเล่าแผนของเขาให้ฟังไช่ซือและรองแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่ได้ยินดังนั้น ต่างคนต่างพยักหน้าถี่ ๆ“แผนของท่านแม่ทัพเกายอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าน้อยเลื่อมใส!”“หึหึ รอให้บุกขึ้นไปได้แล้วข้าจะสับแขนขาพวกทหารเป่ยเยี่ยนเหล่านั้นให้ละเอียด ให้พวกเขาทรมานเจียนตาย!”ทุกคนพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่ยิ่งเหี้ยมเกรียมขึ้นเรื่อย ๆหนึ่งชั่วยามต่อมา ดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าเจี่ยเซิ่งถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “บุตรแห่งนักปราชญ์ ฟ้าใกล้จะมืดแล้วขอรับ หากพวกเขาอาศัยความมืดลอบบุกขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”ฉินซูครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วสั่งการ “ให้พลธนูประจำการอยู่ตามหุบเขาทั้งสองด้านฝั่งละห้าร้อยนาย แสร้งทำให้ดูน่ากลัวเข้าไว้ หากข้างล่างมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็ให้ยิงธนูทันที จากนั้นท่านและข้าจะนำทหารคนละสองพันนายเลี่ยงเส้นทางลงจากเขาแล้วอ้อมไปซุ่มโจมตีด้านหลังค่ายของพวกเขา!”“หา? ลงจากเขาหรือ? แล้วถ้าบังเอิญเจอระหว่างทางเล่าขอรับ?”“พวกเขาจะต้องอาศัยความมืดลอบขึ้นมาเช่นกัน พวกเราเลี่ยงเส้นทางลงจากเขา จึงเป็นไปมิได้ที่จะชนกับพวกเขา และต่อให้ปะทะกันก็มิได้มีกระไร การตีจากสูงลงต่ำ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 842

    ไช่ซือหันกลับไปมองหุบเขาแล้วถาม “ท่านแม่ทัพเกา เราควรจะบุกขึ้นไปตามเนินเขาทั้งสองด้านหรือไม่?”เกาตงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกล่าว “ให้สหายเราพักรบอยู่กับที่ก่อนดีกว่า ไปดูแลคนเจ็บ ฟื้นฟูสรรพกำลัง แล้วค่อยตามข้าบุกขึ้นไป เพื่อแก้แค้นให้สหายที่ตายจากไป!”“น้อมรับบัญชา!”ไช่ซือรับคำสั่งอย่างนอบน้อม แล้วถ่ายทอดคำสั่งออกไปเหนือหุบเขาในเวลานี้ เจี่ยเซิ่งและคนอื่น ๆ ต่างตื่นเต้นเหลือคณา!“เมื่อครู่ ทัพหน้าของแคว้นฉีคงจะสูญเสียไพร่พลนับหมื่นนายได้กระมัง? กลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของบุตรแห่งนักปราชญ์ช่างร้ายกาจจริง ๆ!”“ใช่แล้ว น่าเสียดายที่พวกเรามีกำลังคนมิเพียงพอ มิเช่นนั้นย่อมกำจัดพวกเขาได้สบาย”เจี่ยเซิ่งรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หันไปถามฉินซู "บุตรแห่งนักปราชญ์ กลยุทธ์ของท่านยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนั้นท่านจึงมินำกำลังคนมามากกว่านี้หรือขอรับ?”คนอื่น ๆ ก็มิเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ต่างพากันจับจ้องฉินซูฉินซูอธิบายว่า “จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคือการถ่วงเวลาพวกเขา เพื่อให้แม่ทัพใหญ่มีเวลาเตรียมตัว หากนำคนมามากเกินไป หนึ่งจะทำให้พวกเขาสังเกตได้ง่าย และทำให้พวกเขาระวังตัวยิ่งขึ้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 841

    ไช่ซือพึมพำขณะโบกมือ แล้วนำเหล่าทหารติดตามเกาตงเข้าไปในหุบเขาอย่างหยิ่งผยองสิ่งที่พวกเขามิรู้คือ ที่ปากทางเข้าหุบเขาทั้งสองด้าน พลธนูหนึ่งพันนายกำลังซุ่มตัวอยู่ในที่ลับตา เฝ้ามองความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ“บุตรแห่งนักปราชญ์ พวกเขาเข้าสู่หุบเขาแล้วขอรับ!”ทหารนายหนึ่งกระซิบเตือนด้วยความตื่นเต้นฉินซูโบกมือเบา ๆ เป็นสัญญาณมิให้กระทำการผลีผลามจากนั้น ฉินซูก็หยิบคันธนูขึ้นมา ลูกธนูที่พันด้วยเศษผ้าและน้ำมันไฟถูกจุดไฟรออยู่แล้วเขาง้างธนูเล็งเป้า เมื่อเกาตงและคนอื่น ๆ กำลังจะข้ามร่องน้ำที่ฝังน้ำมันไฟไว้ เขาก็ปล่อยสายธนูออกไปอย่างรวดเร็วฟิ้ว!ภายใต้เสียงแหวกอากาศอันแหลมคม ธนูพุ่งลงสู่ร่องดินอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าน้ำมันไฟในร่องดินถูกจุดติดทันที เปลวไฟลุกโชนขึ้นไปสูงถึงหนึ่งจั้ง!ม้าศึกของเกาตงและคนอื่น ๆ ตกใจกับเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเนื่องจากความเร็วในการเดินทัพของพวกเขาที่รวดเร็วเกินไป คนที่อยู่ข้างหลังจึงมิสามารถหยุดได้ทันทำให้พวกเขาตกม้าพร้อมกัน สถานการณ์อลหม่านในพริบตา“ยิงธนู!”ฉินซูโบกมือ พลธนูที่ดักซุ่มอยู่สองข้างหุบเขาก็เริ่มยิงธนูทันทีลูก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status