แชร์

ตอนที่ 7 อินอวิ๋นฉวี่ 1.1

ผู้เขียน: จ้าวฮุ่ยอิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-06 09:06:41

ยุคอดีต

แคว้นหยวนเป่ย

ณ.พระราชวังหลวง

ภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้น

สืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษ

ซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้น

ในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า และเสด็จอาซึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของอดีตฮ่องเต้พระนามอินอวิ๋นหยางที่หลงเหลืออยู่

หลังจากอินอวิ๋นโฉสวรรคตลง ฮ่องเต้พระองค์น้อยก็ทรงอยู่ในความดูแลของฮองไทเฮา อีกทั้งยังต้องออกว่าราชการควบคู่ไปกับฝ่าบาทน้อย

ท่ามกลางความอัดอั้นตันใจของบรรดาขุนนางในราชสำนักหยวนเป่ยทุกระดับชั้น ต่างไม่เห็นด้วยที่ฮองไทเฮาซึ่งมีพระชนมายุสูงถึง 68 พรรษามาออกว่าราชการกับฮ่องเต้พระองค์น้อย ต่างพากันเรียกร้องให้พระนางทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นอุปราชเพื่อทำหน้าที่แทนพระนางซึ่งชราภาพมากแล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ตามฮองไทเฮาก็ทรงไม่ยินยอมด้วยเกรงว่าอินอวิ๋นหยางจะถือโอกาสช่วงชิงราชบัลลังก์นี้ไปจากพระนัดดาของพระนาง แต่แล้วสังขารก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปเป็นคนที่สอง

เมื่อฮองไทเฮาต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความวิบัติโรยราของโรคชราที่ก้าวเข้ามาเยือนหลังจากที่อินอวิ๋นฉวี่ขึ้นครองแคว้นได้เพียงสองปี ฮองไทเฮาจึงเสด็จสวรรคตลงเมื่อทรงมีพระชนมายุ 70 พระชันษา

ในขณะที่อินอวิ๋นฉวี่เพิ่งจะมีพระชนมายุ 12 พรรษเท่านั้น แต่ก่อนที่ฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตได้ทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นองค์อุปราช เพื่อเข้ามาทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้น้อยที่ยังทรงพระเยาว์และสำเร็จราชการแทน อีกทั้งจะต้องสั่งสอนศาสตร์รอบด้านทุกแขนงซึ่งอินอวิ๋นหยางแตกฉานทั้งบู้และบุ๋นมอบให้แก่อินอวิ๋นฉวี่ทั้งหมดอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น

และที่สำคัญก่อนฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตนั้น ทรงให้อินอวิ๋นหยางถวายสัตย์สัญญาและกรีดเลือดถวายคำสัตย์สาบานว่าจะไม่ชิงราชบัลลังก์ของฮ่องเต้น้อยอินอวิ๋นฉวี่ไปครอบครองอย่างเด็ดขาด

หากกฎมณเทียรบาลของแคว้นไม่ได้บันทึกเอาไว้ว่าจะต้องเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์มีหรือที่อดีตฮ่องเต้จะได้ขึ้นครองแคว้นหยวนเป่ยนี้ได้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางประสูติจากพระสนมชั้นฟูเหริน ซึ่งเป็นพระโอรสลำดับที่สิบสองและยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้นานกว่าพระเชษฐาองค์อื่นๆ ที่แต่ละพระองค์ทยอยถูกฮองไทเฮากำจัดเพื่อไม่ให้หลงเหลือผู้ใดมาแข่งรัศมีกับพระโอรสของพระนางได้

ในขณะที่อินอวิ๋นหยางก็ล่วงรู้ที่มาที่ไปของจุดจบพระเชษฐาองค์อื่นๆ พระองค์จึงทรงนำทัพออกล่าดินแดนน้อยใหญ่ให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นหยวนเป่ยจนสามารถขยายอำนาจและเขตแดนออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าทุกรัชสมัยที่เคยมีมา ทำให้พระราชบิดาโปรดปรานเป็นยิ่งนัก พระองค์เก่งกล้ารอบด้านและสุดยอดเกินคนหาผู้ใดทัดเทียม

ด้วยเหตุนี้เองยิ่งพระราชบิดาทรงโปรดปรานมากเพียงใด อินอวิ๋นหยางยิ่งจะต้องไปให้ไกล ไม่สามารถพำนักอยู่ในแคว้นเช่นพระเชษฐาองค์อื่นๆ ได้เพราะแน่นอนว่าความตายจะต้องคืบคลานมาถึงตัวสารพัดวิธีที่จะเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะที่พระเชษฐาพระองค์ใหญ่ซึ่งรั้งตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในขณะนั้น เฝ้าหวาดระแวงว่าพระบิดาจะทรงเปลี่ยนพระทัยยกราชบัลลังก์ให้แก่พระอนุชาแทนพระองค์ ด้วยเพราะเก่งกล้าเกินคนและครองใจเหล่าทหารหาญของแคว้นเอาไว้ได้ทั้งหมด และดูเหมือนว่าอินอวิ๋นหยางจะทรงตระหนักถึงความหวาดระแวงของพระเชษฐาเป็นอย่างดี

พระองค์จึงทำหน้าที่คอยดูแลปกป้องแคว้นอยู่ตามขอบชายแดน ไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ยให้พระพระเชษฐาต้องเป็นกังวล โดยหารู้ไม่ว่าอินอวิ๋นหยางไม่ใช่คนโง่และไม่ใช่ผู้เสียสละ และไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจดีเสมอไป ในความดีแฝงเร้นความร้ายกาจที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดทัดเทียมได้เลย

หากถามถึงความอำมหิตของอินอวิ๋นหยางช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก วิธีการทำสงครามเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทั้งนี้เพื่อข่มขวัญแคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของหยวนเป่ย

ทหารในกองทัพทุกคนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและได้รับการยอมรับจากทั่วหล้าว่าทหารกล้าของหยวนเป่ยนั้นเป็นยอดคน แต่ในขณะเดียวกันวิธีการฝึกนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่กว่าจะผ่านมาได้นั้น ชีวิตของทหารล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

ในขณะที่ผู้ผ่านการฝึกฝนนั้นจะได้เข้าร่วมในกองทัพและได้รับความเจริญก้าวหน้า รับบำเหน็จรางวัลเป็นการตอบแทนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จนมีการกล่าวขานว่ากองทัพของหยวนเป่ยเพียงแค่หนึ่งพันนายเทียบเท่ากองทหารห้าหมื่นนาย

ทหารหนึ่งคนสามารถผลาญคร่าชีวิตศัตรูอีกฝ่ายเพียงระยะเวลาอันสั้นจนนับไม่ถ้วน เป็นกองทัพแข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้นทำให้แคว้นหยวนเป่ย กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่ในเวลาต่อมาในยุคจ้านกว๋อซึ่งก็คือแคว้นจ้าวนั่นเองเพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุทธวิธีของอินอวิ๋นหยาง

ดังนั้นหากจะเปรียบฮ่องเต้อินอวิ๋นโฉและอินอวิ๋นหยางแล้วอินอวิ๋นโฉเปรียบเช่นนักรบกำลังฝึกหัด ในขณะที่อินอวิ๋นหยางนั้นคือเทพสงครามนั่นเอง อยู่เงียบๆ อย่างชาญฉลาดแต่ได้บัลลังก์อยู่ในมือด้วยเสียงของเหล่าทหารและชาวประชานี่สิจึงจะของจริง และเป็นเพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้อินอวิ๋นโฉก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยได้อย่างสมความตั้งใจ

ทว่าอำนาจทางการทหารกลับอยู่ในมือของอินอวิ๋นหยางทั้งหมด ทั่วราชสำนักต่างให้ความเคารพและกลัวเกรงยิ่งนัก ทำให้อินอวิ๋นโฉคิดหาวิธีกำจัดพระอนุชาอยู่ตลอดเวลาแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ เพราะหามีผู้ใดมีพลังวรยุทธฺสูงทัดเทียมกับอินอวิ๋นหยางได้ จำต้องรามือและคอยหาโอกาสพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดหนามหยอกอกซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันออกไปอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายอินอวิ๋นโฉก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารตัวเอง

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ราชบัลลังก์ก็ยังไม่ยอมที่ยกให้พระอนุชาทั้งๆ ที่คู่ควรจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นมากกว่าพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ แต่ก็ยังพยายามที่จะกดอินอวิ๋นหยางเอาไว้ไม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น แต่แล้วในที่สุดไม่ว่าจะเป็นฮองไทเฮาและอินอวิ๋นโฉจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไรดูท่าก็ไร้ประโยชน์เพราะความตาย

และด้วยเพราะเหตุนี้เองอินอวิ๋นหยาง จึงก้าวขึ้นเป็นอุปราชทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้พระองค์น้อยและสำเร็จราชการแทนจนกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา จึงทำการส่งมอบพระราชอำนาจทั้งหมดกลับคืนให้แก่พระองค์ปกครองแคว้นตามเดิม ซึ่งเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างไม่เห็นด้วยที่อุปราชจะคืนอำนาจให้แก่ฝ่าบาทน้อยอินอวิ๋นฉวี่

ด้วยเพราะอินอวิ๋นฉวี่ไม่แตกต่างไปจากพระราชบิดาของพระองค์แม้แต่น้อย สาเหตุมาจากฮองไทเฮาคอยสั่งสอนและยุยงให้เกิดความเกลียดชังและหวาดระแวงเสด็จอาซึ่งเป็นอุปราชของแผ่นดินหยวนเป่ยอยู่ในขณะนี้

แต่ในขณะเดียวกันกลับให้พยายามฉกฉวยเอาเคล็ดวิชาและความรู้รอบด้านทั้งบู้และบุ๋นมาจากอุปราชอวิ๋นหยางมาทั้งหมด

ทว่ามีหรือที่อุปราชผู้ปราดเปรื่องจะไม่ทรงล่วงรู้แผนการอันร้ายกาจของฮองไทเฮา ที่แม้จะสวรรคตลงไปแล้วก็ยังไม่วายสั่งสอนพระนัดดาให้มีนิสัยที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง สิ่งที่หวังไว้จึงไม่บรรลุผลตามที่คาดเอาไว้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ย แต่ยังคงทำหน้าที่ของพระองค์อยู่ที่ขอบชายแดนเช่นเดิม

แต่ถึงกระนั้นอุปราชผู้ปราดเปรื่องก็สามารถสำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นได้เป็นอย่างดี โดยใช้อินทรีสื่อสารสั่งการลงไปในข้อราชการสำคัญๆ ซึ่งนับรวมระยะเวลาจากที่อินอวิ๋นหยางทรงออกล่าดินแดนและประทับอยู่ที่ขอบชายแดน ตั้งแต่วันแรกที่อินอวิ๋นโฉขึ้นครองแคว้นจนถึงในรัชสมัยของอินอวิ๋นฉวี่ รวมแล้วนานถึง 12 ปี

แม้ว่าจะมีพระบัญชาของฮองไทเฮาให้พระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน เพื่อให้พระองค์ทำหน้าที่ดูแลอินอวิ๋นฉวี่ซึ่งจะก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่เสด็จกลับมาทรงอ้างว่าติดพันสงครามบุกยึดแคว้นต้าลี่อยู่ในขณะนั้น จึงทำให้ฮองไทเฮาต้องส่งสาสน์มาถึงพระองค์อีกครั้ง

และจากข้อความในสาสน์ดังกล่าวอินอวิ๋นหยางจึงกรีดเลือดสาบานถวายสัตย์สัญญาส่งกลับไปให้ฮองไทเฮาตามความต้องการของพระนาง

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครพบเห็นอุปราชอินอวิ๋นหยางว่าทรงเป็นอย่างไรนับตั้งแต่นำทัพออกทำศึกสงครามและจากวันนั้นจนถึงวันนี้พระองค์ก็ไม่เคยกลับมาเหยียบเมืองหลวงซางเป่ยเลยสักครั้ง

จวบจนกระทั่งในวันนี้เป็นวันที่อินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีพระชนมายุครบ 17 พระชันษาและได้รับพระราชอำนาจในการปกครองแคว้นอย่างสมบูรณ์ทุกประการ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่อาจมีพระบัญชาควบคุมได้ นั่นก็คือทหารนับหลายแสนชีวิตของหยวนเป่ยนั่นเองที่ยังคงอยู่ภายใต้อาณัติของอุปราชลือชื่อซึ่งเป็นเสด็จอาของพระองค์

ฟิ้วววว!!!! พระราชสาสน์ที่อยู่ภายในพระหัตถ์ ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ชั้นดีถูกปาลงไปที่พื้นพระตำหนักภายในห้องทรงงานด้วยแรงพิโรธเป็นอย่างยิ่งทันทีที่ได้อ่านข้อความที่อยู่ภายในนั้นจนจบ

“บัดซบที่สุด! ตกลงข้าหรือเสด็จอากันแน่ที่เป็นฮ่องเต้ปกครองหยวนเป่ย! เหตุใดอำนาจในการบังคับบัญชากำลังทหารเกือบห้าแสนชีวิตจึงไม่ส่งคืนให้แก่ข้า! รั้งเอาไว้อยู่ในมือของตัวเองทำเช่นนี้เท่ากับว่าคิดจะกบฏต่อราชบัลลังก์ของข้าอย่างนั้นเหรอ!!!” รับสั่งอย่างเดือดดาลด้วยทรงเจ็บแค้นในพระทัยเป็นยิ่งนัก

ท่ามกลางสายตาของขันทีข้างพระวรกายที่ยืนก้มหน้ามองพื้นพระตำหนักนิ่ง จับจ้องพระราชสาสน์ของอุปราชลือชื่อที่ส่งมาให้ฮ่องเต้หนุ่มแจ้งรายละเอียดการส่งมอบพระราชอำนาจกลับคืน

โดยไม่แสดงความเห็นส่วนตัวหรือทัดทานอะไรออกมาทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะทรงอนุญาตก็ตาม ด้วยเพราะขันทีผู้นี้ถูกส่งมาแทรกซึมภายในราชสำนักหยวนเป่ย จนสามารถเข้ามาถวายการรับใช้ฮ่องเต้หนุ่มได้เป็นผลสำเร็จนานกว่าห้าปีแล้ว

จวบจนกระทั่งทรงมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา และได้อำนาจการปกครองของพระองค์กลับคืนมา แผนการขั้นต่อไปจะเริ่มลงมือทันทีเพื่อให้สำเร็จลุล่วง

“เสี่ยวฉิงจื่อ!” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งหาขันทีคนสนิท

“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับเบาๆ ดังอยู่ไม่ห่างจากพระองค์เสียเท่าใดนัก

“ข้าจะทำอย่างไรกับคนผู้นี้ดี จึงจะเรียกคืนอำนาจของข้ากลับคืนมาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอำนาจควบคุมกองทัพ ข้ากับเสด็จอาแตกต่างกันตรงไหน ในเมื่อข้าเป็นฮ่องเต้เหตุใดจึงบัญชาการกองทัพของตัวเองไม่ได้” รับสั่งถามขันทีคนสนิทของพระองค์

เอือก!!! เสียงแสร้งกลืนน้ำลายลงคอทำท่าหวาดกลัวขึ้นมาทันใดเมื่อรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น พร้อมทำทียกแขนที่มีชายเสื้อปกคลุมขึ้นซับเหงื่อของตัวเองที่นำน้ำมาปะพรมใบหน้าคล้ายมีตุ่มเหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นเต็มไปหน้าของตัวเอง ท่ามกลางสายพระเนตรของฮ่องเต้น้อย

“นี่กลัวข้าถึงขนาดเหงื่อออกเต็มหน้าถึงขนาดนี้เลยเหรอเสี่ยวฉิงจื่อ! ข้าถามความเห็นของเจ้าใช่ว่าจะลากคอเอาไปตัดหัวเสียที่ไหนกันเล่าหรือว่าอยากจะโดนแบบนั้นจริงๆ” รับสั่งถามกลับไป

ตุบ! ร่างสันทัดรีบทรุดกายลงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพระตำหนักอย่ารวดเร็วครั้นได้ยินเช่นนั้น

“ฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่ไม่สามารถออกความคิดเห็นแก่พระองค์ได้ ด้วยปัญญาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเกรงว่าแนะนำไปก็ไม่เป็นประโยชน์และไม่เป็นผลดีต่อพระองค์แต่อย่างใด ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยงดงามเป็นที่กล่าวขานในราชสำนักจะทรงไปเปรียบเทียบกับองค์อุปราชที่มีแต่ผู้คนกล่าวขวัญถึงแต่เรื่องความอำมหิตและโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงจนล่วงรู้กันไปทั่วทั้งหยวนเป่ยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

พระพักตร์พยักขึ้นลงเมื่อทรงได้ยินคำกล่าวของขันทีคนสนิทเช่นนั้น

“จริงเหรอ! ที่ทั่วราชสำนักต่างพากันยกย่องข้าเช่นนั้น” รับสั่งถามกลับไปเพื่อความแน่พระทัย

เสี่ยวฉิงจื่อพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันเป็นการยืนยันกลับไป

“แต่ข้าไม่เชื่อ! มีแต่เจ้าที่บอกข้าแล้วทำไมเหล่าขุนนางจึงไม่มีผู้ใดกล่าวเหมือนเจ้า!” รับสั่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“แล้วจะมีผู้ใดกล้าบอกกับเจ้าหรือว่า หยวนเป่ยมีฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาเช่นนี้ ถ้าไม่ติดว่ามีอุปราชผู้นั้นคอยค้ำจุนอยู่แล้วละก็ต้าเหลียงของข้าจะต้องบุกเข้ายึดครองแคว้นของเจ้าไปนานแล้ว ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 62 อวสาน 1.1

    10 เดือนผ่านไป เทือกเขาหลงเมิ่งเทือกเขาสูงเสียดฟ้ายังคงยืนหยัดผ่านกาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน จากวันเป็นเดือนจนเวลาผ่านไปแล้วสิบเดือนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นที่จวนอุปราชแห่งหยวนเป่ย จนทำให้อินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้สวรรคตพร้อมกับอินอวิ๋นหยางอุปราชผู้ลือนามซึ่งหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเพราะค้นหาพระศพไม่พบ มีเพียงพระศพของอินอวิ๋นฉวี่เท่านั้นที่ถูกค้นพบ ในสภาพพระศพต่างเป็นที่สยดสยองแก่ผู้มาพบเป็นยิ่งนัก ด้วยถูกต้นไม้ยืนต้นตายที่ก้นเหวซึ่งหักสะบั้นลงจนเกิดปลายแหลมคม โชคร้ายของฮ่องเต้น้อยที่ร่วงหล่นจากยอดเขา ร่างตกลงมาเสียบคาอยู่กับตอไม้ที่เหลือเพียงปลายแหลมคมดังกล่าวจนเครื่องในไหลทะลักออกมากองนอกลำตัวเป็นภาพที่ผู้ใดมาพานพบต่างก็ไม่คาดคิดว่า จุดจบของฮ่องเต้หยวนเป่ยจะมีเป็นสภาพเช่นนี้ ในขณะที่อุปราชหยวนเป่ยที่ตกจากยอดเขามาพร้อมกันกับไม่เห็นพระศพแต่อย่างใด มีเพียงรอยลากเป็นทางยาวตรงก้นเหวซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าถูกสัตว์ป่าลากพระศพของพระองค์ไปเป็นอาหารของมันก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน เพราะพระศพของฮ่องเต้หยวนเป่ยก็ถูกสัตว์ป่ากัดแทะจนชิ้นส่วนแขนและขาหายไปทั้งสองข้าง เ

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 63 อวสาน 1.2

    ดวงตาคู่โศกสั่นไหวระริกเมื่อเห็นคนงามอุ้มครรภ์ขนาดใหญ่และใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง พร้อมหยาดน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงขลุ่ยนั้นช่างบีบเค้นหัวใจคนฟังเสียนี่กระไร บ่งบอกให้ล่วงรู้ว่านางรักและอาลัยต่อคนที่จากไปมากมายยิ่งนัก ไม่ว่าคนรักจะอยู่แห่งหนใด ขอฝากเสียงขลุ่ยนี้เป็นตัวแทนความรักและความคิดถึงของนางที่มีให้นี้จากหัวใจทั้งหมด “ผีเสื้อน้อยแสนสวยของข้า!” เสียงรำพึงร้อยเรียกหาสตรีในหัวใจของอินอวิ๋นหยาง อุปราชรูปงามบัดนี้มาปรากฏตัวอยู่ทางด้านหลังแม่ผีเสื้อแสนสวยของพระองค์ ช่วงระยะเวลาสิบเดือนที่ผ่านมาอินอวิ๋นหยางเก็บตัวอย่างเงียบเชียบรักษาพระอาการที่ถูกพระชายาของตัวเองวางยาพิษหมายสังหารให้ชีพดับสูญ แต่แล้วนางกลับให้โอกาสได้อยู่รอดต่อไปเพราะล่วงรู้แล้วว่า เมื่อทำลงไปแล้วนางกลับไม่มีความยินดีแม้แต่น้อยตรงกันข้ามเจ็บปวดหัวใจเป็นยิ่งนัก แต่เป็นเพราะอาการบาดเจ็บเพราะถูกอินอวิ๋นฉวี่จ้วงแทงในระยะกระชั้นชิดและยังถูกพิษร้ายแรงของพระชายาทำให้พระองค์บาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ตกจากยอดเขาลงมาและอุปราชหนุ่มคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ทันจึงไม่ร่วงหล่นลงสู่ก้นเหว จึงมีเพีย

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 60 วันวิปโยค 1.7

    จวนอุปราชกลุ่มควันขาวลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ปกคลุมไปทั่วจวนอุปราชแลดูคล้ายเมฆหมอกเมฆา แต่ความเป็นจริงแล้วคือควันไฟที่ผสมยาแก้พิษของอินอวิ๋นฉวี่ ที่แอบลอบวางพิษยาสั่ง ซึ่งฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยาดังกล่าวมาจากเสี่ยวฉิงจื่อ ขันทีไส้ศึกจากสองแคว้นซึ่งเป็นทั้งยาสั่งและเป็นยาพิษในตัวด้วยกัน อันเกิดจากการคิดค้นปรุงยาของอดีตเจ้าสำนักหมื่นพิษโหรวหนิง อาจารย์ของหวู่ซานซานและอาจารย์ปู่ของหยางเฟยอี้ แต่เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเมื่อหยางเฟยอี้ นอกจากอัจฉริยะทางด้านดนตรีด้วยแล้ว นางยังมีปัญญาอันชาญฉลาดและไหวพริบดีเลิศมาจากภพชาติปัจจุบันของนาง จึงทำให้การปรุงยาพิษที่สามารถแก้พิษได้ทุกชนิดบรรลุผลสำเร็จ หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวพันกับชีวิตของหวู่ซานซาน แม่ผีเสื้อตัวน้อยก็จะยังไม่สามารถคิดค้นยาแก้พิษได้ทุกชนิดนี้ขึ้นมาได้แต่อย่างใด ยาแก้พิษดังกล่าวถูกนำมาเทใส่กองไฟจนเกิดเป็นควันขาวลอยคละคลุ้งปกคลุมไปทั่วจวนอุปราช ยอดเขาหลงเมิ่งในเวลานี้เต็มไปด้วยควันขาวมองแทบไม่เห็นตัวคน ในขณะที่กองทหารอารักขาซึ่งได้รับยาแก้พิษนั้นแล้วไม่ได้อยู่ในการควบคุมของฮ่องเต้หยวนเป่ยอีกต่อไป ต่างพากันกระจายกำล

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 61 วันวิปโยค 1.8

    ควับ! ฮ่องเต้หยวนเป่ยหันพระวรกายกลับมาทอดพระเนตรทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว และต้องเบิกพระเนตรกว้างด้วยความตระหนกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรอุปราชผู้เป็นอา ยืนสูงทะมึนค้ำพระองค์อยู่ในขณะนั้นใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงท่ามกลางเส้นผมสีดำสนิทตกลงปรกหน้า ดวงตาจับจ้องเขม็งมาที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายจนสัมผัสได้ “เจ้าเสียดายชีวิตข้าหรือเสียดายเพราะไม่ได้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง!” อินอวิ๋นหยางถามกลับไปพร้อมแสยะยิ้มหยามเหยียด ฮ่องเต้หยวนเป่ยครั้นหายจากอาการตกตะลึงที่ได้เห็นผู้เป็นอาสามารถหวนคืนกลับมาจากความตายได้นั้น รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ตายยากเหมือนกันนะเสด็จอา! แต่ก็ดี!...ในเมื่อเหตุการณ์พลิกผัน วันนี้ข้าหรือท่านเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับไป” รับสั่งพร้อมใช้สายพระเนตรจับจ้องผู้เป็นอาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างเกือบเปลือยเปล่า มีเพียงอาภรณ์ขาวผืนบางเบาพันไว้รอบกายมัดรวบเอาไว้ใต้เอวเพียงเท่านั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิตและรอยแผลเป็นจากการทำสงคราม ปรากฏตามลำตัวตลอดจนทั่วทั้งแผ่นหลังและท่อนแขนกำยำปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน “ดูท่าสภาพของท่าน

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 59 วันวิปโยค 1.6

    ในขณะเดียวกัน กระท่อมหลังเขาพระวรกายสูงของฮ่องเต้หยวนเป่ย บัดนี้ได้มาปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าประตูห้องของหวู่ซานซาน พระองค์กำลังยืนพิงประตูกอดอกทอดพระเนตรคนงามอยู่ในขณะนั้น ด้วยหยางเฟยอี้ในยามนี้ร่างกายของนางมีสภาพเปียกปอน จนอาภรณ์ขาวที่สวมอยู่ติดกายแนบลู่ไปกับกายงามจนเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งอันสมบูรณ์ของสตรีเพศแสนเย้ายวนใจเผยให้ฮ่องเต้หนุ่มได้ทอดพระเนตร อกเป็นอก เอวคอดเท่ามดตะนอย สะโพกผายได้รูปสวย บั้นท้ายงอนงามตึงแน่นเล่นเอาอวิ๋นฉวี่ตะลึงลานไม่เป็นอันทำอะไร ทันทีที่หยางเฟยอี้หันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์จนนางต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบงัน “ฝ่าบาทจะทรงยืนจ้องหม่อมฉันแบบนี้อีกนานไหมเพคะ” คนงามถามสวนกลับไป และนั่นทำให้อวิ๋ฉวี่ฮ่องเต้รู้สึกตัวขึ้นมาทันที “ก็เจ้าชวนน่ามองเช่นนี้! จะห้ามสายตาของข้าไปได้อย่างไร แผนลอบสังหารอุปราชคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียกระมัง เจ้าจึงมีสภาพกลับมาให้ข้าได้เห็นเช่นนี้ ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไปไม่เป็นไปตามที่คิด” รับสั่งออกมาตามการคาดเดาของตัวเอง “อย่างนั้นเหรอเพคะ! ถ้าเช่นนั้นก็คอยทอดพระเนตรต่อไปก็แล้วกัน” คนงามตอบกลับไ

  • อัปลักษณ์จวนเดียวดาย   ตอนที่ 58 วันวิปโยค 1.5

    ในขณะเดียวกัน ตำหนักอุปราชริมฝีปากหยักได้รูปสวยเริ่มขยับขึ้นมาทีละน้อย ภายหลังจากกลืนยาเม็ดสีดำสนิทลงไปนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ทั่วกายเริ่มหายจากอาการชาไปทั่วร่าง และสามารถเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง พรืดดดด!!!! อินอวิ๋นหยางกระอักโลหิตแดงฉานพุ่งพรวดออกจากปากจนกระจายเต็มที่นอน พร้อมร่างใหญ่ทรุดฮวบลงกับฟูกตรงหน้าทันที แค่กก! แค่กก! แค่กกก! เสียงไอโครกครากดังออกมาทันใดพร้อมกระอักโลหิตออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสียงพึมพำดังเล็ดรอดออกมาอย่างแผ่วเบาอยู่ในขณะนั้น “ยะ...เยี่ยนลี่! ย..เยี่ยนลี่...ถ..ถิง...ถิง..ถิงถิง...ของ...ข้า!” เสียงเรียกชื่ออดีตพระชายาและคนปัจจุบันซึ่งเป็นคนเดียวกันดังออกมาจากปากของอุปราชแห่งหยวนเป่ย ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ยันกายขึ้นมาจากฟูกนอน เส้นผมสีดำสนิทยาวสยายปรกลงใบหน้าก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวพระวรกายค่อยๆ คลานออกมาจากแท่นบรรทมจุดหมายคือผ้าแพรสีเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากแท่นบรรทมเท่าใดนัก ตุบ! ตุบ! ตุบ! พระวรกายใหญ่ตกจากแท่นบรรทมก่อนจะกลิ้งตกลงไปที่พื้นห้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ละความพยายามแต่อย่างใด ท่อนแขนแข็งแกร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status