“ตะ แต่ว่าเรือนเล็กหลังนั้นทั้งเก่าและทรุดโทรม แน่ใจหรือขอรับว่านางจะอยู่ได้”
“นั่นมันเรื่องของนาง ไม่ใช่ธุระของข้า เอารายงานนี้ไปส่ง อีกสองวันข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นอู๋อย่างละเอียด”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
วันถัดมา
เมื่อหลินอิงตื่นขึ้นมา ก็มีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่านางต้องย้ายไปที่เรือนพักด้านหลัง เดิมทีหลินอิงก็มิได้อยากอยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว นางจึงย้ายไปโดยไม่มีคำถาม แต่เมื่อเดินไปที่เรือนเล็กด้านหลังก็ตกใจเล็กน้อย
“ถึงแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิแล้ว… ไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นที่จะมาช่วยทำความสะอาดเลยหรือ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าอย่าพึ่งไป”
เมิ่งหลินอิงยืนมองสภาพเรือนเล็ก ที่เก่าและทรุดโทรม ที่นี่ดูไม่ต่างกับจวนเดิมที่นางจากมาก เพียงแค่ดีกว่านิดหน่อย
“เอาเถอะ อย่างน้อยหลังคาก็ไม่รั่ว แค่ต้องกวาดถูทำความสะอาดนิดหน่อย รีบทำเถอะ”
“แต่ว่า… นี่มันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงฮูหยินของเขาแต่กลับให้ท่านมาอยู่ในที่แบบนี้”
“ทำไมเล่าไม่ดีหรือ เรือนเก่าของท่านแม่ทรุดโทรมยิ่งกว่านี้อีก เจ้าจำไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็แค่ต้องตัดหญ้ารอบ ๆ แต่ด้านในเหมือนจะยังใหม่อยู่นะ”
“คุณหนูท่านก็มองทุกอย่างในแง่ดีเหลือเกินนะเจ้าคะ ช่างเถอะ ข้าเองเจ้าค่ะ”
เรือนหลังนี้แม้จะเก่า แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่ไม่ได้ ตัวเรือนยังแข็งแรงแค่ไม่มีคนดูแล โชคดีที่ยังไม่เก่าจนหลังคารั่วเหมือนห้องของมารดานางที่สกุลเมิ่ง แม้ในตอนนั้นนางอยากจะขึ้นไปซ่อมเอง แต่ก็กลัวคานไม้ที่ง่อนแง่นในจวนสกุลเมิ่งจะล้มลงมาจนเรือนพังเสียก่อน
หากเป็นเช่นนั้นมารดาของนางคงแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่หลังจากที่นางแต่งออกมา ฮูหยินใหญ่รับปากแล้วว่า จะให้ท่านแม่ของนางย้ายมาอยู่เรือนตะวันตก ซึ่งเป็นเรือนที่ใหญ่และมีสาวใช้คอยดูแล
“คุณหนูเจ้าคะ ตรงนั้นหญ้ารกมากท่านอย่าเข้าไปดีกว่า ข้าเข้าไปทำเองเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเก็บของข้างใน”
“เจ้าค่ะ”
หลินอิงแยกกับผิงเพ่ย เก็บกวาดของในเรือนให้พออยู่ได้ นางค่อย ๆ ดึงของและห่อผ้าที่รกรุงรังด้านในออกมา ไม่ทันระวังจึงถูกตะขาบที่ซ่อนอยู่ในห่อผ้ากัด
“โอ๊ย! ผิงเพ่ย!”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เมื่อผิงเพ่ยเดินมา ก็ต้องตกใจเพราะตรงหน้าคือตะขาบตัวใหญ่ที่พึ่งกัดขาของเมิ่งหลินอิงไป
“ผลัวะ!”
“คุณหนูท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ข้าจะรีบล้างแผลให้ท่าน ยาล่ะ ยา…อยู่ที่ไหนละนี่”
“ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ตะขาบตัวเดียวเองข้าไม่ทันระวัง”
“เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ ทำไมชีวิตของพวกเราถึงไม่มีเรื่องดีบ้างเลยนะ”
“เอาเถอะผิงเพ่ย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีห้องครัวและเราก็มีเงิน เอาไว้ทำความสะอาดเสร็จแล้ว เจ้าก็ออกไปซื้อของมาทำของอร่อย ๆ กิน ดีหรือไม่”
“คุณหนูท่านก็ช่างปลอบข้าเหลือเกินนะเจ้าคะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเจ็บมากแท้ ๆ”
“รีบล้างแผลก่อนเถอะ ยังเหลืออีกไม่มากแล้วเจ้าจะได้นั่งพักด้วย”
“เจ้าค่ะ”
สองวันถัดมา
หลิวเว่ยหยางมิได้สนใจเรื่องของเมิ่งหลินอิง ที่พึ่งย่ายไปอยู่ที่เรือนด้านหลังอีกเลย เขาแทบจะลืมนางไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่มีจื่อรั่วที่มาเตือนว่าในวันพรุ่งนี้เขาและนางต้องเข้าวัง เพื่อไปรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งชั้นพิเศษ ที่ท่านอ๋องเป็นตัวแทนฝ่าบาทมอบให้ฮูหยินแม่ทัพหลิว
“พรุ่งนี้หรือ ข้าลืมไปสนิทเลย เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งนางเถอะ”
“เอ่อ ข้าน้อยหรือขอรับ”
“เอาเถอะข้าไปเองก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ดี ต่อให้อึดอัดแค่ไหนก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี”
แม่ทัพหลิวเดินไปยังเรือนด้านหลัง ซึ่งเขาไม่เคยเดินมาที่นี่นานแล้ว เดิมทีเคยเป็นเรือนพักของแม่นมที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก หลังจากนางเสียไปก็ไม่มีใครกล้ามาพักที่นี่อีกเลย แต่เมื่อจะเดินเข้าประตูวงพระจันทร์เข้าไป ในตอนนี้กลับได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีดังออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“เจ้าต่างหากเล่า หัวยุ่งเหมือนผักกาดเลย”
“คุณหนูท่านอย่าเอาแต่เล่นสิเจ้าคะ…ท่านแม่ทัพ!”
หลินอิงสะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้ว่าผู้ใดที่เดินเข้ามา เมื่อนางหันมาก็ตกใจกับบุรุษหนุ่มในชุดลำลองสีเข้ม ผมที่ถูกจัดทรงและรวบด้วยกวานสีเงินครึ่งศีรษะ ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ไม่ต่างกับวันแต่งงานเดินเข้ามาใกล้ ๆ นาง
“นี่พวกเจ้า… ทำอะไรกันอยู่ ที่นี่...”
เขามองไปรอบ ๆ เรือนหลังเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้แทบจะไม่ใช่ที่สำหรับคนอยู่ แต่บัดนี้พวกนางเก็บกวาดจนเรียบ และตอนนี้เหมือนจะกำลังยกหน้าดินเพื่อปลูกบางอย่าง ใบหน้าของคุณหนูเมิ่งที่เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ตอนนี้เปื้อนมอมไปด้วยดินอยู่เต็มแก้ม จนไม่เห็นความงามในวันส่งตัวที่เขาจำได้
“ข้า… ก็แค่ปลูกผัก”
“ปลูกผัก หึ ไม่คิดว่าคุณหนูจวนเศรษฐีเช่นเจ้า จะจับจอบขุดดินเป็นด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกเหลือเกิน เจ้าตั้งใจทำให้ใครดูงั้นหรือ เสแสร้งไปก็ไร้ประโยชน์”
“ท่านแม่ทัพ หากท่านไม่มีธุระอันใดก็หลีกไปเถอะเจ้าค่ะ ข้ากำลังยุ่งอยู่ไม่ว่างรับแขก หลีก!”
นางจงใจกระแทกจอบในมือ ซึ่งให้ผิงเพ่ยไปซื้อมาวันก่อนใส่หน้าเท้าของเขา หลิวเว่ยหยางถอยหลบจนเริ่มโมโห
“พอแล้ว! ข้ามาที่นี่ย่อมมีธุระ ตามข้าออกมานี่ ทางที่ดีเช็ดหน้าเช็ดตาให้ดูเหมือนคนเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน”
หลินอิงกำจอบในมือแน่นด้วยความโกรธ เมื่อแม่ทัพหนุ่มหันไปนางจึงรีบยกขึ้นทำท่าจะฟาด แต่เขากลับหันมาเสียก่อน นางจึงรีบยกลงทันที
“ข้าจะไปรอที่โต๊ะหน้าเรือน อย่าให้ข้าต้องรอนาน”
พูดแล้วก็เดินหันหลังออกไปทันที เขาไม่ลืมสังเกตว่าพวกนางใช้เวลาแค่สองวัน แต่กลับทำให้ที่นี่น่าอยู่ไม่ต่างกับตอนที่แม่นมของเขาพัก เพราะการตายของนางในครั้งนั้น ทำให้เขาไม่อยากเห็นเรือนหลังนี้อีก ไม่คิดว่าจู่ ๆ วันนี้มันจะกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“มันเคยงดงามขนาดนี้จริง ๆ หรือ”
แม่นมฮ่าวหลิงเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก หลังจากบิดาของเขาสิ้นไปพร้อมกับโรคระบาดในกองทัพ เขาไม่รับตำแหน่งอ๋องแทนบิดา ตามที่ฮ่องเต้ซึ่งถือเป็นพระเชษฐาของบิดาจะมอบให้
ดังนั้นฝ่าบาท จึงประทานยศแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดนต้าเฟิงให้เขา และส่งชิงอ๋องที่ไม่ได้เรื่องมาอยู่ที่นี่ หมายจะให้เรียนรู้จากเขา แต่ท่านอ๋องกลับไม่เอาไหน วัน ๆ สนใจแต่สุรานารีและอบายมุข เขาคิดว่านี่คงจะเป็นแผนการของฝ่าบาท ที่อยากให้เขากลับคืนสู่ตำแหน่งอ๋องนั่นเอง
“ท่านมีธุระอะไรก็รีบพูดเถอะเจ้าค่ะ”
หลิวเว่ยหยางตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงของหลินอิงที่เดินมาด้านหลัง เขามองไปรอบ ๆ เรือนที่สะอาดและเริ่มมีดอกไม้ในสวน หลังจากพวกนางกำจัดวัชพืชออกไป ตอนนี้นางไปล้างหน้ามาแล้วเมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจ เพราะไม่คิดว่าสตรีผู้นี้ จะมีใบหน้าที่หมดจดงดงามไม่ต่างกับสตรีแรกแย้ม เพียงแต่นางไม่ใช้เครื่องประทินโฉมที่ดูน่ารำคาญพวกนั้น
“ท่านแม่ทัพ!”
“นั่งก่อนสิ ข้าพูดไม่นานหรอก นั่นอะไร”
“น้ำชาอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ข้าหมายถึงในจานนั่น”
“วันนี้ข้าทำขนม”
“อ้อ คิดจะเอาใจข้างั้นหรือ”
“ท่านหลงตัวเองเกินไปแล้ว น้ำชานั่นข้านำมารับรองท่านตามมารยาท แต่ขนมนี่ข้าทำเองกับมือก็เลยจะเอามากินเอง ไม่ได้เอามาให้ท่านสักหน่อย เชิญว่าธุระของท่านมาได้แล้วเจ้าค่ะ”
พ่อบ้านจิ่วถึงกับลอบขำออกมา เมื่อท่านแม่ทัพหยอกฮูหยินต่อหน้าจางหนิงซิน ที่ยืนหุบยิ้มทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้าง ๆ เขายื่นเด็กให้พ่อบ้านจิ่วแทนที่จะเป็นจางหนิงซิน“ข้าฝากเจ้าดูแลหลานชายด้วย อีกไม่นานจะรีบกลับ ระหว่างนี้ก็ระวังอย่าให้เขาหกล้ม หรือว่า…โดนผลักเข้าอีกล่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก”“คงต้องบำรุงกันอีกเยอะ ข้าจะสั่งให้ผิงเพ่ยเตรียมอาหาร และขนมสำหรับเด็กเอาไว้มากหน่อย”“ฮูหยินช่างรู้งานยิ่งนัก ขอบใจเจ้าล่วงหน้า เราไปกันเถอะ”ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องโถง เดิมทีหลินอิงคิดว่าเว่ยหยางจะไม่เห็นที่จางหลินซินผลักลูกนางออกมา แต่ที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะพลาดจากสายตาของเขาไปได้ จนทำให้นางยิ้มออกมาได้“เจ้าขำอะไรงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”“ข้าจะถามเจ้าว่า จะให้พวกนางไปอยู่เรือนหลังเล็กที่เจ้าเคยอยู่ก่อน ดีหรือไม่ ระหว่างที่ข้าหาเรือนให้พวกนางสองแม่ลูก”“อะไรนะเจ้าคะ เรือนหลังเล็กนั่นหรือ เช่นนี้แล้วข้าจะไปอยู่ที่ใด”แม่ทัพหลิวดึงตัวนางเข้ามาชิด และก้มลงหอมนางสุดลมหายใจ ผู้ที่กำลังเดินออกมาจากห้องโถงเห็นเข้าเต็มสองตา หนิงซินกำหมัดแน่นด้วยความโกรธและริษยา“เจ้าลืมไปแล้วสินะว่า เป
“จางหนิงซิน” เดินเข้ามาและโผเข้ากอดท่านแม่ทัพทันที โดยไม่ทันได้ใส่ใจเด็กชายวัยสามขวบที่ตามมาด้วย เขายืนงงอยู่ด้านหลังนาง หลินอิงและคนอื่น ๆ ต่างตกใจไม่น้อย“เว่ยหยางข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่น่าตัดสินใจผิดพลาด ที่แต่งงานกับว่านตวนอู่ เขาตายไป…"“ว่านฮูหยินโปรดสำรวมด้วย”หลิวเว่ยหยางผลักนางออกไปทันที เขารีบหันไปมองหลินอิงที่ยืนตกใจอยู่กับสาวใช้ ใบหน้าของฮูหยินซีดเผือด จนเขาต้องรีบดึงนางมายืนข้าง ๆ“หลินอิง เรื่องนี้เข้าไปแล้วค่อยคุยเถิด”“เว่ยหยาง! ท่านจะใจดำไม่ช่วยเหลือแม้แต่สหายเก่าที่… เคยสนิทสนมกันเช่นนั้นหรือ ข้าหอบลูกมาขอความเมตตา เพราะเห็นว่าท่านกับว่านตวนอู่เป็นสหายร่วมศึกกัน แต่พอท่านพาเขาไปตาย กลับไม่คิดจะรับผิดชอบลูกชายของเขาเลยหรือ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกชายของตวนอู่งั้นหรือ เสี่ยวว่านมีลูกชายด้วยหรือ”เขาหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง จางหนิงซินเดินไปดึงเด็กชายคนนั้นมาราวกับกระชาก แม้แต่หลินอิงก็ยังตกใจ นี่ใช่ลูกชายของนางแน่หรือ“ใช่สิ เขานี่แหละที่เป็นลูกชายของว่านตวนอู่ เด็กอัปยศที่เกิดจากความผิดพลาดในครั้งนั้น”“เจ้าหุบปากนะ ตอนนี้เด็กก็เกิดมาแล้ว เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นอีก”“ห
รสรักที่นางมิเคยได้ลิ้มลอง เมื่อท่านแม่ทัพเริ่มลาดเลื้อยนิ้วสากไปตามเรือนร่างของนาง และหยุดที่ปทุมคู่สวยอีกครั้ง นางก็รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้ว“อย่าเกร็งมาก ข้าจะค่อย ๆ เข้าไป”“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”เพียงแค่แท่งร้อนที่ทั้งใหญ่และดุดันนั้นสอดเข้ามา หลินอิงก็เริ่มจิกนิ้วมาที่ไหล่กว้างของเขา นางรู้สึกเจ็บและประหม่าเล็กน้อย แต่เขาก็มิได้ทำให้นางทรมานอยู่นาน เพราะหลังจากความเจ็บในสัมผัสแรก จากนั้นทั้งคู่ก็หลงลืมวันเวลาอยู่บนเตียงอุ่น ท่ามกลางเสียงร่ำร้องฉลองชัยชนะในคืนนี้“อื้อ…ทะ ท่านพี่ อื้อ”จูบหนักแน่นและพร้อมจะดูดกลืนนางได้ทั้งตัว ถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลินอิงแทบจะรับศึกรักนี้ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่เขาจับนางเปลี่ยนท่า ยกขาขึ้นพาดบ่า จับให้นอนตะแคงโดยมีเขาสวมกอดอยู่ด้านหลัง แรงกระแทกมาแต่ละครั้งหนักแน่นและดุดันสมกับเป็นขุนศึกผู้กล้า เสียงลมหายใจร้อนรดมาที่ซอกคอ ตามด้วยริมฝีปากเย็นที่ฝังแน่นตามลงมา“ข้า…อ๊าาา ท่านพี่เจ้าคะ”มีเพียงเสียงลมหายใจแหบต่ำของเขาเป็นคำตอบ ว่านางยังพักไม่ได้ หากเขาไม่อนุญาต ร่างบางเกร็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาส่งนางไปถึงฝั่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองพึ่งจะคำรามออกม
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ เว่ยหยางหันไปมองที่ยอดเขาซึ่งเขาเคยพานางมา และเขาก็เห็นว่าผู้ที่ยิงธนูช่วยเขาเมื่อครู่นี้ มิใช่ทหารของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเล็งได้ตรงจุดแต่กำลังก็มิได้ทำให้ฆ่าคนตายได้ แค่หยุดพวกเขาเอาไว้ได้เท่านั้น“เมิ่งหลินอิง เจ้านี่อยู่เฉยไม่ได้เลยจริง ๆ”ค่ายทหารเมื่อกองทัพเริ่มทยอยเข้ามาในค่ายทหาร แม่ทัพหลิวก็ถูกนำมาที่กระโจมเพื่อทำแผลทันที หลินอิงวิ่งเข้ามาหลังจากที่ท่านหมอทำแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว“จากนี้คงต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาเช้าเย็น อาการอย่างอื่นไม่มีอะไรหนักหนามากขอรับ”“ขอบคุณท่านหมอ”เมื่อหมอและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว เพราะเย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่ชนะศึก และทุกคนจะได้กลับบ้าน จึงทำให้ไม่มีใครอยากจะอยู่แต่ในกระโจม หลินอิงเดินเข้ามา และมองไปที่เว่ยหยางซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกข้าว่าแผลที่ไหล่ของท่านไม่ลึกมาก แค่ใส่ยาก็หาย”“วันนี้เจ้าไปไหนมา”“ข้า…”“อย่าได้คิดจะโกหกข้าเชียว กุนซือเผิงช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ”“ท่านโกรธข้าหรือ”“เจ้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย หากว่ามิใช่กองทัพของข้าแล้วละก็”“แต่ที่นั่นทั้งสูงและปลอดภัย กองทัพที่เหลือ
วันถัดมา“ท่านแม่ทัพ ท่านมั่นใจแล้วหรือที่จะ เอ่อ…”“กุนซือ ท่านคิดว่าแผนการนี้มีอะไรต้องแก้ไขงั้นหรือ หากว่าท่านมีแผนการอื่น ที่ดีกว่าแผนที่ฮูหยินขอข้าเสนอมา ก็พูดออกมาได้เลย”“แม้ว่าจะดูรอบคอบ แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้ศัตรูเชื่อว่าเรื่องนี้มิใช่กลลวง”“เรื่องนั้นง่ายมาก เราต้องปล่อยข่าวออกไป และให้พวกเขาปล้นเสบียงไปก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาจะเชื่อข่าวเรื่องนี้ทันที”“อะไรนะ เราต้องเสียเสบียงให้ข้าศึกก่อนงั้นหรือ ท่านแม่ทัพนี่มันจะไม่เสี่ยงไปสักหน่อยหรือ”นางกองหวังพูดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าต้องใช้เสบียงจริงในการหลอกล่อ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา แต่กุนซือเผิงอิ้งกลับตบพัด และหันมายิ้มให้กับแม่ทัพหลิวและฮูหยิน“จะตกปลา หากไม่ใช้เหยื่อก็คงไม่ได้ปลาใหญ่ ข้าเข้าใจแผนการของฮูหยินแล้ว นี่ช่างเป็นการพลิกกลยุทธ์ทางการค้ามาใช้กับกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”“ขอบคุณท่านกุนซือ เช่นนั้นแผนการที่เหลือเราก็เร่งวางแผนกันได้แล้วสินะ”“แน่นอนขอรับ”“เช่นนั้นข้าออกไปก่อน”“ไม่ต้องหรอก เจ้าเป็นคนคิดแผนนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ที่จะรู้แผนการทั้งหมด มาเถอะ”แม่ทัพหลิวโอบเอวนางมาที่โต๊ะซึ่งมีแผนที่อยู่ พวกเขาใช้เว
เสียงทุ้มต่ำของหลิวเว่ยหยาง ทำให้นางจำได้ในทันที นางทิ้งกระบอกและมองเขาชัด ๆ อีกครั้ง จื่อรั่วถูกสั่งให้ออกไปรอข้างนอก หลังจากยืนตกตะลึงไปกับน้ำที่สาดออกมาโดนทั้งคู่ “ทะ ท่านแม่ทัพ!”"ข้าเอง"นางโผเข้ากอดเขาในทันที เว่ยหยางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของนางก็รู้ว่าที่จริงแล้ว ฮูหยินของเขากลัวมากเพียงใด อีกอย่างตัวนางที่สั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด“ข้าเองหลินอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ตะ ตัวท่านเปียกไปหมด ข้าขอโทษ ข้าคิดว่าท่านเป็น…เป็น…”“เจ้าใจเย็นก่อน ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นเจ้าอย่าตกใจ เดิมทีแค่คิดจะแวะมาหาเจ้าเท่านั้น แต่ดูท่าตอนนี้คงต้องเปลี่ยนชุดเสียแล้ว”หลินอิงรีบหันไปเตรียมชุดใหม่ให้เขา ระหว่างที่แม่ทัพหลิวเดินไปอาบน้ำที่ห้องด้านหลัง เมื่อเดินออกมาก็เห็นหลินอิงวางชุดใหม่ให้เขา นางกำลังสาละวนทำบางอย่างอยู่ข้างนอก เมื่อเขาเปลี่ยนชุดเสร็จจึงได้เห็นหมั่นโถวที่พึ่งนึ่งออกมาใหม่ ๆ กับหมูแดดเดียวที่แค่เห็นก็รู้สึกน้ำลายสอ“นี่เจ้าเตรียมให้ข้าหรือ”“เจ้าค่ะ ในครัวมีแป้งเหลืออยู่นิดหน่อย ข้าก็เลยรีบไปนึ่งมาให้ ท่านรีบกินก่อนเถอะ”เขานั่งลงและเริ่มกินอีกครั้ง ศึกที่ยืดเยื้อมาหลายวันทำให้เ