แชร์

บทที่ 12 การคาดเดาของท่านโหว

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:27:15

ยามที่ซ่งเหวินจิ้งมาถึงเมืองหลวงก็เป็นยามดึกของอีกสองวันต่อมาแล้ว เดิมทีเขาจะเร่งมาให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะคนที่ติดตามมาด้วยคือองค์ชาย เขาจะทอดทิ้งเอาไว้ด้านหลังดังที่ปากพูดไม่ได้ ถึงอย่างไรองค์ชายผู้นี้ก็ถือกำเนิดจากฮองเฮา หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับองค์ชายขึ้นมา คนในสกุลซ่งของเขาย่อมจะแบกรับโทษทัณฑ์กับเขาไม่ไหว

“เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าทางประตูใหญ่ ลักลอบเข้ามาทางหลังจวนเช่นนี้ไม่ต่างไปจากขโมยเลยนะ” คำพูดขององค์ชายรองที่ติดตามเขามาทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่าหากเกิดเรื่องร้ายกับองค์ชายผู้นี้ขึ้นมา ฝ่าบาทจะยินยอมให้เขาขอรับโทษทัณฑ์เพียงคนเดียวได้หรือไม่

“ราชโองการมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเมืองหลวงอย่างลับๆ หากเปิดเผยตัวให้ผู้อื่นรู้จะไม่เป็นการขัดราชโองการหรอกหรือ” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองหลี่เสวียนพยักหน้า

“ก็จริง มารดาของเจ้าไม่เท่าไหร่หรอกแต่น้องสาวของเจ้าผู้นั้นข้าเชื่อว่าหากนางรู้ว่าเจ้ากลับมาวันพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงจะต้องรู้แน่”

“...” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งไร้ถ้อยคำจะโต้เถียง เพราะถ้อยคำเมื่อครู่นี้ขององค์ชายล้วนเป็นความจริงทุกคำ ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจมารดาของเขาเป็นสตรีที่หยิ่งทะนงและยึดถือเรื่องกฎระเบียบมากที่สุดแต่เหตุใดน้องสาวของเขาจึงได้เติบโตขึ้นมาอย่างไร้หัวคิด ไร้ระเบียบและไร้แบบแผน แถมยังชอบประพฤติตนให้เป็นจุดสนใจของผู้อื่น เรื่องแต่งงานของนางจนป่านนี้เข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าจะให้นางแต่งเข้าสกุลใด โดยที่นางจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยในสกุลนั้นได้

“แกร็ก!”

“พี่หญิงท่านเบาเสียงลงหน่อยสิ อยากให้พี่ชุ่ยเหมยรู้ว่าพวกเราแอบหนีออกมาหรืออย่างไร” เสียงกระซิบของเด็กน้อยทำให้ทั้งซ่งเหวินจิ้งและองค์ชายรองหันไปส่งสายตาให้กันแล้วก็รีบหาที่กำบังตน

“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอกน่า ดึกดื่นถึงขนาดนี้พี่ชุ่ยเหมยคงคาดไม่ถึงแน่ว่าพวกเราจะหนีออกมา” เสียงเล็กๆ ของเด็กอีกคนทำให้ซ่งเหวินจิ้งจำต้องเพ่งสายตาไปมองและคิดอยู่ในใจว่าเหตุใดหลังจวนอันเปลี่ยวร้างอีกทั้งยังดึกดื่นถึงขนาดนี้จึงได้มีเด็กน้อยสองคนออกมาเดินเล่นได้

“จุ๊ๆ เจ้าหมาน้อย พี่สาวเอาข้าวมาให้เจ้าแล้ว” เสียงเรียกและเสียงเคาะชามเบาๆ ทำให้ลูกสุนัขตัวน้อยสามตัววิ่งไปหาเด็กน้อยทั้งสองคน ชามข้าวที่เต็มไปด้วยเนื้อย่างอันหอมกรุ่นทำให้คนที่ยืนด้านหลังซ่งเหวินจิ้งลอบกลืนน้ำลาย เพราะเร่งรีบเดินทางอาหารมื้อสุดท้ายที่เขาได้กินก็คือมื้อเช้าของวันนี้ ยามนี้ดึกแล้วจมูกของเขาก็ย่อมจะทนรับกลิ่นหอมอันยั่วยวนของเนื้อย่างไม่ไหว

“นั่นใคร ออกมานะ” เสียงตวาดของเด็กชายตัวน้อยทำให้ซ่งเหวินจิ้งเผยกายออกมา เขาจ้องมองเด็กชายตัวน้อยที่ถือกระบี่ไม้ด้วยท่วงท่าอันองอาจแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กสองคนนี้น่าจะมีอายุไม่ถึงสามขวบ เนื้อตัวอวบอิ่มพวงแก้มกลมยุ้ยดวงตาที่ใช้จ้องมองเขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนในจวนนี้เช่นเดียวกันกับพวกเจ้า เพียงแต่ดึกๆ ดื่นๆ เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงได้ออกมาอยู่ในที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ พ่อแม่ของพวกเจ้าไปไหนหรือเหตุใดจึงได้ปล่อยให้พวกเจ้าออกมาตามลำพังเช่นนี้ได้” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้ซ่งจื่อเยว่รีบชี้กระบี่ไปที่เขาในทันที

“ข้าไม่มีพ่อ ส่วนท่านแม่ของข้านางกำชับแล้วว่าไม่ให้พวกข้าออกมา” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งจึงได้พยักหน้า

“อ้อ! ที่แท้ก็หนีแม่ออกมาเที่ยวเล่นกันนี่เอง” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ซ่งจื่อเยว่รีบส่ายหน้า

“พวกข้าไม่ได้มาเที่ยวพวกข้ามาหาเจ้าพวกนี้ต่างหาก” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้าแล้วนั่งลงจ้องลูกสุนัขสามตัวนั้นอย่างพินิจ

“มีเชื้อสายของสุนัขป่า” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เห็นว่าเด็กผู้หญิงกำลังจะยื่นมือไปลูบศีรษะของลูกสุนัข ซึ่งมันก็ตอบโต้กลับด้วยการอ้าปากเตรียมพร้อมจะฝังเขี้ยวลงในมือน้อยอันขาวผ่องของนาง

“ระวัง” ซ่งเหวินจิ้งรีบดึงมือของเด็กผู้หญิงออกมาจากคมเขี้ยวของลูกสุนัขอย่างรวดเร็วทำให้นางรอดพ้นจากคมเขี้ยวอันคมกริบอย่างเฉียดฉิว ส่วนลูกสุนัขที่ได้รับความตื่นตกใจก็ทำท่าว่าจะโจมตีผู้บุกรุกพร้อมกันแต่พอซ่งเหวินจิ้งขยับดาบที่อยู่ในมือพวกมันก็พลันสั่นสะท้านแล้วพากันวิ่งหนีไปในทันที

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ซ่งเหวินจิ้งดึงมือของเด็กน้อยตรงหน้าขึ้นมาสำรวจแต่นางกลับส่ายหน้าแล้วรีบดึงมือของนางออกจากมือเขาอย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก” ซ่งจื่อเหยารีบเอ่ยกับคนตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ นางยังจำคำเตือนของมารดาและชุ่ยเหมยได้ดี ‘ห้ามไว้ใจคนแปลกหน้า’ นี่คือสิ่งที่พวกนางสองพี่น้องต่างก็จดจำและท่องจนขึ้นใจ

“โธ่! เจ้าตัวเล็กหวาดกลัวจนหนีหายไปหมดแล้ว” ซ่งจื่อเยว่ร้องออกมาอย่างขัดใจแล้วก็จ้องมองซ่งเหวินจิ้งอย่างขัดเคือง

“เป็นท่านที่ทำให้พวกมันตกใจ” คำกล่าวโทษของซ่งจื่อเยว่ทำให้องค์ชายรองเลิกคิ้วขึ้นมา

“นี่เจ้าเด็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยเหลือป่านนี้แม่หนูน้อยคนนี้คงจะได้รับบาดเจ็บแล้ว เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันนะเหตุใดจึงใจกล้าเช่นนี้ เจ้าลูกสุนัขสามตัวนั้นแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกมันมีสายพันธุ์ของสุนัขป่าผสมไม่ควรเข้าใกล้” คำพูดขององค์ชายรองทำให้เด็กน้อยทั้งสองนิ่วหน้า

“ดึกมากแล้ว พวกเจ้าพักที่ใดข้าจะพาพวกเจ้าไปส่ง” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็พากันส่ายหน้าพร้อมกัน

“ไม่ต้อง! พวกข้ากลับเองได้” เมื่อพูดจบก็วิ่งตื๋อจากไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของพวกเขาทำให้ทั้งซ่งเหวินจิ้งและองค์ชายรองต่างก็มองตามแผ่นหลังของด้วยความประหลาดใจ

“ตัวเล็กแค่นี้แต่กลับวิ่งเร็วราวกับผู้ใหญ่ อีกทั้งความปราดเปรียวเช่นนี้ราวกับถูกฝึกมาอย่างดี” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้า

“เอ๋ แต่ดวงหน้าน้อยๆ นั่นเหตุใดข้าจึงได้รู้สึกคุ้นตานัก” เมื่อเขาเอ่ยจบก็หันมาจ้องมองซ่งเหวินจิ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง

“เหวินจิ้ง... นี่เจ้าแอบไข่ทิ้งไว้ก่อนจะไปออกรบใช่ไหม” คำถามขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งคิดถึงโม่ชิงเยว่ในทันที ‘คงจะไม่ใช่ลูกของนางกระมัง’

“แค่มีสุ่ยอี้โหรว ข้าก็ได้ยินมาว่าโม่ชิงเยว่เย็นชากับเจ้าราวกับภูเขาน้ำแข็งแล้ว คราวนี้มีลูกนอกสมรสโผล่มาอีกเจ้าไม่ถูกแช่แข็งจนหนาวเหน็บตายไปเลยหรือ” เมื่อองค์ชายรองตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็หันไปจ้องมององค์ชายรองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึมครึม

“วางพระทัยเถอะ กระหม่อมไม่ถูกแช่แข็งจนตายหรอกแต่อาจจะต้องตายเพราะคมดาบของนางต่างหาก” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยจบก็รีบเร้นกายไปที่เรือนของตนเองในทันทีในใจก็ได้แต่คิดว่าขออย่าให้สิ่งที่เขากำลังคาดเดาอยู่เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status