ยามที่ชุ่ยเหมยนำข้อความของเฉินมามาให้โม่ชิงเยว่อ่านโม่ชิงเยว่ถึงกับหัวเราะออกมาในทันที
“ในที่สุดก็ได้เวลาที่ข้ากับแม่สามีจะต้องแตกหักกันแล้วสินะ ดีเหมือนกันข้าจะได้ใช้ข้ออ้างนี้เอ่ยถึงเรื่องการหย่าร้างกับท่านโหวได้ในยามที่เขากลับมา” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วท่านโหวจะยินยอมหรือเจ้าคะ องค์ชายรองทรงตรัสว่าที่ตรงนั้นของท่านโหวใช้การไม่ได้แล้วมิใช่หรือ” คำพูดประโยคนี้ของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่รีบเอ่ยถามในทันที
“ตรงไหน... องค์ชายมิได้ตรัสเช่นนั้นไม่ใช่หรือ แค่ทรงตรัสว่าอาการบาดเจ็บของท่านโหวอาจจะส่งผลต่อการมีทายาท”
“มันก็ความหมายทำนองเดียวกันนั่นแหละเจ้าคะ” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ว่าแต่เหตุใดเฉินมามาจึงได้คัดลอกข้อความจดหมายที่จะส่งให้สกุลกู้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาให้เจ้ากันเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยยิ้มออกมา
“น่าจะเพราะเงินก้อนโตของฮูหยินนั่นแหละเจ้าค่ะ อีกทั้งคนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าผู้ใดจะอยากรับใช้ตลอดไปเล่าเจ้าคะ ไม่แน่ว่าวันไหนเกิดคิดอยากจะตัดมือตัดเท้านางขึ้นมาเฉินมามาก็คงยากที่จะเอาตัวรอดได้” ชุ่ยเหมยเอ่ยออกมาตามความรู้สึกของตนเอง
แต่โม่ชิงเยว่กลับคิดว่าเฉินมามาผู้นี้เป็นผู้ที่มีสติปัญญาดีผู้หนึ่ง อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเงียบๆ มาตั้งหลายปีแต่กลับไม่เคยถูกโทสะของฮูหยินผู้เฒ่าเล่นงาน ในจวนแห่งนี้นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ยังมีเฉินมามาผู้นี้ที่สามารถควบคุมคนในจวนได้โดยไม่ต้องออกแรง แม้แต่สุ่ยอี้โหรวในยามที่ได้ครอบครองอำนาจดูแลจวนก็ยังต้องไว้หน้ามามาผู้นี้อยู่บ้าง ยามนี้ตัวนางตั้งเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเต็มที่แล้ว แต่เฉินมามาผู้นี้กลับยังลักลอบส่งข่าวมาแจ้งนางคงเป็นต้องการหาทางหนีทีไล่ให้แก่ตนเองในอนาคตนั่นเอง
“คนสกุลกู้ เท่าที่ข้ารู้จักพวกเขาคือสกุลบัณฑิตมิใช่หรือ นายท่านผู้เฒ่าคนก่อนคือมหาราชครูที่อดีตฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด หากไม่เพราะกู้ไทเฮาให้การสนับสนุนฝ่าบาทที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากครรภ์ขององค์ไทเฮาก็คงไม่อาจจะแย่งชิงราชบัลลังก์มาได้ แต่พอสิ้นไทเฮาไปแล้วสกุลกู้กลับล่าถอยออกจากราชสำนัก ยามนี้กลับเป็นสกุลหยางซึ่งเป็นสกุลเดิมของพระมารดาแท้ๆ ของฝ่าบาทที่เป็นฝ่ายรุ่งเรืองและมีอำนาจในราชสำนักที่สุด” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางขมวดคิ้ว เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ของนางจึงได้บังคับให้นางนั่งท่องความสัมพันธ์อันซับซ้อนแต่เก่าก่อนในราชสำนักเช่นนี้ แต่ยามนี้นางพอจะเข้าใจแล้ว
“สกุลบัณฑิต แล้วพวกเขาจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ ตำแหน่งฮูหยินจวนโหวที่ฮูหยินผู้เฒ่ารับปากว่าจะยกให้คนสกุลกู้ยามนี้เป็นของฮูหยินอยู่ ในเมื่อจวนโหวไม่สามารถหย่าขาดฮูหยินได้เช่นนั้นก็มีแค่เพียงหนทางเดียวนั่นก็คือความตายของฮูหยินเพียงเท่านั้น ฆ่าสตรีผู้หนึ่งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งฮูหยินของจวนนิ่งอันโหว หากเป็นบัณฑิตผู้เคร่งครัดจริงคงไม่ทำให้มือของตนเองต้องแปดเปื้อนตามฮูหยินผู้เฒ่าหรอกเจ้าค่ะ” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“สามารถสร้างสตรีที่ร้ายกาจอย่างเช่นฮูหยินผู้เฒ่าออกมาได้ ข้าคิดว่าสกุลกู้ก็คงจะไม่ใช่สกุลบัณฑิตที่สูงส่งเท่าใดนัก เอาเป็นว่าช่วงนี้พวกเราพยายามระมัดระวังตนเองให้มากขึ้นอีกนิดก็แล้วกัน โดยเฉพาะความปลอดภัยของเด็กๆ พวกเราไม่อาจจะประมาทได้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็รับคำ แล้วหลังจากนั้นเรือนเหมันต์ก็เตรียมความพร้อมเพื่อต้านรับการโจมตีจากเรือนหลักอย่างเต็มที่
มีตำแหน่งฮูหยินจวนนิ่งอันโหวเป็นรางวัลมีหรือที่จวนสกุลกู้จะไม่ลงแรง ยอดฝีมือที่ชุบเลี้ยงไว้ถึงสี่คนจึงถูกส่งมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าในวันถัดมา
“กำจัดสาวใช้ผู้นั้นของนางทิ้งเสีย ส่วนโม่ชิงเยว่แค่ทำให้นางหมดสติก็พอ แล้วหลังจากนั้นข้าจะส่งคนเข้าไปจัดการกับนางเอง ลงมือคืนนี้ได้เลย” คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามาต้องลอบส่งข่าวให้ชุ่ยเหมยอีกครั้ง ยามนี้นางวางเดิมพันไปที่ทางฝั่งเรือนเหมันต์แล้วย่อมไม่อาจจะนิ่งดูดายปล่อยให้คนในเรือนเหมันต์ถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว
“ชุ่ยเหมย คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหามานั้นทั้งอัปลักษณ์และพิการ หากฮูหยินพลาดพลั้งไปคงมีแค่ความตายเพียงสถานเดียวเท่านั้น” คำพูดของเฉินมามาทำให้ชุ่ยเหมยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“วางใจเถอะ ฮูหยินยังมีข้าอยู่ย่อมจะไม่พลาดพลั้งแน่ เพียงแต่ต้องขอบคุณเฉินมามาแล้วที่ช่วยนำข่าวมาบอกแก่ข้าและฮูหยิน เงินก้อนนี้ท่านก็รับไปเถิดนะถือว่าเป็นสินน้ำใจและค่าตอบแทนที่ท่านเสี่ยงลักลอบมาส่งข่าวให้ข้าเช่นนี้” ชุ่ยเหมยเอ่ยพลางยัดถุงเงินที่มีน้ำหนักไม่น้อยให้เฉินมามาซึ่งเฉินมามาก็ยื่นมือมารับไปอย่างไม่มีอิดออด
เมื่อวานนี้องค์ชายรองไม่เพียงประทานของกินและของใช้ให้ เงินทองและเครื่องประดับก็ล้วนประทานมาให้ไม่น้อยเลย ประกอบกับช่วงนี้ผ้าปักสกุลเจียงมีราคาสูงขึ้นทางสกุลเจียงจึงมอบค่าตอบแทนมาให้มากกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นยามนี้ทางเรือนเหมันต์จึงนับว่ามั่งคั่งกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก เงินที่มอบให้เฉินมามานี้หากเป็นเมื่อก่อนก็จะถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่แต่ยามนี้กลับเป็นแค่เพียงเงินส่วนน้อยที่โม่ชิงเยว่เก็บสะสมเอาไว้เพียงเท่านั้น
“ขอบคุณมาก หากมีความเคลื่อนไหวอะไรที่อาจจะส่งผลต่อเรือนเหมันต์อีกข้าจะรีบมาส่งข่าวให้เจ้ารู้” เมื่อเฉินมามาเอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าแล้วเร่งเดินทางกลับเรือน ส่วนทางด้านเฉินมามานั้นนางทำทีเป็นเดินเล่นในสวนทางด้านหลังอีกครู่หนึ่งแล้วจึงได้เดินกลับเรือนเพื่อไปรอปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าดังเช่นในยามปกติ
ยามที่ชุ่ยเหมยไปแจ้งให้โม่ชิงเยว่รู้ว่าแม่สามีของนางจะลงมือในคืนนี้โม่ชิงเยว่แค่เพียงยิ้มออกมา แล้วสั่งให้ชุ่ยเหมยไปซื้อหาสมุนไพรมาให้นางจำนวนหนึ่ง สมุนไพรที่ชุ่ยเหมยซื้อมาล้วนมีผลต่อการมอมเมาประสาทและทำให้หมดสติทั้งสิ้น จ้าวหรงและจ้าวรุ่ยต่างก็มองรายการสมุนไพรที่พวกเขาไปคัดลอกมาจากร้านขายสมุนไพรที่ชุ่ยเหมยเข้าไปซื้อแล้วก็มานั่งปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที
“ล้วนไม่น่าจะนำมารักษาโรค” เมื่อจ้าวหรงเอ่ยเช่นนี้จ้าวรุ่ยก็เอ่ยวาจาโต้แย้งออกมาในทันที
“อาจจะเป็นเพราะฮูหยินเป็นโรคนอนไม่หลับก็ได้ ดังนั้นข้าคิดว่าควรจะนำรายการสั่งซื้อสมุนไพรเหล่านี้ไปส่งมอบให้นายท่านดีกว่า”
“ไม่ได้! ยามนี้นายท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับการสืบหาหลักฐานว่าฉินอ๋องคิดก่อการกบฏ อีกทั้งท่าทางของแม่นางชุ่ยเหมยนั้นก็มีท่าทางราวกับว่าการซื้อสมุนไพรเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่นางทำอย่างคุ้นชินอีกทั้งนางก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอันใดข้าจึงคิดว่าพวกเรารอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า” เมื่อจ้าวหรงเอ่ยเช่นนี้จ้าวรุ่ยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย...
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ