ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว
“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง
“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ยิ้มออกมาแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างเก้าอี้ตัวที่นางกำลังนั่งอยู่
“เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญทางด้านอื่นนอกจากการใช้กระบี่และยิงธนู” เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้นางก็จ้องมองเขาด้วยสีหน้าอึมครึม
“แล้วเหตุใดข้าจึงไม่รู้เลยเล่าว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าเชี่ยวชาญทางด้านการใช้กระบี่และยิงธนู ตอนที่ข้าบอกกับท่านว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องวิชายุทธ์ท่านคงจะแอบหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจแล้วสินะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่เลยๆ หากเจ้าอยากจะเป็นเช่นไรข้าล้วนตามใจเจ้าอยู่แล้ว เจ้าอยากจะเป็นกุลสตรีที่ไม่สนใจเรื่องวรยุทธ์ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้า หากเจ้าอยากจะทำการค้าข้าก็จะช่วยเหลือเจ้าเช่นกัน” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปมองเขาแล้วเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากข้าอยากทำการค้าท่านก็จะไม่ห้ามข้าหรือ” คำถามของนางทำให้เขายิ้มออกมา
“ข้าจะห้ามเจ้าทำไม ขอแค่เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าชอบและเจ้าพอใจข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้าทุกเรื่อง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวก็คือเรื่องที่เจ้าคิดอยากจะหย่าขาดจากข้า ชิงเยว่เจ้าดูสิยามนี้จวนทั้งจวนล้วนอยู่ในความดูแลของเจ้าแล้ว ส่วนท่านแม่ของข้ายามนี้ข้าสั่งให้คนคอยช่วยดูแลนางแล้วและต่อไปข้าจะไม่ปล่อยให้นางมารบกวนเจ้าอีก ส่วนเหวินหนิงหลังจากนางพ้นโทษจากกรมอาญาแล้วข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชีและไม่คิดจะอนุญาตให้นางกลับมาที่จวนแห่งนี้” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว
“ข้าไม่อยากจะพึ่งพาผู้ใดอีกแล้ว ชีวิตนี้ข้าต้องการพึ่งพาแค่ตนเอง”
“ได้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ขอเพียงอย่างเดียวอย่าได้ไปจากข้าอย่าได้ไปจากจวนแห่งนี้เลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถามเขาตามตรง
“ท่านชอบข้าหรือ” คำถามของนางทำให้เขานิ่งงันไป นางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ถ้าไม่ได้ชอบข้าแล้วจะรั้งข้าเอาไว้ทำไมกัน ข้าเองเมื่อก่อนก็เคยชอบท่านนะ ข้าจำได้ว่าตอนที่ได้รับราชโองการพระราชทานสมรสกับท่านข้าเคยมาดักรอแอบดูท่านที่หน้าจวนโหวแห่งนี้ด้วย” คำพูดของนางทำให้เขาจ้องมองนางด้วยความตกตะลึง
“ท่านหน้าตาหล่อเหลาและองอาจ พอข้าได้ยินว่าท่านไม่มีสาวใช้อุ่นเตียงและไม่มีอนุข้างกายก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พอรู้ว่าท่านแม่ของท่าชอบสตรีสูงศักดิ์ที่มีความเป็นกุลสตรีข้าก็พยายามปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อจะได้เป็นลูกสะใภ้ในแบบที่นางชอบ แต่น่าเสียดายที่พอแต่งเข้ามาแล้วกลับพบว่าท่านเองก็แต่งอนุเข้ามาในวันเดียวกันกับข้า แถมคืนเข้าหอยังไปอยู่กับนางทั้งคืน ยามนั้นในใจของข้าทั้งอึดอัดและคับข้องใจแต่ก็ยังพยายามฝืนทนบากหน้าไปรอรับการโขกสับจากมารดาของท่านและน้องสาวของท่านเพื่อหวังจะประจบเอาใจพวกนาง แถมยังต้องทนมองอนุของท่านได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือกว่าข้า โดยที่ท่านลอยตัวอยู่เหนือปัญหาไม่เคยรับรู้ว่าข้าต้องเผชิญกับอะไรที่จวนบ้างเลย” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้แต่เอ่ยแก้ตัวออกมา
“ข้าไม่มีเวลา แค่จะหาเวลากลับมาหาเจ้าที่จวนก็ยังยากเลย ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบเจ้าหากข้าไม่ชอบเจ้ายามที่ฝ่าบาททรงคิดจะพระราชทานสมรสเจ้าให้แก่ผู้อื่นข้าจะออกหน้าคัดค้านไปทำไม” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาในทันที
“แต่ท่านไม่เคยสนใจข้า แทบจะไม่เคยได้พูดคุยกับข้าเลยสักครั้ง ที่พวกเรามีลูกด้วยกันข้าก็พึ่งจะรู้ว่าเป็นเพราะท่านได้รับพิษราคะกำจายมา” โม่ชิงเยว่เอยออกมาด้วยความสะเทือนใจ หากตอนนั้นนางรู้ว่าเขาได้รับพิษนางแค่ปรุงยาแก้พิษให้เขาก็ได้แล้ว แต่เพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ของภรรยานางจึงไม่ได้ปฏิเสธเขา คิดไม่ถึงว่าพอเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็รีบเข้าวังไปรับราชโองการนำทัพไปชายแดนแล้ว
“เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป จริงๆ แล้วข้าชอบเจ้ามาก ข้าเคยเป็นลูกน้องในสังกัดของพ่อเจ้า เคยฝึกซ้อมวรยุทธ์ในลานฝึกยุทธ์เดียวกันกับเจ้าด้วย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะจดจำข้าไม่ได้ เรื่องนั้นก็ช่างเถิด แต่สาเหตุที่ข้าไม่มีเวลามาคอยดูแลเจ้าล้วนเป็นเพราะว่าข้าต้องพิสูจน์ตนเองให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็น การที่ข้าขอพระราชทานสมรสกับเจ้าทั้งที่ข้ามีกองกำลังอยู่ในมือเหนือกว่าฝ่าบาทแล้วทำให้พระองค์ทรงหวาดระแวงกลัวว่าข้าจะคิดการใหญ่ ท่านพ่อของเจ้าตายไปแล้วก็จริงและลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของเขานั้นมีมากมาย ข้าต้องพยายามทำงานพิสูจน์ตนเองอย่างหนักเพื่อทำให้ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยว่าข้านั้นอยากจะแต่งกับเจ้าด้วยใจจริงไม่ใช่เพื่อซื้อใจบรรดาแม่ทัพนายกองของท่านพ่อของเจ้า การที่ข้าต้องยกทัพไปชายแดนเพื่อกำจัดหม่าป๋อซางทั้งที่เป็นเรื่องที่หนักหนาและอันตรายก็เพื่อเป็นการแสดงความภักดีต่อฝ่าบาท”
ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยอธิบายโดยไม่ได้พูดถึงการที่มารดาของเขาแต่งสุ่ยอี้โหรวเข้ามาแล้วทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ ด้วยทรงคิดว่าเขากล้าขอพระราชทานสมรสกับบุตรสาวแม่ทัพสกุลโม่ แล้วยังกล้าแต่งบุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการในวันเดียวกันอีก ทำให้ในสายพระเนตรของฝ่าบาทเขาที่มีกองทัพอยู่ในมือมากถึงเพียงนี้อาจจะกำลังคิดการใหญ่อยู่ ทำให้เขาต้องอาสากำจัดบรรดาคนให้ฝ่าบาททั้งในที่ลับและที่แจ้ง สุ่มเสี่ยงจะสูญเสียชีวิตก็ตั้งหลายครั้ง ความยากลำบากเหล่านี้เขาไม่กล้าโทษผู้ใด ได้แต่คิดว่าเป็นความผิดของตนเองที่ไม่สามารถอธิบายให้มารดาของเขาเข้าใจในเรื่องนี้ได้
“ความยากลำบากของเจ้าล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษที่ไม่ได้เอาใจใส่เจ้าให้มากกว่านี้ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าตอนที่เจ้าตั้งครรภ์ และต้องขอโทษแทนมารดาและน้องสาวของข้าด้วยที่พวกนางรังแกเจ้าทำให้เจ้าได้รับความยากลำบาก ข้ารู้ว่าคำขอโทษเหล่านี้มันไม่ได้มีค่าอันใดเลยสำหรับเจ้า แต่ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าให้โอกาสข้าขอให้ข้าได้ดูแลเจ้ากับลูกๆ ได้หรือไม่” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่นิ่งงันไปเขาจึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบา
“ยังไม่ต้องให้คำตอบข้าตอนนี้หรอก ข้าจะพยายามพิสูจน์ได้เห็นเองว่าข้าจะพยายามปรับปรุงตัวจะคอยดูแลเจ้าและลูกไม่ทำให้พวกเจ้าต้องได้รับความทุกข์ยากและความลำบากอย่างที่แล้วมาอีก” เขาเอ่ยพลางจ้องมองนางเมื่อเห็นว่านางไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเขาก็ขยับกายลุกขึ้น
“เรื่องการค้าข้าไม่ค่อยจะมีหัวสักเท่าไหร่ แต่เรื่องเงินลงทุนข้ามีมากมายพอสมควร ตั๋วเงินเหล่านี้เป็นเงินส่วนตัวที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเงินกองกลางของจวนโหว เจ้าเอาไปใช้ลงทุนได้ตามแต่ใจของเจ้าเลย” เขาเอ่ยพลางวางตั๋วเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะข้างกายของนาง
“อีกไม่นานข่าวการศึกที่ชายแดนก็จะประกาศออกมา ของรางวัลและเงินปูนบำเหน็จเหล่านั้นเจ้าสามารถจัดการได้ตามใจชอบไม่ต้องกังวลว่าข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของข้าเงินที่เป็นของข้าก็ล้วนเป็นเงินของเจ้าเช่นกัน ข้าต้องไปแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้สาวใช้ของเจ้าไปบอกกับจ้าวหรงและจ้าวรุ่ย พวกเขาคือคนที่ข้าไว้วางใจ ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้าจดหมายของเจ้าจึงส่งไปไม่ถึงมือข้านั้น ข้าสืบพบแล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ใด เอาไว้ให้เหตุการณ์ความวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวงจบสิ้นเสียก่อนข้าจะเอาโทษคนที่กล้าทำให้เจ้าติดต่อข้าไม่ได้เอง” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจึงได้เดินหันหลังจากไปทิ้งให้โม่ชิงเยว่นั่งจ้องมองตั๋วเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าสับสน
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ