แชร์

บทที่ 21

ผู้เขียน: มู่เหลียง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-16 08:00:50

“ฮูหยิน ตอนนี้คุณชายน้อยก็หลับไปแล้ว ท่านไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ ชุดใหม่ของท่านข้าเตรียมพร้อมไว้มห้อยู่ด้านในแล้ว ส่วนตรงนี้พวกข้าจะคอยดูคุณชายให้ท่านเอง”

“เช่นนั้นข้าฝากเฉียนเอ๋อร์ ไว้กับพวกท่านด้วย”

ฉือฟางอินเอื้อมมือไปตบเบาๆ ที่หน้าอกของบุตรชายอีกสองสามที เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าก้อนหมั่นโถวหลับสนิทดีแล้ว นางถึงได้ละจากเขาเพื่อไปชำระล้างร่างกาย เรือนหลังนี้เป็นเรือนไม้ธรรมดา ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของหมู่บ้านหั้วห่าว ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณสิบกว่าครอบครัวเห็นจะได้ ที่นี่แม้จะเป็นเพียงเรือนพักผ่อนชั่วคราว

แต่ก็มีพื้นที่สำหรับเอาไว้ทำงาน มีเตียงเอาไว้พักผ่อนหลับนอน และห้องอาบน้ำ ที่ถูกจัดสันเอาไว้อย่างพอดี จะเว้นก็เสียแต่ไม่มีโรงครัวกับพื้นที่รอบๆ เรือนนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ เหมือนเรือนหลังอื่นของชาวบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับฉือฟางอิน เพราะเวลานับเกือบสองปีที่ผ่านมา ที่ฉือหย่งหลิงได้ให้นางอาศัยอยู่ในเรือนไม่เก่าหลังจวนสกุลฉือ นางยังสามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ด้วยความรู้ความสามารถ ตามที่ท่านแม่ได้สั่งสอนมา แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉือฟางอิน จะเป็นถึงคุณหนูใหญ่ในจวนแม่ทัพใหญ่ มีคนรับใช้รายล้อมทำทุกอย่างให้ แต่ถึงอย่างนั้น ท่านแม่ก็ยังอยากที่จะสอนให้นาง ทำอะไรเป็นด้วยตนเอง เผื่อว่าในอนาคตข้างหน้า เกิดมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น บุตรสาวคนนี้จะได้เอาตัวรอดจากวิชาที่นางสอนเอาไว้ได้

 “ที่แม่ต้องสอนให้เจ้าทำงานทุกอย่างเป็น นั่นก็เพราะว่าพวกเรา ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ หากวันหนึ่งแม่ไม่อยู่ หรือหากเจ้าไม่ได้มีชีวิตทีดีอย่างตอนนี้ อย่างน้อยๆ วิชาพวกนี้จะทำให้เจ้าสามารถเอาตัวรอดได้”

“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”

ในตอนนั้นที่นางตอบรับคำสอนของมารดาไป ก็เพราะเข้าใจความหวังดีที่มารดามีให้ แต่ไม่ได้คิดว่าตนเองจะต้อง ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด เพราะชีวิตการแต่งงานของนางนั้น ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เคยคาดฝันไว้เมื่อตอนยังเด็ก ที่เหล่าสตรีในวงสังคมฮูหยินและคุณหนู ล้วนแล้วใช้สมองในการทำงาน จะมีเพียงแค่การทำอาหาร และงานเย็บปักเท่านั้นที่ต้องใช้แรงร่วมด้วย

แต่สำหรับฉือฟางอิน ที่ถูกผู้เป็นสามีอย่างฉือหย่งหลิงปล่อยให้ทำทุกอย่างด้วยคนเอง อยู่ที่เรือนไม้เก่าท้ายจวน ไม่เว้นแม้กระทั่งการผ่าฟืนสำหรับจุดเตาทำอาหารด้วยตัวเอง มาวันนี้กับแค่เรือนไม้ธรรมดาอีกหลังหนึ่งกลางป่า ก็คงจะไม่เกินความสามารถของนางเท่าไหร่นัก

“ฮูหยินเชิญทางนี้เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ ซีจ่าวนำอาหารให้พวกข้านำขึ้นโต๊ะให้ท่านแล้ว เชิญฮูหยินกินอะไรสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

“แล้วพวกท่านไม่กินด้วยกันหรือ”

“เอ่อ  พวกข้ายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เชิญฮูหยินตามสบายเลยเจ้าค่ะ ข้ากับจือลั่วจะนำชุดของท่านกับคุณชายน้อยไปซักให้ ส่วนลู่ซือ จะคอยเฝ้าคุณชายน้อย ตอนที่ท่านกินข้าวให้เจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องๆ เรื่องพวกนั้นข้าจัดการเองได้”

“ต แต่ว่า พ พวกข้า”

“ไม่มีแต่ ข้าบอกว่าข้าจะทำเอง ก็คือข้าจะทำเอง อาหารตั้งมากมาย ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก มาเร็วเข้า”

เมื่อพูดจบ ฉือฟางอินก็เดินไปช้อนตัวเฉียนเอ๋อร์ ที่กำลังหลับกลางวันอยู่บนที่นอนเล็กบนเตียงนอนขึ้นมาอย่างเบามือ ตอนดวงจิตเข้าไปอยู่ในร่างของซีจู ฉือฟางอินได้ฝึกอุ้มลูกของนางอยู่หลายครั้งจนชินมือ ทำให้ตอนนี้การอุ้มเฉียนเอ๋อร์ จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางมากเหลือเกิน แม้แต่ตอนนี้ที่อุ้มเฉียนเอ๋อร์ขึ้นมาตอนที่เขาหลับ เจ้าหมั่นโถวก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย และเมื่อเขารู้สึกได้ถึงความอุ่นจากกายมารดา เด็กน้อยก็พลิกตัวเข้าหาอกอุ่นทันที

 “ซีจ่าว แล้วเจ้าล่ะกินอะไรมาหรือยัง”

“พอดีข้าต้องรีบนำอาหารมาให้ท่านก่อน เลยยังไม่ได้กินอะไรเลยขอรับ”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าซือจูวานให้เจ้า นำอาหารมาที่นี่หรอกหรือ”

“เปล่าขอรับท่านแม่ ตอนที่ข้ากลับจากแวะไปที่เรือนของแม่เฒ่าลี่ ข้าก็ไม่เห็นนางแล้วขอรับ”

“แย่จริงเจ้าเด็กคนนี้ กลับไปข้าจะต้องต่อว่านางสักหน่อย”

“ซือจู คือใครหรือท่านป้า”

“บุตรสาวคนเล็กของข้าเองเจ้าค่ะ นางชื่อจินซือจูเจ้าค่ะ เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังข้า ตอนที่ท่านมาถึงหมู่บ้านอย่างไรเจ้าคะ ไม่รู้ว่าท่านสังเกตเห็นนางหรือไม่”

นางก็คือก็หญิงสาวที่ทำหน้าตาบูดบึ้งคนนั้นเองสินะ สังเกตสิ นางสังเกตนางดีเชียวล่ะ แล้วการที่ไม่ยอมยกอาหารมาที่นี่ด้วยตนเอง จะเป็นเพราะ ไม่อยากเจอหน้านางด้วยหรือเปล่านะ ฉือฟางอินคิดในใจ

“อืม ข้าว่าข้าน่าจะเห็นอยู่นะ”

“นั่นแหละเจ้า ความจริงนางไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดีนะเจ้าคะ วันนี้ที่นางเหลวไหลเช่นนี้ ก็น่าจะเพราะ…”

“ท่านแม่ขอรับ”

จินซีจ่าวก็เอ่ยห้ามมารดาของตนขึ้นมา ก่อนที่จินซีหลันจะได้กล่าวสิ่งใดต่อ ด้านจินซีหลันที่หันไปเห็นว่าบุตรชาย มองมาด้วยสายตาปรามนางเอาไว้ พร้อมกับสายหน้าเบาๆ นางก็ถึงกับตกใจเอามือปิดปากของตัวเองเอาไว้ เพราะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อครู่ นางเกือบจะเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป

“ท่านป้า ซีจ่าว มีอะไรอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่ท่านว่าบุตรสาวของท่านเป็นอย่างนั้นหรือ”

“อ เอ่อ ป เปล่าเจ้าค่ะ นางไม่ได้เป็น นางแค่…นางแค่”

“ห่วงแต่เล่นกับสหายนะขอรับ เลยทำให้ลืมหน้าที่ของตัวเองไป”

“ใช่ๆ ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าได้ถือโทษโกรธนางเลยนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะกลับไปอบรมนางให้ดี ไม่ให้นางเหลวไหลเช่นนี้อีกเจ้าค่ะ”

ฉือฟางอินสัมผัสได้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้ กำลังร่วมมือกันโกหกนางอยู่ การที่จินซือจูไม่ได้นำอาหารมาที่นี่ด้วยตนเอง คงจะต้องมีเหตุผลอื่น ที่ไม่ใช่เพราะห่วงแต่เล่นกับสหายเป็นแน่ แต่เอาเถอะ การที่สองคนนี่ไม่ต้องการจะกล่าวความจริงกับนาง ก็คงเพราะมีเหตุผลบางอย่างเช่นเดียวกัน ตัวนางเองยังอยู่ที่นี่อีกนาน และดูจากสถานการณ์วันนี้แล้ว อีกไม่นานนางก็คงจะได้ทราบเองว่า จินซือจูคนนั้นมีความคิดเห็นอย่างไรกับนางกันแน่

“อย่างนั้นเองหรือ เช่นนั้นท่านป้าก็ทำแค่เพียงตักเตือนนางก็น่าจะพอแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ขัดเคืองสิ่งใด มาๆ พวกเรามากินข้าวกันเถิด เดี๋ยวอาหารจะชืดเสียหมด”

ระหว่างที่คนทั้งหมดร่วมโต๊ะอาหารกันอยู่นั้น ฉือฟางอินก็ลอบมองสำรวจเรือนไม้หลังนี้อย่างใช้ความคิด เรือนนี้มีข้าวของอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเรือนของนางที่จวนสกุลฉือ ห้องทั้งสามห้องที่มีอยู่ในเรือน ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นให้ผู้ที่มาอาศัย อาศัยอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นสำหรับนางที่ยังต้องอยู่ที่นี่อีกนานนับเดือน ถือว่าที่นี่ยังขาดหลายสิ่งหลายอย่างไปมากทีเดียว 

“ซีจ่าว ห้องที่เรากินข้าวกันอยู่นี้ คือห้องอะไรหรือ”

“ห้องทำงานของท่านแม่ทัพขอรับ”

“เช่นนั้นโต๊ะที่วางอาหารตัวนี้”

“เป็นโต๊ะทำงานของท่านแม่ทัพของรับ”

“เช่นนั้นหลังกินข้าวเสร็จ เจ้าพอจะมีเวลาว่างคุยกับข้าสักเดี๋ยวหรือไม่”

“ได้ขอรับ ฮูหยินมีสิ่งใดจะคุยกับข้าหรือขอรับ”

“ไม่รู้ว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่ข้าอยากจะปรับปรุงเรือนนี้สักหน่อยน่ะ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status