ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลัง
เมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้
ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไป
ถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...
“โอ๊ย!” หลังจากก้าวเท้าออกจากสำนักตระกูลหวังไม่ถึงหนึ่งลี้ นางก็รู้สึกว่าร่างกายภายในของนางกำลังถูกอะไรบางอย่างกัดด้วยความรุนแรง
ในใจคิดออกทันทีว่าสิ่งนั้นคือวิชาที่ตระกูลของนางสืบทอดมา นางหันไปมองที่ด้านหลัง เห็นร่างหวังเฉิงเย่เดินตามมาอย่างไม่รีบร้อน สีหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่เหมือนคนที่นางรู้จัก
“หวังเฉิงเย่ ตั้งแต่เมื่อใดกัน” นางเสียงดังใส่เขา ไม่นึกฝันว่าเขาจะทำกับนางได้ลงคอ
“คืนแรกที่ข้าสำเร็จวิชาที่เจ้าสอน” หวังเฉิงเย่ตอบเสียงเย็นชา “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก ไม่มีที่ให้เจ้ากลับไปอีกแล้ว”
“หมายความว่าอะไร” หัวใจนางเต้นตึกตัก
“ลองใช้สมองน้อย ๆ คิดดูเอาเถิด” หวังเฉิงเย่ปล่อยให้นางว้าวุ่นใจ
“เจ้าอย่าบอกนะ ว่าครอบครัวของข้า...” นางไม่กล้าพูดต่อ แต่พอเห็นสีหน้าของเขาแล้ว นางตะโกนด้วยความเสียใจ “หวังเฉิงเย่! เจ้ามันชั่วช้า ท่านพ่อท่านแม่เอ็นดูเจ้า แต่เจ้ากลับทำได้ลงคอ”
“เห็นแก่ที่เจ้ามอบวิชาล้ำค่าให้ ข้าจึงยังไม่ลงมือกับพวกเขา” หวังเฉิงเย่เดินมาใกล้นาง แล้วฉุดแขนให้นางลุกขึ้นยืน “ลุกขึ้น!” เขาตวาด แต่นางกลับนั่งนิ่ง
“ลุกขึ้น!” เขาจ้องตานาง
ทันใดนั้น นางก็เอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด ปากพร่ำสบถแช่งหวังเฉิงเย่ให้ได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้
“ยิ่งต่อต้าน หนอนไหมตัวนั้นก็ยิ่งซอกซอนไปทั่วร่างของเจ้า” เขาย้ำเตือนนาง
หนอนไหมคือวิชาลับที่ตระกูลของนางสืบทอดกันมาช้านาน แรกเริ่มนางไม่ได้สังเกตเลยว่าทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องนี้มากนัก ด้วยความรักที่บังตาในเวลานั้น กลับส่งผลร้ายแรงต่อนางในวันนี้ รวมถึงครอบครัวที่นางรัก
หนอนไหมมีลักษณะเหมือนเส้นไหมที่โปร่งแสง ไม่มีใครมองเห็นตัวมันได้นอกจากผู้ใช้มัน ยามที่ต้องการให้ใครตกเป็นเบี้ยล่าง เพียงแค่ร่ายวิชาให้หนอนไหมเข้าร่างหนึ่งตัว ก็สามารถสยบคนผู้นั้นได้อยู่หมัด ต่อให้มีอำนาจเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน ย่อมต้องยอมศิโรราบเพื่อรักษาชีวิต และมันจะออกจากร่างเมื่อเจ้าของร่างตายไปแล้วเท่านั้น
ครานั้นที่หวังเฉิงเย่ฝึกวิชาเพียงลำพังนอกตระกูลก็เพราะมีปัญหากับอาจารย์ ลูกศิษย์และพี่น้องคนอื่น ๆ เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปด้วยฝีมือที่เก่งที่สุดในเวลานั้น แต่เพราะเหตุใดไม่รู้ เขากลับถูกน้องชายต่างมารดาช่วงชิงอำนาจนั้นไป
ครั้นได้รู้วิชาหนอนไหม จึงทำให้เขาซุ่มวางแผนเอาคืนทุกคนในสำนักตระกูลหวังที่ไม่เห็นด้วยกับเขา เวลานี้ หนอนไหมที่อยู่ในตัวทุกคนถูกเขาควบคุมเอาไว้หมดแล้ว
หลังจากนั้นก็เกิดสงครามย่อม ๆ ภายในตระกูล หวังเฉิงเย่กำจัดคนที่ไม่เห็นด้วยออกไปจนหมดสิ้น แล้วตั้งตนเป็นเจ้าสำนักตระกูลหวังตั้งแต่นั้นมา
เรื่องราวของมารดาหวังเยี่ยนหลงนั้นจบลงไม่สวยงาม นางฉวยโอกาสตอนที่หวังเฉิงเย่ไม่อยู่ สกัดกั้นหนอนไหมให้อยู่กับที่ แม้เพียงเวลาชั่วครู่ก็ยังดี เพื่อจะอุ้มหวังเยี่ยนหลงวัยแรกเกิดหนีไปจากที่แห่งนี้เพราะไม่อยากให้ลูกที่เกิดมาต้องอยู่ในสภาพเดียวกับนาง
ทั้งสองคนหนีมาได้ไกลพอสมควร จนกระทั่งเกือบถึงประตูทางเข้าสำนักของนาง แต่สายตาเหลือบเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกถึงหัวใจ ฉับพลันหนอนไหมที่สงบนิ่งอยู่ก็ดิ้นพล่านกระสับกระส่าย เริ่มทิ่มแทงกัดกินนาง
“หวังเฉิงเย่ ข้าขอร้อง” นางอ้อนวอนเขา ไม่ใช่เพื่อตัวนางเอง แต่เพื่อบุตรชายของนาง หวังว่าอย่างน้อยเขาจะเห็นว่าหวังเยี่ยนหลงเป็นลูก แล้วปล่อยเขาไป
“เจ้าไม่ทำตามกฎของสำนัก” เขากล่าวเสียงเรียบ กฎของตระกูลจำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ผู้ใดที่ขัดขืนดื้อแพ่ง ไม่ว่าจะลูกศิษย์ ลูกของเขา ภรรยา บทลงโทษคือตายสถานเดียว
“หวังเฉิงเย่ ไว้ชีวิตเยี่ยนหลงเถิด ข้าขอร้อง” นางคลานมาหาเขาด้วยความเจ็บปวด จับที่ขาของเขาแล้วพร่ำอ้อนวอน
หนอนไหมนั้นไม่มีท่าทีจะหยุด อีกทั้งเวลานั้น ประตูสำนักก็เปิดออก นางเห็นสภาพคนที่อยู่ข้างในไม่ต่างกันจากนางนัก จึงเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น เจ็บปวดเกินทน
“เจ้ามันชั่วช้า!” นางหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ออกมาพร้อมจะปลิดชีวิตเขาเพื่อล้างแค้นให้สำนัก ทว่าเพียงแค่ง้างมือที่ถือมีด นางก็ต้องนิ่งงันเพราะหนอนไหมเปลี่ยนสภาพเป็นเข็มแหลมพุ่งตัดขั้วหัวใจของนางในทันที ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับมืดลง นางมองไปที่สำนักและใบหน้าหวังเยี่ยนหลงเป็นครั้งสุดท้าย “แม่ขอโทษ ข้าขอโทษ” แล้วก็ล้มพับไป
ไม่รู้ว่าทำไมหวังเฉิงเย่ถึงได้เก็บหวังเยี่ยนหลงเอาไว้ เขาเลี้ยงดูบุตรชายด้วยลำแข้ง เกิดมามีแต่ฝึกวิชาอย่างเข้มงวด ฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ
หวังเยี่ยนหลงที่เติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของบิดา ไม่เคยได้รับความรักจากเขาแม้แต่น้อย โดดเดี่ยว ทุกข์ทน ไร้ที่พึ่งพิง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารดาของเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน
ยามที่ได้เห็นพี่น้องคนอื่น ๆ อยู่กับมารดา เขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ จนถึงขั้นตัดพ้อมารดาที่ทิ้งตนเองไป
การที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำให้เขาถูกรังแกเหมือนกับหวังซีซวนทุกกระเบียดนิ้ว เช่นนั้นแล้ว เขาจึงไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของหวังซีซวนมากนัก แต่เมื่อได้เห็นเซี่ยฟานในวันนี้ เขาก็เกิดสนใจบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ขอบตายังคงบวมเพราะน้ำตาที่ไหลล้นตลอดทั้งคืน ร่างกายทุกส่วนบอบช้ำ กลางหว่างขาเปรอะเปื้อนน้ำสีขุ่น เขาเกลียดที่เห็นสภาพเช่นนี้ของตัวเองยิ่งนักจึงรีบหาน้ำท่ามาอาบชำระล้างร่องรอยที่เหลืออยู่ เขาขัดถูร่างกายซ้ำไปซ้ำมาจนผิวขาวเริ่มแดง ทว่าสิ่งเหล่านั้นยังคงไม่จางหายไป พลันรู้สึกเหนื่อยล้าจิตใจยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งยังสัมผัสได้ถึงปราณมารอ่อน ๆ ในตัว เหลียนเฟินมีพลังเพียงพอที่จะขจัดมันออกไปได้ แต่มีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง ปราณมารส่วนหนึ่ง
วันต่อมา หวังเยี่ยนหลงออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ปล่อยให้เหลียนเฟินนอนหลับเพียงลำพัง ครั้นเมื่อเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครจึงพอโล่งใจไปบ้าง กระนั้นก็ไม่ลืมสังเกตร่างกายตัวเองกลัวจะมีสิ่งแปลกปลอมดังเช่นตอนนั้น เสื้อผ้าทั้งชุดยังปิดมิดชิดจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปเปิดประตู ทว่า หวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมปิดเรือนเอาไว้ ทำให้เขาออกไปที่ใดไม่ได้ จึงถือโอกาสเดินสำรวจในตัวเรือนใบไผ่ ชั้นวางหนังสือด้านในถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ตำราวิชาต่าง ๆ เรียงรายชิดริมฝั่งผนัง ส่วนใหญ่
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินงัวเงียตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของหวังเยี่ยนหลง ทันทีที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกควบคุมแล้ว เขารีบพลิกตัวหนีแล้วถีบร่างหวังเยี่ยนหลงไปอีกทาง คนที่นอนหลับอยู่พลันกระเด็นตามแรงไปชนขอนไม้ใหญ่ดังพลั่ก สะดุ้งตื่นในทันที “กล้าดีอย่างไร!” หวังเยี่ยนหลงสบถ “คนชั่วช้า เจ้าทำอะไรข้า ทำไมข้าถึงขัดขืนไม่ได้” เหลียนเฟินโพล่งออกมา สีหน้าโกรธแค้นระคนเสียใจ&
หลังจากวันนั้น หวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่วนเวียนวุ่นวายกับเหลียนเฟินไม่จบสิ้นไม่ว่าจะพูดยั่วยุเท่าใดก็ไม่เป็นผล จิตวิญญาณของเหลียนเฟินยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ปล่อยให้ความแค้นเกาะกุม ปราณมารจึงไม่อาจเข้าครอบงำได้อีก ในเมื่อเวลานี้รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใดจึงไม่มีเหตุผลต้องปิดบังอีกต่อไป หวังเยี่ยนหลงจึงพาเขากลับมาที่สำนักตระกูลหวัง ระหว่างพรรคมารกลุ่มหนึ่งตาดีมองเห็นหวังเยี่ยนหลงแต่ไกล คนในนั้นรู้ทันทีว่าเป็นหวังเยี่ยนหลง ยิ่งอยู่เพียงลำพังกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าก็คิดว่าตนเองมีแต้มเป็นต่อ หากกำจัดเขาได้ก็คงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าสามารถโค่นล้มประมุขสำนักตระกูลหวังได้ จึงรวมหัวกันวางแผนพร้อมลอบโจมตี
ครั้นสำนักสะสางเรื่องพรรคมารได้แล้ว จึงหันมาสืบสวนเรื่องภายในอย่างเคร่งเครียดบาดแผลบนร่างกายเกิดจากคมกระบี่เงิน ร่องรอยอาคมที่บ่งชัดได้ว่ามาจากผู้ที่สอบผ่านขั้นกลางไปแล้ว ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงศิษย์ระดับต้นเท่านั้น “ซิ่นเฉิง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังได้หรือไม่” อาจารย์ผู้หนึ่งถามซิ่นเฉิง ซิ่นเฉิงกลับเล่าเรื่องราวบิดเบือนจากความจริงไปมากนักราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหลียนเฟินเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาถูกลงโทษอย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงยอมรับว่าทำเรื่องทั้งหมดนั่นแต่โดยดี
“เหลียนเฟิน!” เสียงคุ้นเคยของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจของหวังเยี่ยนหลงได้เป็นอย่างดี “หมิงฮวา ดีใจนักที่ได้เจอเจ้าเสียที” เขาพูดกับนางอย่างเป็นกันเอง “หวังเยี่ยนหลง?” หมิงฮวาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ นับตั้งแต่ปะทะกันครั้งก่อน ไม่มีข่าวของหวังเยี่ยนหลงหลุดออกมาอีกเลย“เจ้าทำอะไรเขา” หมิงฮวาสงสัย หากเป็นโลหิตมารย่อมไม่สามารถทำอันใดกับศิษย์ทุกคนในสำนักได้ พลังของมันรุนแ