ศิษย์วังธาราเหมันต์ผู้นี้ได้ออกเดินทางเพียงลำพังอีกครั้ง ยามนี้สหายผู้อบอุ่นอ่อนโยนแยกย้ายกลับสำนักของตน ข้างกายว่างเปล่า ไร้เสียงเจื้อยแจ้วคอยถาม จึงรู้สึกเหงาไปบ้างเล็กน้อย ทว่าช่วงเวลาอันแสนมีค่านี้ถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำที่คงจะได้หวนระลึกถึง
เหลียนเฟินเดินทางผ่านเมืองฮวาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขารีบร้อนจนไม่ได้แวะเที่ยวชมเมืองที่มีดอกไม้ผลิบานสะพรั่ง จึงตั้งใจจะเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าพักในโรงเตี๊ยม
กลางดึก
กลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยเข้ามายังห้องของเหลียนเฟิน เขาสะลึมสะลือลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างดูข้างนอกโรงเตี๊ยมแต่กลับไม่พบสิ่งใด
บรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนต่างนอนหลับใหลในเรือนของตน มีเพียงเสียงสายลมพัดใบไม้สะบัดไหว
“แปลกนัก” เหลียนเฟินรู้สึกสังหรณ์ใจ เหตุใดอีกาถึงบินวนอยู่ที่ไกลลิบนั่น เขาสวมเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปดูให้แน่ใจ
อีกฟากหนึ่งของเมืองฮวา
จวนขุนนางระดับกลางกำลังเกิดเรื่องโกลาหล ค่ำคืนที่ผู้คนในจวนควรจะนอนหลับกลับต้องพากันกระเสือกกระสนวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว
เสียงร้องไห้ ขอร้องใครสักคนมาช่วยเหลือดังก้องอยู่ด้านใน ราวกับมีม่านกั้นไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจวนแห่งนี้
บนหลังคาใหญ่มีชายผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์อย่างไม่ทุกข์ร้อน ขณะที่ชายอีกคนตามมาสมทบแล้วแจ้งข่าวเรื่องสำคัญ
“คนผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของหมิงฮวา เวลานี้นางกักตนปิดด่านสามปีขอรับ”
รอยยิ้มน่ากลัวปรากฏขึ้น เขาหัวเราะร่าไม่คิดว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้น
“นายท่าน เขากำลังมาแล้วขอรับ” ซวงเอ่ยปาก ทันทีที่เห็นเหลียนเฟินมุ่งหน้ามาทางนี้ก็รีบมารายงานเจ้านายของเขาในทันที
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ ศิษย์ของหมิงฮวาผู้นี้” หวังเยี่ยนหลงพึมพำ สายตายังคงจ้องมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งในเรือน
นางเป็นบุตรสาวคนโตของขุนนางผู้นี้ นิสัยใจคอเรียบร้อยเป็นที่รักของทุกคน ไม่มีเรื่องใดในชีวิตที่ต้องดิ้นรนโหยหา
แต่เวลานี้ นางกลับถือกระบี่หนักเล่มยาวลากดังเคร้ง เคร้ง ไปกับพื้นหินลานบ้าน สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่า แต่รอยยิ้มกลับน่ากลัวราวถูกสะกด
ครั้นเดินผ่านผู้ใดในเรือน นางจะยกกระบี่เล่มนั้นง้างจนสุดแขนวิ่งไล่ต้อนคนเหล่านั้นจนมุมแล้วฟันฉับผ่าครึ่งอย่างไร้ปรานี
“คุณหนู ไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าค่ะ คุณหนู” เสียงอ้อนวอนของแม่นมที่เคยดูแลนางไม่ได้ทำให้นางได้สติแต่อย่างใด นางยกกระบี่ขึ้นมาแล้วแทงทะลุคนตรงหน้าไร้เยื่อใย
จากนั้นเดินเอนเอียงไม่มีสติผ่านเรือนเล็ก สวนน้ำจนมาถึงเรือนใหญ่ของใต้เท้าและฮูหยินผู้เป็นบิดามารดาของนาง
“เสี่ยวลี่อิน เจ้าเป็นอันใด วางกระบี่ลงก่อนดีหรือไม่” บิดาของนางพยายามพูดให้บุตรสาวใจเย็นลง ไฉนเลยไม่รู้ว่านางถูกผู้อื่นควบคุมอยู่
“ลี่อิน เจ้าได้ยินแม่หรือไม่”
เสี่ยวลี่อินไม่ได้ยินเสียงผู้ใด ในหัวของนางมีแต่ภาพชุดหนึ่งวนเวียน ภาพที่ทำให้นางเกิดความแค้นจนอยากสังหารทุกคน
“ชักช้าอยู่ใย เจ้ารอเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้นในความคิดของนาง
พลันกระบี่ฟันฉับไปที่ร่างของทั้งสองคนตรงหน้าในพริบตา
หวังเยี่ยนหลงดีดนิ้วครั้งหนึ่งสลายอาคมของเขาที่ร่ายใส่เสี่ยวลี่อิน
“ฮึก” ดวงตาของนางเบิกกว้าง เสียงร้องกลืนหายไปในลำคอเมื่อเห็นคนที่นางรักมากที่สุดอยู่ในสภาพเช่นนั้น
“ทะ...ท่านพ่อ ท่านแม่” น้ำตาเริ่มเอ่อล้น ความรู้สึกต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามา
ขณะจะเอื้อมมือไปหาพวกเขากลับเห็นเลือดมากมายบนมือทั้งสองข้างของตัวเอง ข้างกายมีกระบี่เล่มหนึ่งตกอยู่ สายตาของนางกวาดมองรอบตัวที่เวลานี้มีเพียงร่างโชกเลือดของคนในจวน
จากนั้น ภาพของเรื่องราวทั้งหมดก็ปรากฏชัด สีหน้าของคนที่หวาดกลัวนาง เลือดที่สาดกระเซ็นเปื้อนหน้า มือคู่นี้ที่ฟาดฟันทุกสิ่งอย่าง เสี่ยวลี่อินได้เห็นแล้วว่าคนที่ทำเรื่องทั้งหมดคือนางเอง
เพราะเหตุใดกันเล่า ความแค้นเคืองนี้เป็นของผู้ใด ความทรงจำจอมปลอมนี้เป็นของผู้ใดกัน
หวังเยี่ยนหลงกระโดดลงมาจากบนหลังคา เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความพึงพอใจ กระซิบในความคิดของเสี่ยวลี่อินแกมบีบบังคับนาง
“เจ้าฆ่าทุกคนในจวน เหตุใดจึงยืนทื่ออยู่เล่า มิใช่ว่าเจ้าต้องปาดคอตัวเองแล้วตามไปชดใช้ความผิดนี้ในนรกหรอกหรือ”
เสี่ยวลี่อินรู้สึกผิดเศร้าเสียใจจนแตกสลาย นางหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วทำตามที่หวังเยี่ยนหลงบอก “ข้าขอโทษ” คำพูดสุดท้ายของนางหายไปพร้อมลมหายใจ
ทันใดนั้นประตูบานใหญ่หน้าจวนก็เปิดออก เหลียนเฟินชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบพุ่งเข้ามาหาเสี่ยวลี่อินแล้วประคองร่างนางเอาไว้ มือข้างหนึ่งกดปากแผลเหวอะที่ลำคอเรียวของนาง
เขาร่ายอาคมเพื่อจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ หากแต่ไม่ทันการณ์ นางจากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว
เหลียนเฟินวางร่างของนางอย่างแผ่วเบา เดินวุ่นไปรอบจวน ทว่าไม่พบผู้ใดที่รอดชีวิตเลยสักคน
เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มีเงื่อนงำหลายอย่าง เหลียนเฟินจึงร่ายอาคมกันไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรง มิเช่นนั้นแล้วชาวเมืองคงจะตื่นตูมตกใจ
เขาตรวจสอบรอบจวนใหม่อีกครั้ง พยายามหาว่าสิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการสังหารคนในครอบครัวตนเองอย่างเหี้ยมโหด จากนั้นจึงนำเรื่องไปแจ้งที่ศาลาว่าการแล้วให้คนที่นั่นตรวจสอบเรื่องราวให้เงียบเชียบที่สุด
เช้าวันต่อมา
เหตุการณ์ในเมืองฮวายังคงดำเนินไปตามปกติ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าคืนที่ผ่านมาเกิดเรื่องร้ายแรงในจวนขุนนาง พวกเขาได้ยินเรื่องนี้จากเหลียนเฟิน ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่มีทางเป็นไปได้ คุณหนูเสี่ยวลี่อิงไม่มีทางทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
เหลียนเฟินพูดคุยกับคนในศาลาว่าการอยู่นาน แต่กลับไม่พบเบาะแสอื่นใดเพิ่มเติม
“น่ากลัวนักขอรับท่านนักพรต เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ” ชายผู้หนึ่งพูดกับเขา
“จริงขอรับ มีปีศาจเข้ามาในเมืองหรือ”
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งคิดไปไกล บางทีเรื่องนี้อาจมีเบื้องหลัง ค่อย ๆ สืบสาวหาความเถิด” เหลียนเฟินแนะนำ
เขาเห็นปราณมารจาง ๆ ในตัวของเสี่ยวลี่อินจึงพอคาดเดาได้ว่านางเป็นผู้ลงมือทำเรื่องทั้งหมด
เขาทุ่มเทใช้เวลาสองสามวันเพื่อสะสางเรื่องลึกลับนี้จนแทบจะอดหลับอดนอน ช่วงนี้ไม่มีสิ่งใดแปลกไปจึงคิดจะงีบหลับสักครู่หนึ่ง
ทว่า เสียงกุกกักในห้องก็ทำให้เขางัวเงียตื่นขึ้นมาดู ร่างของคนผู้หนึ่งเต็มไปด้วยปราณมารไหลเวียน กลิ่นอายมันลึกล้ำทำบรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกจนขนลุก
เหลียนเฟินเรียกกระบี่เงินคู่กายออกมาจ่อไปที่คนผู้นั้น ห้ามไม่ให้เข้าใกล้ ร่ายอาคมแสงสีฟ้าหากสิ่งนั้นเป็นปีศาจ เขาจะสังหารมันในทันที
คนผู้นั้นเดินเข้าหาเหลียนเฟินอย่างช้า ๆ แสงจันทร์สาดส่องกระทบร่างกายและใบหน้าของเขา แววตาดูไร้สิ้นสติเพราะถูกปราณมารควบคุม
“เป็นเจ้าเองหรอกหรือ” เหลียนเฟินเอ่ยปาก คนผู้นี้ที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุใดวันนี้ถึงปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้
หวังเยี่ยนหลงแสยะยิ้ม ค่ำคืนที่ปราณมารรุนแรงที่สุดกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ เขาไม่อาจควบคุมมันได้อย่างใจนึก สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาคือ ฆ่ามัน
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินงัวเงียตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของหวังเยี่ยนหลง ทันทีที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกควบคุมแล้ว เขารีบพลิกตัวหนีแล้วถีบร่างหวังเยี่ยนหลงไปอีกทาง คนที่นอนหลับอยู่พลันกระเด็นตามแรงไปชนขอนไม้ใหญ่ดังพลั่ก สะดุ้งตื่นในทันที “กล้าดีอย่างไร!” หวังเยี่ยนหลงสบถ “คนชั่วช้า เจ้าทำอะไรข้า ทำไมข้าถึงขัดขืนไม่ได้” เหลียนเฟินโพล่งออกมา สีหน้าโกรธแค้นระคนเสียใจ&
หลังจากวันนั้น หวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่วนเวียนวุ่นวายกับเหลียนเฟินไม่จบสิ้นไม่ว่าจะพูดยั่วยุเท่าใดก็ไม่เป็นผล จิตวิญญาณของเหลียนเฟินยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ปล่อยให้ความแค้นเกาะกุม ปราณมารจึงไม่อาจเข้าครอบงำได้อีก ในเมื่อเวลานี้รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใดจึงไม่มีเหตุผลต้องปิดบังอีกต่อไป หวังเยี่ยนหลงจึงพาเขากลับมาที่สำนักตระกูลหวัง ระหว่างพรรคมารกลุ่มหนึ่งตาดีมองเห็นหวังเยี่ยนหลงแต่ไกล คนในนั้นรู้ทันทีว่าเป็นหวังเยี่ยนหลง ยิ่งอยู่เพียงลำพังกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าก็คิดว่าตนเองมีแต้มเป็นต่อ หากกำจัดเขาได้ก็คงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าสามารถโค่นล้มประมุขสำนักตระกูลหวังได้ จึงรวมหัวกันวางแผนพร้อมลอบโจมตี
ครั้นสำนักสะสางเรื่องพรรคมารได้แล้ว จึงหันมาสืบสวนเรื่องภายในอย่างเคร่งเครียดบาดแผลบนร่างกายเกิดจากคมกระบี่เงิน ร่องรอยอาคมที่บ่งชัดได้ว่ามาจากผู้ที่สอบผ่านขั้นกลางไปแล้ว ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงศิษย์ระดับต้นเท่านั้น “ซิ่นเฉิง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังได้หรือไม่” อาจารย์ผู้หนึ่งถามซิ่นเฉิง ซิ่นเฉิงกลับเล่าเรื่องราวบิดเบือนจากความจริงไปมากนักราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหลียนเฟินเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาถูกลงโทษอย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงยอมรับว่าทำเรื่องทั้งหมดนั่นแต่โดยดี
“เหลียนเฟิน!” เสียงคุ้นเคยของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจของหวังเยี่ยนหลงได้เป็นอย่างดี “หมิงฮวา ดีใจนักที่ได้เจอเจ้าเสียที” เขาพูดกับนางอย่างเป็นกันเอง “หวังเยี่ยนหลง?” หมิงฮวาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ นับตั้งแต่ปะทะกันครั้งก่อน ไม่มีข่าวของหวังเยี่ยนหลงหลุดออกมาอีกเลย“เจ้าทำอะไรเขา” หมิงฮวาสงสัย หากเป็นโลหิตมารย่อมไม่สามารถทำอันใดกับศิษย์ทุกคนในสำนักได้ พลังของมันรุนแ
คนกลุ่มหนึ่งในชุดสีขาวแถบเขียวอ่อนวิ่งเข้ามาด้านในศาลาว่าการสายตามองเห็นศิษย์สำนักตนและคนอื่น ๆ ในนั้นนอนจมกองเลือดก็รู้สึกสลดใจที่มาช้าไป “แยกย้ายกันตรวจดู” อาจารย์ผู้หนึ่งสั่งศิษย์ของตน เขามองภาพที่เกิดขึ้นเห็นทั้งไอปราณมารและร่องรอยการต่อสู้ บาดแผลบนตัวทหารหลายคนดึงดูดความสนใจจากเขาเป็นอย่างมาก “อาจารย์ ช่วยหลิ่งอินด้วยขอรับ” เสียงของศิษย์คนหนึ่งดังขึ้น เขาร่ายอาคมรักษาขั
ครั้นทั้งสองคนเดินผ่านโรงเตี๊ยมเดิมเมื่อตอนนั้น หวังเยี่ยนหลงจึงหยุดอยู่ข้างหน้าพลางชี้ให้เหลียนเฟินดู “อาหารที่นี่ขึ้นชื่อ” เขายักยิ้ม “ข้าว่าไปที่อื่นดีกว่า อยู่ตรงนี้นานเหมือนจะไม่สบาย” เหลียนเฟินนึกถึงครั้งที่แล้ว เขาตื่นมาด้วยความงงงวยจนนึกว่าตัวเองป่วยไข้ ค้นหาอาการในตำรารักษาทั่วไปก็ไม่พบเจอสิ่งใดสายตาเหลือบเห็นสิ่งที่เรียกว่าตำราต้องห้ามจึงเปิดดูเนื้อหาด้านใน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร นึกโกรธตัวเองนักที่จำไม่ได้ จะถามใครก็ไม่ได้อีกเพราะเป็นเรื่องต้องห้าม