 LOGIN
LOGIN“อาเฟิน”
“หลิ่งอิน”
ต่างฝ่ายต่างเรียกหากัน เมื่อครู่พวกเขายืนห่างกันเพียงคืบ แต่เวลานี้ข้างกายกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“อาเฟิน เจ้าอยู่ที่ใด” หลิ่งอินยังคงเรียกเขาไม่หยุด แววตาวิตกกังวลด้วยความเป็นห่วง
“หลิ่งอิน เจ้ารอข้าก่อน อย่าเพิ่งไปไหน” เหลียนเฟินกำลังเดินตามเงาของคนที่เขาคิดว่าใช่ “หลิ่งอิน ไปคนเดียวอันตราย เจ้ารอข้าก่อน” เขาเดินตามทันจึงเอื้อมมือคว้าไหล่ให้หยุด
ทว่า พอคนผู้นั้นหันหน้ามากลับไม่ใช่หลิ่งอิน
“เจ้าเป็นผู้ใด” เหลียนเฟินหลุดปากถาม คนตรงหน้าดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เจอผู้ใดอยู่ที่แห่งนี้ แววตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นระวังตัว ร่างกายถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ
สีหน้าเรียบเฉยแสยะยิ้มจ้องมองเขาพลางเดินเข้ามาใกล้
“หยุด!” เสียงของเหลียนเฟินดังลั่นสั่งให้คนผู้นั้นหยุด มิเช่นนั้นแล้วเขาจะร่ายอาคมป้องกันตัว
“เหลียนเฟิน!” เขาได้ยินเสียงของหลิ่งอินเรียกหาจึงหันไปทางต้นเสียงแต่ไม่พบใคร ครั้นหันกลับมาที่เดิมร่างของคนผู้นั้นก็หายไปแล้ว
มือข้างหนึ่งยื่นมาแตะที่ไหล่เขาเบา ๆ “เหลียนเฟิน” ร่างของหลิ่งอินปรากฏขึ้น เขาจึงค่อยเบาใจนึกว่าจะพลัดหลงกันในม่านหมอกเสียแล้ว
“เหลียนเฟิน”
เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงคนตรงหน้าเหมือนหลิ่งอิน ทว่ารอยยิ้มเยือกเย็นนี่คืออะไร หลังจากใช้เวลาเพียงแวบหนึ่งตรองดูก็พบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่
“เจ้าเป็นผู้ใด หลิ่งอินอยู่ไหน” เหลียนเฟินโพล่งถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดรู้ตัวเร็วนัก” คนผู้นั้นตอบพลันเปลี่ยนโฉมเป็นชายหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นั้น เหลียนเฟินรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“...” เขาไม่ตอบ ปลายกระบี่ของเขาชี้ไปที่คนผู้นี้ แสงสีฟ้าเรืองรองบนคมกระบี่ เหลียนเฟินร่ายอาคมเรียบร้อย เหลือแค่เพียงฟันตรง ๆ เจ้าสิ่งนี้ก็จะสลายหายไป
“ข้าถามว่าทำไม!” ร่างแปลงนั้นตวาดเสียงดังเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ
เหลียนเฟินจึงไม่รีรอฟันกระบี่ลงอาคมไปที่ร่างนั้น จังหวะที่ปลายแหลมคมของมันกำลังกระทบร่าง ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นหลิ่งอินอีกครั้ง เขาชะงักมือหยุดกระบี่เอาไว้
“หลิ่งอิน เจ้าอยู่ไหน” เหลียนเฟินตะโกนออกไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง “ตอบข้าที เจ้าอยู่ที่ใด”
“น่าสมเพช” เสียงของคนน่ากลัวดังขึ้น สายตามองเขาเหยียดหยาม
จู่ ๆ แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นไล่ภาพของคนผู้นั้นออกไปพร้อมเสียงเรียกที่คุ้นเคย “อาเฟิน ข้าอยู่นี่”
ร่างบางยิ้มให้เขาเพราะรู้สึกโล่งใจ นี่ต่างหากหลิ่งอินที่เขารู้จัก
ทั้งสองคนจึงร่ายอาคมสายหนึ่งขึ้นมาเพื่อผูกติดกันไว้ไม่ให้พลัดหลงอีกครั้ง จากนั้นจึงมองหาจุดกำเนิดของอาคมม่านหมอกเพื่อทำลายมันให้สิ้นซาก
“หลิ่งอิน เจ้าดูตรงนั้น” เหลียนเฟินชี้ไปทางกอหญ้าพุ่มใหญ่ ข้าง ๆ กันมีเงาบางอย่างที่มีไอปราณมารล้อมรอบ
พอเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออาคมที่ปล่อยปราณมารออกมาจึงร่ายวิชาสั่งให้กระบี่จัดการ
ชิ้ง
เสียงของมีคมกระทบกัน กระบี่ของเหลียนเฟินย้อนกลับมาหาเขา เงาดำตะคุ่มที่เคยอยู่นิ่งเริ่มขยับ จุดสีแดงก่ำสองจุดเหมือนลูกตาจ้องมองทั้งคู่ด้วยความกระหาย พลันสารพัดเสียงดังก้องทั่วทั้งหุบเขาจนหูแทบระเบิด
“อาเฟิน!” หลิ่งอินรีบเอาตัวเขามาบังเหลียนเฟินเมื่อเห็นว่าไอสีดำกำลังพุ่งมาทางเขาจากหลายทิศทาง แม้จะร่ายอาคมสั่งกระบี่ป้องกันไว้แล้วแต่ก็เผื่อเอาไว้หากมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้
“หาเรื่องตาย” เสียงหนึ่งที่ยืนกอดอกพึมพำยักยิ้มมุมปาก “อยากตายนัก ข้าจะทำให้สมปรารถนา”
เหลียนเฟินมีพลังปราณมากกว่าหลิ่งอินจึงสามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ รวบรวมสมาธิแล้วขยายไอสีขาวโพลนโอบล้อมตัวเขาและหลิ่งอินเอาไว้ ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายพวกเขาได้
คนที่นึกสนุกถึงกับเบ้ปาก หงุดหงิดที่โดนขัด
หากเพ่งมองเงานั้นดี ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ามันก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ไม่มีรูปร่างอะไร ดูแล้วคล้ายภาพลวงตาที่สร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น สิ่งที่มันกำลังปกป้องคงจะอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
“หลิ่งอิน เจ้าหาเจอหรือไม่”
เขาพยักหน้ากระซิบบอกเหลียนเฟิน แล้วเดินเข้ามากอดร่างบางไว้แน่น “กลั้นหายใจ”
หลิ่งอินร่ายอาคมเพราะรู้ว่ากำลังยืนอยู่บนผืนน้ำและของที่ปล่อยปราณมารออกมาก็อยู่ข้างใต้พวกเขา
ร่างของทั้งคู่จมดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกที่สุด ยามสายตามองเห็นพื้นเบื้องล่างชัดเจน ทำให้รู้สึกใจหายยิ่งนัก
โครงกระดูกเกลื่อนกลาดใต้ท้องน้ำบ่งบอกว่าผู้คนมากมายถูกหลอกล่อมายังที่แห่งนี้
หลิ่งอินชี้ไปที่ไข่มุกสีนิลเม็ดใหญ่ รายรอบมีวิญญาณภูติผีเฝ้ามันไว้อย่างหวงแหน เขาจึงจับมือของเหลียนเฟินเอาไว้ สบตากันครู่หนึ่งแล้วร่ายอาคม
แสงสีขาวและฟ้าจากทั้งสองคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สว่างวาบไปทั่วท้องน้ำ ชำระล้างความอัปมงคลออกไปได้ในพริบตา
“เฮอะ” คนที่หลบอยู่ข้างนอกหงุดหงิดที่แหล่งกำเนิดปราณมารของเขาถูกทำลาย
หลังจากขึ้นมาจากน้ำแล้ว หลิ่งอินและเหลียนเฟินจึงได้เห็นว่าที่แห่งนี้สวยงามมากเพียงใดยามไร้ไอปราณมาร ทั้งคู่ยิ้มให้กันที่ร่วมมือทำงานนี้ได้สำเร็จ
แสงกลมจาง ๆ เรืองรองจากใต้ท้องน้ำ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจนพ้นแล้วลอยขึ้นฟ้าสลายหายไปราวกับวิญญาณเหล่านี้ถูกปลดปล่อยไปด้วย
จากนั้นทั้งคู่จึงสำรวจรอบ ๆ ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ก่อนจะหาที่ว่างใต้ต้นไม้พักแรมคืนนี้
“อาเฟิน ถอดเสื้อผ้าเร็วเข้า” หลิ่งอินเดินเข้ามาใกล้คิดจะช่วย “เดี๋ยวเจ้าไม่สบาย ข้าจะเอาไปตากให้”
ฮัดชิ้ว
หลิ่งอินจามออกมา ร่างกายเขาเริ่มเย็นเพราะแช่น้ำนาน ดูเหมือนเขาต่างหากที่กำลังจะไม่สบาย
“หลิ่งอิน เจ้านี่นะ” เหลียนเฟินส่ายหน้าร่ายวิชาหนึ่งทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยไม่ต้องถอด “กินยาแล้วนอนพัก”
“อาเฟิน เจ้าดุข้าหรือ” เขาทำท่าไม่อยากเชื่อสายตา
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอเพียงนี้ ข้าน่าจะห้ามไม่ให้เจ้ามาด้วย” เหลียนเฟินรู้สึกคิดผิด หากรู้ว่าร่างกายเขาไม่เหมือนผู้ใด จะไม่ยอมให้ทำเรื่องเสี่ยง ๆ เช่นนี้หรอก
“อาเฟิน เจ้าอย่าดุข้านักเลย” หลิ่งอินกรอกยาเข้าปากแล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย “ข้ากินยาแล้ว ข้าจะไม่ดื้อ”
“อื้ม นอนได้แล้ว คืนนี้ข้าจะเฝ้ายามให้” เหลียนเฟินเอ่ยปาก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบหาย” หลิ่งอินที่กินยาไปหลายเม็ดทนความง่วงไม่ไหว ไม่มีแรงจะพูดต่อจึงผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ห่มผ้า
เขาจึงหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวให้ รอยยิ้มบางปรากฏทุกครั้งยามที่ได้เห็นคนตรงหน้า
หลายวันต่อมา
หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่าร่างกายของหลิ่งอินแข็งแรงดี พวกเขาจึงจะแยกย้ายกันกลับสำนักของตนเอง เส้นทางที่ทั้งคู่ใช้ผ่านเข้าเมืองหลายแห่ง ไม่มีอันตรายใด ๆ ให้ต้องกังวล
“อาเฟิน ข้าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้า” หลิ่งอินยิ้มร่า “เดินทางปลอดภัย”
“อื้ม ระวังตัวด้วย” เหลียนเฟินพยักหน้า
ครั้นแยกจากกันไกลพอสมควร หลิ่งอินก็ตะโกนกลับมา “ข้าคงคิดถึงเจ้า อาเฟิน”

สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ





![อุบัติรักฟีโรโมน [Omagaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


