“อาเฟิน”
“หลิ่งอิน”
ต่างฝ่ายต่างเรียกหากัน เมื่อครู่พวกเขายืนห่างกันเพียงคืบ แต่เวลานี้ข้างกายกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“อาเฟิน เจ้าอยู่ที่ใด” หลิ่งอินยังคงเรียกเขาไม่หยุด แววตาวิตกกังวลด้วยความเป็นห่วง
“หลิ่งอิน เจ้ารอข้าก่อน อย่าเพิ่งไปไหน” เหลียนเฟินกำลังเดินตามเงาของคนที่เขาคิดว่าใช่ “หลิ่งอิน ไปคนเดียวอันตราย เจ้ารอข้าก่อน” เขาเดินตามทันจึงเอื้อมมือคว้าไหล่ให้หยุด
ทว่า พอคนผู้นั้นหันหน้ามากลับไม่ใช่หลิ่งอิน
“เจ้าเป็นผู้ใด” เหลียนเฟินหลุดปากถาม คนตรงหน้าดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เจอผู้ใดอยู่ที่แห่งนี้ แววตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นระวังตัว ร่างกายถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ
สีหน้าเรียบเฉยแสยะยิ้มจ้องมองเขาพลางเดินเข้ามาใกล้
“หยุด!” เสียงของเหลียนเฟินดังลั่นสั่งให้คนผู้นั้นหยุด มิเช่นนั้นแล้วเขาจะร่ายอาคมป้องกันตัว
“เหลียนเฟิน!” เขาได้ยินเสียงของหลิ่งอินเรียกหาจึงหันไปทางต้นเสียงแต่ไม่พบใคร ครั้นหันกลับมาที่เดิมร่างของคนผู้นั้นก็หายไปแล้ว
มือข้างหนึ่งยื่นมาแตะที่ไหล่เขาเบา ๆ “เหลียนเฟิน” ร่างของหลิ่งอินปรากฏขึ้น เขาจึงค่อยเบาใจนึกว่าจะพลัดหลงกันในม่านหมอกเสียแล้ว
“เหลียนเฟิน”
เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงคนตรงหน้าเหมือนหลิ่งอิน ทว่ารอยยิ้มเยือกเย็นนี่คืออะไร หลังจากใช้เวลาเพียงแวบหนึ่งตรองดูก็พบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่
“เจ้าเป็นผู้ใด หลิ่งอินอยู่ไหน” เหลียนเฟินโพล่งถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดรู้ตัวเร็วนัก” คนผู้นั้นตอบพลันเปลี่ยนโฉมเป็นชายหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นั้น เหลียนเฟินรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“...” เขาไม่ตอบ ปลายกระบี่ของเขาชี้ไปที่คนผู้นี้ แสงสีฟ้าเรืองรองบนคมกระบี่ เหลียนเฟินร่ายอาคมเรียบร้อย เหลือแค่เพียงฟันตรง ๆ เจ้าสิ่งนี้ก็จะสลายหายไป
“ข้าถามว่าทำไม!” ร่างแปลงนั้นตวาดเสียงดังเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ
เหลียนเฟินจึงไม่รีรอฟันกระบี่ลงอาคมไปที่ร่างนั้น จังหวะที่ปลายแหลมคมของมันกำลังกระทบร่าง ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นหลิ่งอินอีกครั้ง เขาชะงักมือหยุดกระบี่เอาไว้
“หลิ่งอิน เจ้าอยู่ไหน” เหลียนเฟินตะโกนออกไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง “ตอบข้าที เจ้าอยู่ที่ใด”
“น่าสมเพช” เสียงของคนน่ากลัวดังขึ้น สายตามองเขาเหยียดหยาม
จู่ ๆ แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นไล่ภาพของคนผู้นั้นออกไปพร้อมเสียงเรียกที่คุ้นเคย “อาเฟิน ข้าอยู่นี่”
ร่างบางยิ้มให้เขาเพราะรู้สึกโล่งใจ นี่ต่างหากหลิ่งอินที่เขารู้จัก
ทั้งสองคนจึงร่ายอาคมสายหนึ่งขึ้นมาเพื่อผูกติดกันไว้ไม่ให้พลัดหลงอีกครั้ง จากนั้นจึงมองหาจุดกำเนิดของอาคมม่านหมอกเพื่อทำลายมันให้สิ้นซาก
“หลิ่งอิน เจ้าดูตรงนั้น” เหลียนเฟินชี้ไปทางกอหญ้าพุ่มใหญ่ ข้าง ๆ กันมีเงาบางอย่างที่มีไอปราณมารล้อมรอบ
พอเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออาคมที่ปล่อยปราณมารออกมาจึงร่ายวิชาสั่งให้กระบี่จัดการ
ชิ้ง
เสียงของมีคมกระทบกัน กระบี่ของเหลียนเฟินย้อนกลับมาหาเขา เงาดำตะคุ่มที่เคยอยู่นิ่งเริ่มขยับ จุดสีแดงก่ำสองจุดเหมือนลูกตาจ้องมองทั้งคู่ด้วยความกระหาย พลันสารพัดเสียงดังก้องทั่วทั้งหุบเขาจนหูแทบระเบิด
“อาเฟิน!” หลิ่งอินรีบเอาตัวเขามาบังเหลียนเฟินเมื่อเห็นว่าไอสีดำกำลังพุ่งมาทางเขาจากหลายทิศทาง แม้จะร่ายอาคมสั่งกระบี่ป้องกันไว้แล้วแต่ก็เผื่อเอาไว้หากมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้
“หาเรื่องตาย” เสียงหนึ่งที่ยืนกอดอกพึมพำยักยิ้มมุมปาก “อยากตายนัก ข้าจะทำให้สมปรารถนา”
เหลียนเฟินมีพลังปราณมากกว่าหลิ่งอินจึงสามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ รวบรวมสมาธิแล้วขยายไอสีขาวโพลนโอบล้อมตัวเขาและหลิ่งอินเอาไว้ ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายพวกเขาได้
คนที่นึกสนุกถึงกับเบ้ปาก หงุดหงิดที่โดนขัด
หากเพ่งมองเงานั้นดี ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ามันก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ไม่มีรูปร่างอะไร ดูแล้วคล้ายภาพลวงตาที่สร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น สิ่งที่มันกำลังปกป้องคงจะอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
“หลิ่งอิน เจ้าหาเจอหรือไม่”
เขาพยักหน้ากระซิบบอกเหลียนเฟิน แล้วเดินเข้ามากอดร่างบางไว้แน่น “กลั้นหายใจ”
หลิ่งอินร่ายอาคมเพราะรู้ว่ากำลังยืนอยู่บนผืนน้ำและของที่ปล่อยปราณมารออกมาก็อยู่ข้างใต้พวกเขา
ร่างของทั้งคู่จมดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกที่สุด ยามสายตามองเห็นพื้นเบื้องล่างชัดเจน ทำให้รู้สึกใจหายยิ่งนัก
โครงกระดูกเกลื่อนกลาดใต้ท้องน้ำบ่งบอกว่าผู้คนมากมายถูกหลอกล่อมายังที่แห่งนี้
หลิ่งอินชี้ไปที่ไข่มุกสีนิลเม็ดใหญ่ รายรอบมีวิญญาณภูติผีเฝ้ามันไว้อย่างหวงแหน เขาจึงจับมือของเหลียนเฟินเอาไว้ สบตากันครู่หนึ่งแล้วร่ายอาคม
แสงสีขาวและฟ้าจากทั้งสองคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สว่างวาบไปทั่วท้องน้ำ ชำระล้างความอัปมงคลออกไปได้ในพริบตา
“เฮอะ” คนที่หลบอยู่ข้างนอกหงุดหงิดที่แหล่งกำเนิดปราณมารของเขาถูกทำลาย
หลังจากขึ้นมาจากน้ำแล้ว หลิ่งอินและเหลียนเฟินจึงได้เห็นว่าที่แห่งนี้สวยงามมากเพียงใดยามไร้ไอปราณมาร ทั้งคู่ยิ้มให้กันที่ร่วมมือทำงานนี้ได้สำเร็จ
แสงกลมจาง ๆ เรืองรองจากใต้ท้องน้ำ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจนพ้นแล้วลอยขึ้นฟ้าสลายหายไปราวกับวิญญาณเหล่านี้ถูกปลดปล่อยไปด้วย
จากนั้นทั้งคู่จึงสำรวจรอบ ๆ ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ก่อนจะหาที่ว่างใต้ต้นไม้พักแรมคืนนี้
“อาเฟิน ถอดเสื้อผ้าเร็วเข้า” หลิ่งอินเดินเข้ามาใกล้คิดจะช่วย “เดี๋ยวเจ้าไม่สบาย ข้าจะเอาไปตากให้”
ฮัดชิ้ว
หลิ่งอินจามออกมา ร่างกายเขาเริ่มเย็นเพราะแช่น้ำนาน ดูเหมือนเขาต่างหากที่กำลังจะไม่สบาย
“หลิ่งอิน เจ้านี่นะ” เหลียนเฟินส่ายหน้าร่ายวิชาหนึ่งทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยไม่ต้องถอด “กินยาแล้วนอนพัก”
“อาเฟิน เจ้าดุข้าหรือ” เขาทำท่าไม่อยากเชื่อสายตา
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอเพียงนี้ ข้าน่าจะห้ามไม่ให้เจ้ามาด้วย” เหลียนเฟินรู้สึกคิดผิด หากรู้ว่าร่างกายเขาไม่เหมือนผู้ใด จะไม่ยอมให้ทำเรื่องเสี่ยง ๆ เช่นนี้หรอก
“อาเฟิน เจ้าอย่าดุข้านักเลย” หลิ่งอินกรอกยาเข้าปากแล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย “ข้ากินยาแล้ว ข้าจะไม่ดื้อ”
“อื้ม นอนได้แล้ว คืนนี้ข้าจะเฝ้ายามให้” เหลียนเฟินเอ่ยปาก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบหาย” หลิ่งอินที่กินยาไปหลายเม็ดทนความง่วงไม่ไหว ไม่มีแรงจะพูดต่อจึงผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ห่มผ้า
เขาจึงหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวให้ รอยยิ้มบางปรากฏทุกครั้งยามที่ได้เห็นคนตรงหน้า
หลายวันต่อมา
หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่าร่างกายของหลิ่งอินแข็งแรงดี พวกเขาจึงจะแยกย้ายกันกลับสำนักของตนเอง เส้นทางที่ทั้งคู่ใช้ผ่านเข้าเมืองหลายแห่ง ไม่มีอันตรายใด ๆ ให้ต้องกังวล
“อาเฟิน ข้าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้า” หลิ่งอินยิ้มร่า “เดินทางปลอดภัย”
“อื้ม ระวังตัวด้วย” เหลียนเฟินพยักหน้า
ครั้นแยกจากกันไกลพอสมควร หลิ่งอินก็ตะโกนกลับมา “ข้าคงคิดถึงเจ้า อาเฟิน”
คนกลุ่มหนึ่งในชุดสีขาวแถบเขียวอ่อนวิ่งเข้ามาด้านในศาลาว่าการสายตามองเห็นศิษย์สำนักตนและคนอื่น ๆ ในนั้นนอนจมกองเลือดก็รู้สึกสลดใจที่มาช้าไป “แยกย้ายกันตรวจดู” อาจารย์ผู้หนึ่งสั่งศิษย์ของตน เขามองภาพที่เกิดขึ้นเห็นทั้งไอปราณมารและร่องรอยการต่อสู้ บาดแผลบนตัวทหารหลายคนดึงดูดความสนใจจากเขาเป็นอย่างมาก “อาจารย์ ช่วยหลิ่งอินด้วยขอรับ” เสียงของศิษย์คนหนึ่งดังขึ้น เขาร่ายอาคมรักษาขั
ครั้นทั้งสองคนเดินผ่านโรงเตี๊ยมเดิมเมื่อตอนนั้น หวังเยี่ยนหลงจึงหยุดอยู่ข้างหน้าพลางชี้ให้เหลียนเฟินดู “อาหารที่นี่ขึ้นชื่อ” เขายักยิ้ม “ข้าว่าไปที่อื่นดีกว่า อยู่ตรงนี้นานเหมือนจะไม่สบาย” เหลียนเฟินนึกถึงครั้งที่แล้ว เขาตื่นมาด้วยความงงงวยจนนึกว่าตัวเองป่วยไข้ ค้นหาอาการในตำรารักษาทั่วไปก็ไม่พบเจอสิ่งใดสายตาเหลือบเห็นสิ่งที่เรียกว่าตำราต้องห้ามจึงเปิดดูเนื้อหาด้านใน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร นึกโกรธตัวเองนักที่จำไม่ได้ จะถามใครก็ไม่ได้อีกเพราะเป็นเรื่องต้องห้าม
ทางสำนักเซียนต่าง ๆ ได้รับข่าวมาว่าหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากคนพรรคมารที่ก่อความไม่สงบราวกับพวกมันไม่เกรงกลัวอำนาจของสำนักเซียนอีกต่อไป ทั้งยังรังแกข่มเหงชาวบ้านอย่างเหิมเกริม ไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรี ศิษย์สำนักเซียนแต่ละแห่งจึงแยกย้ายกันไปช่วยเหลือชาวบ้าน เกิดการปะทะกันเป็นหย่อม ๆ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บไม่น้อย วังธาราเหมันต์เองก็ได้รับสารนั้นด้วยเช่นกัน ศิษย์ที่ผ่านการสอบขั้นกลางทั้งหมดจะถูกส่งลงไปตรวจตรา หากแต่เรื่องราวความวุ่นวายนั้นโกลาหลมากกว่าคิดและกินพื้นที่หลายแห่ง ศิษย์แต่ละคนจึงจำต้องแยกย้ายกันไปตามพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบโดยไร้คู่หู 
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินงัวเงียจนตื่นสายด้วยความอ่อนเพลียจากเรื่องเมื่อคืน ลมเย็นที่เข้ามาทางหน้าต่างพัดไหวผ่านร่างเปลือยเปล่าจนเจ้าตัวสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง “ข้าเป็นบ้าไปแล้วหรือถึงได้ถอดเสื้อผ้านอน” เขาบ่นพึมพำกับตัวเองแต่เมื่อพินิจตรวจดูร่างกายของตนเองดี ๆ แล้ว กลับเห็นรอยแดงช้ำไปทั่วทั้งตัว“ยุงที่นี่ร้ายกาจนัก” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
เหลียนเฟินรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกบางสิ่งกักขังอีกทั้งไอปราณมารจากตัวหวังเยี่ยนหลงเริ่มแผ่เข้ามาในร่างบางโดยไม่รู้ตัว ครั้นแน่ใจแล้วว่าคนใต้ร่างจะไม่กัดลิ้นเขาอีก หวังเยี่ยนหลงจึงรุกคืบสอดสิ้นเรียวเปียกชื้นเข้าไปในโพรงปากของเหลียนเฟินอีกครั้ง ปลายชิวหาเกี่ยวกระหวัดดุนกันอย่างดูดดื่ม “...” เหลียนเฟินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ปากของคนผู้นั้นไม่ยอมถอนออกมาโดยง่าย ความกระหายในตัวเขาไม่อาจดับได้แม้แต่น้อย มันอัดแน่นเพิ่มพูนจนรู้สึกอยากสิงร่างของเหลียนเฟิน&
เหลียนเฟินมองเห็นไอปราณมารห่อหุ้มรอบตัวของหวังเยี่ยนหลงจึงถามดูให้แน่ใจว่าคนตรงหน้ายังมีสติดีหรือไม่ "เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาเดินถอยหลังตั้งหลัก หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบสิ่งใด ยังคงก้าวเข้ามาหาเหลียนเฟินพร้อมรอยยิ้มน่ากลัว พลันพุ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงเอี้ยวตัวหลบไปอีกทางพลางร่ายอาคมเพื่อสลายปราณมารในตัวหวังเยี่ยนหลงเพราะคิดว่าคนตรงหน้าคงจะถูกปราณมารควบคุมเหมือนกับหญิงสาวในจวนขุนนาง “ตั้งสติเสียที” เหลียนเฟินพยายามเรียกเขา หากแต่หวังเยี่ยนหลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ผิวหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย ครั้นเห็นว่าไม่อาจปลุกเขาให้ตื่นจากการถูกควบคุมได้ เหลียนเฟินจึงเสี่ยงร่ายอาคมประชิดตัวเขา มือสองข้างสัมผัสบนแผ่นหลังของหวังเยี่ยนหลงเพื่อถอนปราณมาร เหลียนเฟินคิดแต่เพียงว่าหากสลายปราณมารได้ คนตรงหน้าก็จะปลอดภัยโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นตัวการของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด เวลานี้ปราณมารควบคุมหวังเยี่ยนหลง ความรู้สึกอยากกัดกินร่างกายและวิญญาณมีเต็มเปี่ยม ทุกครั้งที่เหลียนเฟินพยายามสลายปราณมารให้ หวังเยี่ยนหลงจะเอามือปัดป้อง