“ท่านเป็นเด็กหรือไร ถึงได้เขี่ยผักทิ้งเช่นนั้น” เจียวซินเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเฟยเทียนเขี่ยผักที่ติดอาหารออก ทั้งยังคีบเมนูผักให้เฟยเทียนอีกด้วย
“นี่เจ้ากล้า-” เฟยเทียนกัดฟันกรอด กล้าดีอย่างไรมาว่าให้เขาเป็นเด็ก แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังเอ่ยชมเขาอยู่หลายหนว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบห้าหนาว แต่นี่เขาอายุได้ยี่สิบห้าหนาวแล้ว นางยังกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็ก ช่างกล้า ช่างกล้านัก!
“ทานเสีย ผักมีประโยชน์ท่านมิรู้หรือ ถึงไม่ชอบก็ต้องทานนะเพคะ” เจียวซินวางผักที่คีบลงบนข้าวของท่านอ๋องด้วยความหวังดี
“เจ้ามิต้องมาสอดเรื่องของข้า ทานของเจ้าไป!!” ด้วยกลัวจะเสียหน้าต่อหน้าขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ในห้อง เฟยเทียนจึงเขี่ยอาหารที่เจียวซินคีบให้ทิ้งและกล่าวตำหนิเจียวซินด้วยเสียงดุจนเจียวซินชะงัก
นางเพียงหวังดีเหตุใดจึงว่ากล่าวกันด้วยถ้อยคำเช่นนี้ หากไม่กินก็เพียงแค่บอกกล่าวกันเท่านั้น มันยากนักหรือ
“เพคะ! หม่อมฉันจะมิสอดเรื่องของท่านอีก” เจียวซินไม่เข้าใจท่านอ๋อง แม้แต่น้อย แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนนางอยู่ในห้องประชุมของโรงเรียนในโลกเก่า ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงเอ่ยตอบรับและทำตนเองให้นิ่งที่สุด เอาจริงๆ นางเกือบคิดไปแล้วว่านอกจากหนิงเออร์ คงจะมีท่านอ๋องอีกคนที่นางอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยและสะบายใจ แต่ด้วยคำพูดของท่านอ๋องเมื่อครู่...ทำให้นางอดรู้สึกผิดหวังมิได้ ต่อจากนี้คงต้องเตือนตนเองมิให้ ล้ำเส้นท่านอ๋องอีก
ด้านเฟยเทียนเมื่อเห็นท่าทีและน้ำเสียงของเจียวซินที่ตอบรับถึงกับชะงักไปเช่นกัน ท่าทางนางดูเกรง แววตานิ่งเรียบมิฉายความสดใสอย่างก่อนหน้า นางไม่พอใจอย่างนั้นหรือ แต่แล้วอย่างไร เขามิได้ทำผิดอันใด เป็นนางที่ผิดกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็กทั้งที่นางอายุน้อยกว่าเขาถึงเจ็ดหนาว
ทั้งสองนั่งทานอาหารไปอย่างเงียบเชียบ มิมีผู้ใดปริปากพูดขึ้นมา แม้แต่คนเดียว ขันทีและนางกำนัลในห้องต่างก้มหน้าลงพื้น จนเจียวซินวางตะเกียบลง หนิงเออร์จึงนำผ้าและขันน้ำมาให้นายของตนเช็ดมือเช็ดปาก
ไม่นานเฟยเทียนก็วางตะเกียบลง รับสำรับเช้าเสร็จทั้งสองก็เดินออกจากห้องโถง เฟยเทียนเมื่อเห็นเจียวซินกำลังจะแยกไปอีกทางจึงรีบเอ่ยขัด
“เจ้า…เจ้าจะไปห้องตำรามิใช่หรือ” เจียวซินกำลังคิดว่าจะไปดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็เบื่อหน่ายท่านอ๋องเต็มทน แต่อีกใจก็คิดว่าหากไม่ไปครั้งนี้ไม่รู้เมื่อใดจะได้เข้าไปอีก
“เพคะ” เจียวซินตอบเพียงเท่านั้นก็เดินตามท่านอ๋องไป เมื่อถึงห้องตำรามีเพียงเจียวซินเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป หนิงเออร์และนางกำนัลหยุดรออยู่หน้าห้อง ภายในห้องแบ่งแยกเป็นสองส่วน กั้นด้วยม่านลูกปัดราคาแพงด้านหลังม่านเป็นโต๊ะนั่งมีตำรา ม้วนกระดาษ และพู่กันวางอยู่คล้ายโต๊ะที่ใช้สำหรับทำงาน เจียวซินคาดว่าท่านอ๋องน่าจะใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงานด้วยเช่นกัน
เป็นเพราะเช่นนี้ ท่านอ๋องจึงมิได้ตอบตกลงให้นางเข้ามาอ่านตำราในทันที เป็นเพราะยังไม่ไว้ใจกันสินะ
พื้นที่ห้องอีกส่วนหนึ่งมีชั้นวางที่เรียงรายไปด้วยตำราหลายแขนง หากเทียบกับโลกก่อนห้องนี้คงเป็นห้องสมุดของโรงเรียนขนาดกลางได้เลย
“ตำราในห้องนี้มีหลายแขนง เจ้าก็เลือกเอาว่าจะอ่านสิ่งใด” เฟยเทียนพูดจบยังไม่ได้ขยับตัวไปที่ใด หวังให้เจียวซินเอ่ยถามถึงที่วางของตำราแขนงต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด
“เพคะ” เจียวซินเพียงเอ่ยตอบรับและเดินเข้าไปเลือกตำราอย่างรวดเร็ว
“นี่…ฮึ่ม!” เฟยเทียนได้แต่หงุดหงิดในใจ นางพูดได้เพียง “เพคะ” หรืออย่างไร เพคะ เพคะ เพคะ! ตั้งแต่ตอนทานอาหารนางก็ไม่พูดคำอื่นกับเขาอีกเลย
“หรือว่านางจะโกรธ…” เฟยเทียยพึมพำกับตัวเอง ช่างเถิด! เฟยเทียนเรียกหาห่าวซวนก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะทำงาน
“เรียบร้อยดีใช่หรือไม่” เฟยเทียนเอ่ยถาม
“กระหม่อมให้คนมาเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ ไว้ ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ดูท่าทีของนางไปก่อน”
“แต่ท่านอ๋อง พระชายาและครอบครัวไม่น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียในการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้และเชื่อใจในอดีตแม่ทัพจางรวมถึงคนทุกผู้ในตระกูลจางด้วยเช่นกัน แต่ข้าเพียงกลัวว่าจะมีผู้หลอกใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น” พูดจบเฟยเทียนก็หันไปมองร่างบางที่กำลังยืนเลือกตำราอยู่ ห่าวซวนเห็นดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไป นอกจากห่าวซวนจะเป็นองค์รักษ์แล้วเขายังทำหน้าที่มือขวาของ เฟยเทียน เป็นที่ปรึกษา เป็นคนที่เฟยเทียนไว้ใจ และเป็นคนที่รู้ใจเฟยเทียน ไม่น้อยไปกว่าขันทีจิ้นหนาน
“ท่านอ๋องกลัวพระชายาโกรธหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดท่านไม่ลองไปพูดคุยกะ…”
“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” เฟยเทียนละสายตาจากเจียวซินหันมาสนใจงานที่กองอยู่บนโต๊ะ ฎีกามากมายที่ถูกส่งมา เขาจะเป็นคนคัดกรองเรื่องที่สำคัญก่อน นำไปปรึกษาร่วมกับองค์รัชทายาทหรือพี่ชายของเขาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป เฟยเทียนก้มหน้าอ่านฎีกาได้ไม่นาน ก็เงยหน้ามองหาเจียวซินอีกครั้ง แล้วก็กลับมาอ่านฎีกาอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ