“ป้าๆ ของภพเข้ามาช่วยดูแลค่ะ”
เสียงของแป้นยังสั่นเครือ ขณะที่เธอเล่าถึงช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต
"ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสูงมากค่ะ ทั้งต้องทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าเพราะกระดูกผิดรูป แล้วยังต้องเยียวยาจิตใจของภพ ทั้งช่วงรักษาและหลังการรักษา ใช้เวลาเกือบสามปีเลยค่ะ"
สามปี... ที่ต้องดูแลบาดแผลทั้งภายนอกและภายใน
"ฉันเจ็บจนปวดใจตอนที่ลูกฟื้นขึ้นมา แต่ใบหน้าเขาบูดเบี้ยว เป็นแผล และพูดไม่ได้"
เสียงของแป้นแผ่วลง ราวกับกำลังย้อนกลับไปในความทรงจำที่เธออยากลืมมากที่สุด
"แต่เด็กคนนี้เข้มแข็งและอดทนมาก เขาไม่ร้องไห้เลย พยายามฝืนยิ้มและให้กำลังใจฉันตลอด"
หมอเพชรนิ่งฟัง หัวใจหนักอึ้ง
ภพ... ต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกันนะ ถึงเลือกจะไม่ร้องไห้?
การไม่ร้องไห้… ไม่ใช่เพราะเขาไม่เจ็บปวด แต่มันอาจหมายความว่าเขา เจ็บปวดเกินกว่าที่จะร้องออกมาได้
"ญาติฝั่งพ่อเขา... โกรธมากเมื่อรู้ว่าพ่อภพค้ายา และทำร้ายลูกตัวเอง" แป้นพูดช้าๆ ดวงตาว่างเปล่า ราวกับย้อนกลับไปอยู่ในอดีตที่เธอพยายามหนีมา "พวกเขาขอเป็นเจ้าของไข้ และอยากพาภพไปรักษาที่ต่างประเทศ"
"จากนั้นไม่นาน เราก็บินไปสหรัฐอเมริกากันค่ะ" หมอเพชรพยักหน้า แม้เธอจะเข้าใจดีว่า แป้นคงไม่อยากจากบ้านไป แต่สำหรับลูก... เธอไม่มีทางเลือกอื่น
แป้นเงียบไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าความเศร้าจะไหลทะลักออกมาพร้อมถ้อยคำ
"มันหนักมากค่ะหมอ... เราดูแลกันกว่า 3 ปี ทั้งผ่าตัด ทั้งทำกายภาพบำบัด"
"เขาต้องพบกับความหดหู่... จนบางครั้งแทบจะแยกไม่ออกว่ามันเป็นเพียงความเสียใจ หรือมันคือภาวะซึมเศร้าจริงๆ"
เธอหลับตาลง สูดลมหายใจลึกก่อนพูดต่อ แต่เสียงของเธอกลับสั่นกว่าก่อนหน้านี้
"คืนแรกหลังการผ่าตัด... ฉันนั่งข้างเตียงลูก ภพนอนนิ่งเหมือนไร้ชีวิต"
"ฉันร้องไห้เงียบๆ มองดูใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยรอยเย็บ บวมช้ำ และผิดรูปไปจากเดิม"
"ตอนนั้นฉันไม่กล้าคิดเลยว่า… เขาจะกลับมายิ้มได้อีกไหม"
"แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือ... เขาไม่ร้องไห้เลยค่ะหมอ"
แป้นยิ้มบางๆ แต่ดวงตาของเธอแดงก่ำ
"ภพเข้มแข็งมาก... มากเสียจนฉันเจ็บปวด"
"เขาไม่เคยแสดงความอ่อนแอเลย ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยตัดพ้อแม้แต่นิดเดียว"
"แต่ฉันรู้ค่ะ... ฉันรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดจนเกินจะพูดออกมาได้"
หมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ถึงก้อนแข็งๆ ที่จุกอยู่ในอก
แป้นสูดลมหายใจลึกๆ ราวกับต้องรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
"มีคืนหนึ่งค่ะ... ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องของภพจากห้องของเขา"
"เสียงนั้น... มันดังและเจ็บปวดจนหัวใจฉันแทบแตกสลาย"
แป้นกลืนน้ำลายลงคอ ฝืนยิ้มทั้งน้ำตา
"ฉันรีบเข้าไปกอดเขาเอาไว้... แต่ร่างของเขาสั่นเทิ้ม เขาจับแขนฉันแน่นจนเจ็บ แล้วพูดออกมาเสียงสั่นว่า..."
'แม่ครับ... ผมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม?'
เธอสะอื้นออกมา "ฉันไม่รู้จะตอบลูกยังไงเลยค่ะหมอ..."
"ฉันอยากให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม... แต่ฉันรู้ว่า... มันไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีกแล้ว"
หมอเพชรหลับตาลง เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ภพ... เด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยมีรอยยิ้มแจ่มใส เด็กชายที่เคยมีอนาคตที่สดใส แต่กลับถูกพรากทุกอย่างไปในค่ำคืนที่เขาไม่มีทางลืม และตอนนี้... เขากำลังแบกรับบาดแผลเหล่านั้นไว้เพียงลำพัง
"แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับพวกเราค่ะ"
แป้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่แสนเปราะบาง แต่ดวงตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความหวัง
"แพทย์เจ้าของไข้ช่วยกันศัลยกรรมใบหน้าของภพให้ค่อยๆ ดีขึ้น เขาค่อยๆ พูดได้ รวมทั้งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเข้ามาช่วยบำบัดจิตใจของเขา... และมันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ"
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความเศร้า... แต่มันคือความปลื้มปิติ
"ฉันดีใจมากค่ะ... มากจริงๆ"
แป้นใช้มือปิดใบหน้า น้ำตาแห่งความโล่งใจเอ่อล้น เธออาจร้องไห้มากมายนับไม่ถ้วนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่วันนี้... เป็นน้ำตาที่ต่างออกไป
หมอเพชรมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่อ่อนโยน เธอดีใจไปกับแป้นจริงๆ
"ฉันดีใจด้วยนะแป้น" เธอเอ่ยออกมาเบาๆ "อย่างน้อย... เขาก็กลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง"
เธอหยุดไปชั่วขณะก่อนจะถามสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด
"แล้วตอนนี้เขา—"
"แม่ครับ เรา..."
เสียงทุ้มนุ่มแต่ไม่คุ้นเคยขัดจังหวะของเธอ
หมอเพชรชะงัก หันไปมองตามเสียงนั้น...
ตรงหน้าประตูของสถานีอนามัย เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่
เด็กหนุ่มที่เธอไม่รู้จัก
เด็กหนุ่มที่สูงโปร่ง มีผิวขาว ใบหน้าของเขามีร่องรอยของบาดแผลจางๆ จากการเย็บที่ยังพอมองเห็นได้ แต่แม้จะมีรอยแผลเหล่านั้น... เขาก็ยังดูเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีเขาดูสงบ... แต่แววตาของเขามีบางสิ่งซ่อนอยู่
ความกังวล... หรือบางทีอาจเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ยังหลงเหลือจากอดีตแป้นหันไปมองชายหนุ่ม ก่อนส่งยิ้มให้
"นี่ไง... คนที่เราอยากเจอ"
ชายหนุ่มเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนนั่งลงตรงหน้าเธอ
เขาพนมมือไหว้ แล้วจ้องมองมาที่เธอ
หมอเพชรเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะ...
ดวงตาของเด็กหนุ่ม... เต็มไปด้วยบางสิ่งที่เธอไม่อาจอ่านออก
"ภพ..."
หน้าบ้านหลังเล็กที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นปะปนกับเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ปล่อยให้มีเพียงสองร่างในอ้อมกอดกันแน่นอยู่กลางห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวด ภพกอดร่างของกนกแน่น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากการร้องไห้ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่าย ๆ น้ำตาของคนน้องเปียกเสื้อเขาจนชื้น และแรงกอดของกนกก็เหมือนเป็นการยึดเหนี่ยวสุดท้ายไว้กับความจริง“ฮึก… พี่ภพ… มันเจ็บ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบารอดออกจากริมฝีปากสั่น“ไม่เป็นไรแล้ว…” ภพกระซิบเบา ๆ มือใหญ่ลูบหลังคนน้องอย่างอ่อนโยน“พี่อยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้วนะ…”กนกส่ายหน้าเล็กน้อย ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นสะอื้นอย่างทรมาน“มันย้อนกลับมา… ภาพพวกนั้น… ตอนเด็ก… ทำไมถึงลืมมันไปได้ ฮึก… ทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้…”“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคนเก่ง…” ภพก้มลงจูบผมนิ่ม ๆ ซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเนียนด้วยความอดทนที
วันนี้พี่ภพชวนผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า อากาศสดชื่นกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้พี่ภพอยู่ข้าง ๆเราไปเดินชมสวนดอกไม้ด้วยกัน แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่กำลังผลิบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน พี่ภพยิ้มให้กล้อง ผมเองก็ยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวแปลกดีนะ… ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ภพเป็นเหมือนบ้านช่วงบ่าย พี่ภพบอกว่าจะพาผมไปในสถานที่แห่งหนึ่ง "สถานที่แห่งความทรงจำ"ผมไม่ได้ถามว่ามันคือที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พี่ภพบอกผมก็คือ—"จับมือพี่ไว้แน่น ๆ นะ"และช่วงนี้ ผมกล้าจับมือพี่ภพแล้วด้วยเรานั่งรถมาด้วยกัน ข้างทางเริ่มคุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับไปที่บ้านพี่ภพแต่พอรถเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็ก ๆ ผมกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดมันไม่ใช่บ้านของพี่ภพ แต่เป็นบ้านเก่าหลังนึงที่สภาพดี แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อก้าวลงจากรถ ผมรู้สึกเหมือนถูกสายลมที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาเต็มแรงลมพัดเอื่อย
ในห้วงเวลาอบอุ่นช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว กนกอยู่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว พี่ภพเองก็ติดโปรเจกต์ปีสุดท้ายและกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งหากันเป็นระยะจนกระทั่งวันนี้พี่ภพมาหาน้าแป้น และทักมาหาเขา"วันนี้มาหาพี่หน่อย อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานได้ไหม?"กนกอ่านข้อความแล้วบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกกับพี่ภพ เมื่อเจอกัน เราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่พี่ภพจะขับรถพาเขาไปยังห้องพักบรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบา อากาศเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายใจ กนกไม่ได้ถามว่าทำไมพี่ภพถึงพาเขามาที่ห้องพัก—เขาแค่ไว้ใจคอนโดของพี่ภพอยู่ไม่ไกลจากหอในของเขานัก เป็นห้องขนาดกว้าง แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ครัวเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนเชื่อมกับพื้นที่ทำงาน เตียงกว้างและดูนุ่มมาก"เราจะนั่งอ่านหนังสือที่เตียงพี่ก็ได้นะ ถ้าง่วงก็นอนได้เลย""ครับ"กนกตอบรับโดยไม่ถามอะไร เขาหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาเปิด แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าพี่ภพให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือแค่ต้
"อ้อมกอดของแม่"คืนนี้เงียบสงบกว่าทุกคืน ลมหายใจของกนกอุ่นขึ้นเมื่อนอนอยู่ข้างแม่ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง"วันนี้แม่ขอนอนกับลูกชายคนโปรดได้ไหมครับ?""ได้ครับแม่"กนกขยับตัวให้แม่เข้ามาใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พอเพชรล้มตัวลงนอน กนกก็รีบซุกตัวเข้าหาแม่ทันที โอบกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเพชรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยน "เป็นยังไงบ้างลูก ปีแรกในมหาวิทยาลัย เหนื่อยไหม?""เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกมากด้วย""เรียนยากไหม?""ก็ยากนิดหน่อยครับ แต่ยังดีที่มีมิวช่วยติวให้ มิวเก่งมากเลยครับแม่""ดีจังเลย แม่จำได้ว่าลูกเล่าเรื่องมิวให้ฟังบ่อยๆ แล้วหนูพราวล่ะ เป็นไงบ้าง?""พราวก็ยังตลกเหมือนเดิมเลยครับแม่ ถ้าผมเครียดๆ เบื่อๆ พราวนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้""ดีแล้วล่ะลูก มีเพื่อนดีก็ช่วยกันประคองไปนะ มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"กนกพยักหน้ารับ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเพชรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจ "แล้วพี่ภ
หลังจากนั้นพบรักก็พากนกกลับบ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมความรู้สึกที่อบอุ่น แม้จะมีความหวาดกลัวและกังวลบางอย่างยังค้างอยู่ในใจ แต่การมีพี่ภพอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอด คอยปลอบโยน ทำให้เขารู้สึกว่า… ไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังและยิ่งรู้สึก… ชอบพี่ภพมากขึ้นทุกวันวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังไปเยอะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลยเหนื่อยล้าเต็มที กนกหยิบหนังสือนิยายขึ้นมา หวังว่าจะอ่านเล่นสักหน่อยก่อนจะหลับไปแต่ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้ง มือถือก็สั่นเบา ๆ แจ้งเตือนข้อความจาก LINEพี่ภพ: “นอนหรือยังครับ”กนก: “กนกจะอ่านหนังสือนิยายสักหน่อย แล้วก็คงจะนอนแล้วครับ”พี่ภพ: “นอนไวจัง เพิ่งสามทุ่มเอง”กนกหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับกนก: “พี่ภพมีอะไรหรือเปล่าครับ”พี่ภพ: “พี่เหนื่อยนิดหน่อย พอดีส่งงานให้ลูกค้าอยู่ กำลังปั่นงานเลย”กนก: “วันนี้พี่ภพกลับไปในเมืองหรอครับ”
เพชรมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มกับโทรศัพท์ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมา“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันครับ คุณกนกของแม่?”กนกสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม “ยิ้มอะไรกันล่ะครับ แม่คิดไปเอง กนกไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”เพชรหัวเราะเบา ๆ “ก็เห็นยิ้มกับโทรศัพท์ไง”เด็กหนุ่มเม้มปาก หันไปมองหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ก็...พี่ภพ LINE มาบอกนะครับว่าอยู่บ้านตัวเองแล้ว”“อ้อ”“แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กนกก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เจ้าตัวพูดต่อ “แต่ว่าพี่เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราตรงนี้นี่เอง”เพชรพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตายังคงมองสำรวจลูกชายของตัวเอง“วันนี้เขาจะมาหาหรือเปล่า?”“พี่ภพเหรอครับ?”“จ้ะ”“เห็นบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนมะพร้าวเล็ก ๆ”เพชรเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวนมะพร้าว?”กนกพยักหน