โอมมือสั่นระริกเมื่อมองเห็นภาพนั่นร่วงลงมาจากซองสีขาวขนาดใหญ่กว่าซองปกติ มันลงไปอยู่กับพื้นโต๊ะ...แล้วเขาก็เห็น คนสามคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ลูกสาวของเขาอยู่ตรงกลาง ดวงหน้าเรียวดูสว่างด้วยรอยยิ้ม ข้างขวาของเธอคือเมษา และอีกข้างก็คือหนุ่มน้อยผัวใหม่ของเมษา เขาพลิกไปอ่านข้างหลัง
...ขิมอยากให้พ่อเห็นว่าขิมกับแม่มีความสุขกันค่ะ รักพ่อ ม๊ากมาก...
ปากของเขาเม้มแน่น ดวงตาลุกโชน...ลูกสาวเขา เลือดในอก ของเขาแท้ๆ เทียวที่เหยียบย่ำดวงใจเขาได้เพียงนี้ เหมือนพิจิกาสนับสนุนให้เมษามีผัวใหม่...โอมเริ่มคลางแคลงแล้วว่าระหว่างแม่กับลูกคู่นั้น ใครจะชักนำใครกันแน่ เขากำลังจะฉีกรูปภาพนั้นออกเป็นชิ้นๆ แต่ เพ็ญพรรณก้าวเข้ามาเสียก่อน...หล่อนหยิบรูปนั้นไปจากมือของเขา
“จะฉีกเสียทำไมกันคะ”
“ขิมส่งรูปมาเยาะเย้ยผม”
“แกคงจะไม่ได้เจตนา”
แต่ไม่ว่าเพ็ญพรรณจะพูดอย่างไร โอมก็ปักใจเชื่อเสียแล้ว เขาหมดหวังกับลูกสาว หมดหวังการรอคอยการกลับบ้านของสองแม่ลูกอีกต่อไปโดยสิ้นเชิงแล้ว...ทำอย่างไรทั้งเมษาและพิจิกาก็จะไม่หวนกลับมาที่นี่...ส่วนเขาก็ยังต้องดำรงชีวิตต่อไป เขายังมีตัวเอง มีลูกชาย และที่เป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเขาก็คือเพ็ญพรรณ...โอมไม่ยอม ตอบจดหมายลูกสาวอีก ทั้งที่เขาเคยตอบ...เขาเคยมีการ์ดไปให้เธอ ในวันเกิดและวันสำคัญอื่นๆ ตอนนี้เขาถือว่าพิจิกาได้ตายจากสำนึก ของเขาไปแล้ว...เขาเก็บรูปของเธอที่มีลงในกล่องเหล็กใบหนึ่งแล้ว ใส่กุญแจปิดตาย
“ผมมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องคุณครู...อย่าพูดถึงขิมกับแม่ของแกอีก ให้ถือซะว่าแกตายไปแล้ว...อย่าบอกสิงห์ด้วย”
“แต่สิงห์รู้นะคะ...แกยังจำได้ว่าแกมีแม่ และแกก็รู้อีกด้วยว่าพี่สาวของแกเป็นนักร้องดัง”
“บ้านนี้จะไม่มีการพูดถึงเมษากับพิจิกา...จะไม่มีเรื่อง และรูปของนักร้องคนนั้นในบ้านนี้อีกด้วย”
**************************************************************
เพราะชื่อเสียงที่โด่งดังทำให้พิจิกาไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ในระดับอุดมศึกษา...ตอนแรกที่เธอแสดงความจำนงจะเรียน ในชั้นเตรียมอุดม หัวข้อนี้ถูกหยิบเอามาถกเถียงกันมากมายทีเดียว
“เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องคิดให้ดี” ทรงวุฒิเอ่ยขรึมๆ “เรียนเตรียมอุดมต้องมีเวลามากพอและต้องเรียนอย่างหนักเพื่อจะเคี่ยวตัวเองไปเรียนในมหาวิทยาลัย”
พิจิกาจึงลังเล
“ถ้าเชื่อผม...ตอนนี้เรียนอาชีวะไปก่อน หาโรงเรียนที่เจรจากันได้ในเรื่องเวลาเรียน”
“อาชีวะหรือคะ”
พิจิกาหน้าเสีย เธอไม่อยากเรียนอาชีวะ ไม่อยากเรียนใน สายอาชีพเลย...จุดหมายปลายทางของเธออยู่ในมหาวิทยาลัย เธอ เชื่อในสติปัญญาของตัวเองว่าสามารถพาตัวเองไปไหว
“เรียนไปก่อน...ขิม แล้วหลังจากนั้นค่อยสอบเทียบแล้วลอง สอบเอนทรานซ์ ผมห่วงขิมเพราะไม่แน่ใจว่าถ้าช่วงไหนคิวเยอะ จะไม่มีเวลาพอ...ผมก็รู้ว่าขิมอยากเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้ให้ทอดทิ้ง การเรียน แต่ตอนนี้ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด...ขิมยังเด็กอีกด้วย ผมไม่อยาก ให้หักโหมทำอะไรหลายอย่างที่มันเกินกำลังตัวเอง”
“นั่นซิ” เมษาคล้อยตามเขา “เอาอย่างคุณวุฒิว่าก็แล้วกัน เรียนอาชีวะไปพลางๆ แล้วก็มีครูมาสอนพิเศษ ติวไปเรื่อยๆ จนสอบเทียบ แล้วก็ลองสอบเอนทรานซ์...ถึงตอนนั้นเอนทรานซ์ไม่ได้ ลูกก็ยังเรียน ในมหาวิทยาลัยเอกชนได้...ถ้าลูกโตกว่านี้แล้วจัดสรรเวลาได้ดีกว่านี้ นี่ลูกเพิ่งจะอายุสิบห้า...ลูกยังเด็กเหลือเกินนะจ๊ะ ทำงานหนักเท่านี้ แม่ก็สงสารลูกเหลือเกินแล้ว”
หล่อนดึงลูกสาวมากอดเอาไว้...พิจิกาในวัยสิบห้ายังผอมบาง เธอยังไม่มีส่วนสัดความเป็นสาวมากนัก แต่เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องสาวรุ่นอายุน้อยที่สุดที่งดงามที่สุด และมีคำทำนายทักว่าเธอจะเติบโต เป็นหญิงสาวแสนสวยอีกด้วย มีแมวมองเข้ามาติดต่อทางเมษาทาบทามให้พิจิกาไปเป็นดารา แต่หล่อนปฏิเสธไปทุกราย หล่อนอยากให้พิจิกา เอาดีทางด้านร้องเพลงมากกว่า...เมื่อพิจิกาอายุมากกว่านี้ เธอก็จะ ยืนหยัดได้มั่นคงด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมกันมา
พิจิกาเหมือนรูปเงาแห่งความฝันของหล่อนเอง ฝันที่หล่อนทำให้มันเป็นจริงไม่ได้...เมื่อพิจิกาทำได้ มันจึงทำให้แรงอัดแน่นในอกของหล่อนเบาบางลงไป
ข่าวด่วนส่งมาบอกการกลับบ้านของพิจิกา ทำให้โอมนิ่งงัน เขาปล่อยให้กระดาษข้อความนั่นหลุดร่วงลงมากับมือ ปล่อยให้เพ็ญพรรณเป็นฝ่ายเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา อ่านจบแล้วหล่อนก็มองหน้าโอมอีกครั้งหนึ่ง เห็นข้างแก้มที่นูนเพราะเขาขบกรามแน่นเข้าหากัน โอมได้ทำเหมือนไม่มีเมียชื่อเมษา และลูกสาวชื่อพิจิกามานานแล้ว...นานนับจากเขาคิดว่าเขาถูกเหยียบย่ำจากเมียและลูก เขาขอหล่อนแต่งงาน เหมือนจะประชดเมียเขา...ลูกเขา แต่เวลาหลายปีที่หล่อนมาอยู่กับเขา ที่นี่คือครอบครัว โอมมีความสุขดี เขาค่อยๆ ดีวันดีคืน พ้นจากความเจ็บปวดที่ทรมานเขา เพ็ญพรรณรู้ว่าหล่อนคือ คนใหม่เข้ามา หล่อนไม่อาจจะแทนที่เมษาได้ทั้งหมด แต่หล่อนก็คือผู้หญิงที่โอมยกย่องว่าเป็นเมียและเป็นแม่ของสิงหา เขาไม่เคยพูดถึงเมียเก่าหรือพิจิกาอีกเลย...บ้านนี้ไม่มีหนังสือที่ลงเรื่องของพิจิกา ไม่มีเทปเพลงของพิจิกา ความโด่งดังของเธอเข้ามาไม่ถึงบ้านนี้...และนี่พิจิกา จะกลับบ้านหล่อนมองหน้าเขา...เมื่อโอมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหา แววตา ของเขาเหมือนคนคิดไม่ตก หล่อนไม่อยากถามเขา อยากให้เขา เป็นคนตัดสินใจเอง“ผมจะยอมให้ยัยขิมกลับมาอีกดีไหม...คุณครู” เขากลับเป็น ฝ่ายเอ่ยถ
“ขอขิมนอนพักสักหน่อยแล้วกันค่ะ”เธอบอก ทำท่าเหมือนปลอบประโลมมารดาไปด้วยพร้อมๆ กัน และในที่สุดเมษาก็ยอมเปลี่ยนใจ หล่อนให้ลูกสาวนอน คลี่ผ้าผืนบางออก ห่มให้แล้วจึงออกไปจากห้อง หลังจากสั่งว่าหากพิจิกาต้องการอะไร ให้เรียกบอกได้ทันที“เดี๋ยวแม่จะให้พิมพามาอยู่เป็นเพื่อน”เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับอนาคตอันใกล้นี้อย่างไร และ กับสิ่งที่เธอแน่ใจว่าได้อุบัติขึ้นมา มือของพิจิกาวางอยู่บนหน้าท้อง เธอลูบมันไปมาเบาๆ ท่าทางเลื่อนลอยเมื่อตอนที่พิมพาเดินเข้ามาในห้อง และทำให้พิมพาต้องหยุดมองอย่างพิศวง เพราะพิจิกาเหมือนจะไม่รู้ว่า มีคนเข้ามา“คุณขิม”เพียงเสียงเรียก...พิจิกาก็สะดุ้งบอกความตกใจเต็มที่ทีเดียว“น้าพิมนั่นเอง...ขิมนึกว่าใคร” เธอยิ้ม ดูระโหย ดวงหน้าซีด แววตายังบอกว่าคิดไม่ตก “ขิมขออยู่คนเดียวก่อนได้ไหม...ขิมอยากคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสักหน่อย...เป็นความลับ” เธอบอกต่อเมื่อเห็นพิมพา ยังไม่ยอมรับ “ไม่ถึงสิบห้านาทีหรอก...น้าพิม”“ก็ได้ค่ะ...เดี๋ยวจะเข้ามาใหม่นะคะ”พิมพาเข้ามาหลังจากนั้นยี่สิบนาที...ที่ได้เห็นก็คือพิจิกาไม่ได้ นอนอยู่บนเตียงแล้ว เมื่อกวาดตามองหาทำให้ตกใจยิ่ง เพราะพิจิกา อยู่หน้าตู
คุณพิจิกา” สาวิตรีเอ่ยทัก และนั่นทำให้พิจิกาถอยหลบไม่ทันอีกแล้ว หน้าหล่อนซีดเผือด...ชายคนนั้นไม่ได้มาแต่ผู้หญิงคนนี้มาแทนจะแตกต่างกันสักแค่ไหนเชียว“ฉันมาเยี่ยมค่ะ” สาวิตรีลุกไปหาจับมือพิจิกาบีบเอาไว้ เห็น แววตาพรั่นพรึงของเธอแล้วก็เวทนาเต็มอก“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” พิจิกากระซิบบอก “คุณอย่าพูดนะคะ”“ฉันมาตามคำขอร้องของคุณสุ...เขาขาหักนอนอยู่โรงพยาบาลค่ะ”เหมือนผ่อนลมหายใจโล่งออกมา...พิจิกาเหยียดยิ้มเยาะ“สมน้ำหน้า...มันยังน้อยไป คนโฉดอย่างเขาน่าจะตายไปเลย”“เขาอยากเจอคุณนะคะ ฝากบอกมาว่าจะรับผิดชอบ ไม่ใช่ เลยเถิดเฉยๆ”พิจิกาปลดมือของสาวิตรีออกไป บอกด้วยเสียงเบาๆ แต่ เย็นชานัก “ไปบอกเขาว่าฉันลืมหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น...นึกซะว่าทำทานให้มารตายอดตายอยากแล้วกัน”สุวิชาอึ้งไปนานกับคำพูดที่สาวิตรีเก็บมารายงานอย่างไม่มีตกหล่นสักคำหนึ่ง หล่อนมีความจดจำเป็นเลิศราวกับบันทึกเทป มาท่องจำเอาไว้ให้เขาฟัง...ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าว มันผสมผสานไปด้วยความเสียดายแม่เนื้อหวานอ่อนโลกคนนั้น แต่แล้วความถือดีก็เข้ามาแทนที่ เพราะสุวิชาไม่เคยใส่ใจกับผู้หญิงรายใดนานนัก ก็แค่ฉากผ่านเล่นของเขาเท่านั้น
สุวิชาไม่ได้คิดจะเลิกติดตามหาตัวสาวน้อยของเขาเลย แต่เขาโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุเสียก่อนเพราะการใจลอยของเขานั่นเอง...รถยนต์ของเขาชนกับรถยนต์อีกคันหนึ่งบนถนน ออกนอกเมือง แล้วเขาก็ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยสภาพ ของคนป่วยหนัก ขาข้างหนึ่งถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเฝือกหนา หลังจากผ่าตัดไปแล้ว เขายังเดินไม่ได้และนั่นทำให้เขาออกฤทธิ์ต่างๆ นานากับมารดา “แม่ต้องตามเธอมาให้ผมนะ”คุณเสาวรสยิ้มเย็น อันที่จริงเคราะห์ร้ายของลูกชายหนนี้ ไม่ได้ทำให้เธอวิตกอันใดเลย กลับทำให้เธอพอใจด้วยซ้ำที่เห็นลูกชาย ไปไหนๆ ไม่ได้ เขาไม่อาจจะตะลอนๆ หาความสุขส่วนตัวแบบที่เขาชอบ ไม่ได้ก่อกรรมทำบาปทางโลกีย์กับหญิงสาวคนใดอีก“มันไม่ใช่หน้าที่ของแม่”“แม่ใจร้ายมาก”เขาว่า...หน้าตาที่แต้มยาและยังมีรอยแผล จากกระจกบาดเอาไว้บึ้งจนดูกระด้าง แต่ตราบใดที่เขายังนอนแซ่วถูกตรึงเอาไว้กับเตียงอย่างนี้ มีหรือที่เธอจะกริ่งเกรงเขา“นอนพักรักษาตัวดีกว่า” เธอบอกเรียบๆ “คงอีกนานกว่าจะออกไปได้”“ผมขอร้องล่ะน่า”“มันจบไปแล้ว...ดีเท่าไหร่ที่ฝ่ายหญิงไม่เอาเรื่อง”“ผมยินดีให้เอาเรื่องจนถึงที่สุด เพราะผมก็เป็นผัวเธอแล้ว ผม เต็มใจนะฮะแม่ แล้วนั่นก็ไม่ใช
ทรงวุฒินิ่งเงียบ มันเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ และเขารู้ด้วยว่าอย่างไรเสียพิจิกาจะไม่ยอมปริปาก...ต่อให้ด่าทอรุนแรงหรือถึงกับเฆี่ยนตี เธอก็จะไม่ยอมพูดออกมาเป็นอันขาด...ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาว่าหากมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นจริง ก็อย่าให้มีสิ่งใดติดตามมาประจานให้อื้อฉาวเลย สาวน้อยเนื้อแน่นแสนหวานของเขาหายไปแล้ว สุวิชาเจียนๆ จะคลั่งเสียให้ได้ เมื่อกลับมาแล้วไม่เจอแม้เงาของเธอ ค้นหา จนบ้านทั้งหลังแทบจะกระจุย ก่อนจะรู้ว่าเธอหนีไปพ้นจากเขาแล้ว แน่นอนว่าย่อมจะต้องมีคนมาช่วยเหลือเธอออกไป ลำพัง เพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย เธอจะไม่มีวันกล้าออกไปจากบ้านเด็ดขาด...แม่เขา ต้องเป็นแม่เขาแน่นอนที่สุด...ระงับอารมณ์ลงอย่างยากเย็นก่อนจะหมุนไปหาคุณเสาวรส“แม่รังแกผม” เขาโวยวายไปตามสายไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัวติด “แม่ทำอย่างนี้มันบาปนะฮะ...รู้รึเปล่าว่าพรากผัวเมียจากกันไม่ใช่เรื่องดี”“แม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง...แม่ไม่อยากให้แกทำผิดๆ เท่าที่ทำลงไป ยังไม่มากพออีกรึ ฉุดคร่าผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายน่ะ ระวังเอาไว้ด้วยเถิดย่ะ หากผู้หญิงไปแจ้งความ แกจะยิ่งเดือดร้อน”“ผมกำลังจะทำให้ถูกต้อง...ผมจะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว”คุณเสาว
“ไม่ต้อง”พิจิกาบ่ายเบี่ยง...เธอไม่อยากให้คนพวกนี้ได้รู้จักถึงบ้านเธอเลย แต่ความคิดนี้ดูเหมือนสาวิตรีจะรู้เท่าทัน...น้ำเสียงที่พูดด้วยจึงค่อนข้างอ่อนโยน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจเป็นอันดี“ฉันรู้ค่ะว่าคุณเป็นใคร อยู่ในฐานะใด ถึงคุณจะไม่ยอมให้ไปส่ง ที่บ้าน...ฉันก็จะรู้จนได้นั่นเอง”“แปลว่าเขาจะต้องรู้ด้วยเหมือนกัน”“คุณสุไม่ใช่คนโง่...เขาสืบรู้จนได้นั่นแหละ เขามีคนให้ใช้สอยมากมาย”เธอจะหนีพ้นจากความอุบาทว์พวกนี้หรือไม่ ยิ่งคิดดวงหน้าที่จ๋อยอยู่แล้วของพิจิกาก็ยิ่งเผือดสี หากเขาจะตามทวงสิทธิ์ของเขาและประจานเธอออกไปให้กว้างขวาง ชื่อเสียงที่เธอมีอยู่คงจะป่นปี้หาดีไม่ได้อีกเลย“ฉันจะไปส่งคุณ...ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคุณเลย ออกจะเห็นใจ คุณด้วยซ้ำ” จับมือของพิจิกาไปบีบเอาไว้แน่น “พวกเรา...ฉันหมายถึง คุณแม่ของคุณสุ และฉันยินดีจะช่วยเหลือคุณ เพราะรู้ว่าคุณไม่ได้เต็มใจด้วยเลย”“ถ้าเป็นไปได้...ฉัน...ฉันจะแจ้งตำรวจ...ฉันจะจับเขาเข้าตาราง ให้รู้ว่าที่นั่นไม่ได้เอาไว้ขังหมา”น้ำเสียงของพิจิกานั้นกระท่อนกระแท่นด้วยความรู้สึกปวดร้าวเป็นอันมาก ไม่มีน้ำตาจะไหลอีกแล้ว มันไหลย้อนตกลงไปในอกจน หมดสิ้น ส