หน้าหลัก / โรแมนติก / เล่ห์โอบรัก / บทที่ 2 สัมผัสพิเศษ - 100%

แชร์

บทที่ 2 สัมผัสพิเศษ - 100%

ผู้เขียน: จรสจันทร์
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-16 13:00:23

เขาเป็นคนดีหรือไม่มัลลิกาก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เพราะเรื่องแบบนี้ต้องดูกันไปนาน ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือครอบครัวของเขาจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทที่คบได้ไม่มีพิษมีภัย เธอจึงรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เจอ

แต่กระนั้น การอ่านใจคนอื่นของเธอก็ยังมีข้อจำกัด เพราะมีอยู่สามคนที่เธอไม่สามารถอ่านใจได้ นั่นก็คือมารดา น้องชาย และพ่อเลี้ยง

สำหรับมารดากับน้องชายนั้น เธอเข้าใจว่าเพราะทั้งสองคนมีสายเลือดเดียวกันกับตน แต่สำหรับพ่อเลี้ยงนั้นไม่ใช่ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมเธอถึงไม่สามารถอ่านใจเขาได้เล่า

วันต่อมาอาการเจ็บหัวเข่าของมัลลิกาดีขึ้น และแผลก็ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว หญิงสาวต้องพยายามเดินหรือนั่งอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีบางครั้งที่เผลอนั่งชันเข่าจนแผลปริ เธอได้แต่สูดปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บ กระนั้นมารดาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้

"อีกวันสองวันคงเริ่มตกสะเก็ด ถึงตอนนั้นหนูก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะมะลิ เพราะถ้าแผลปริบ่อย ๆ มันจะหายช้า แล้วช่วงที่เป็นสะเก็ดแข็งก็จะคันมาก หนูอย่าไปเกาเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นได้มีแผลเป็นติดตัวแน่"

"ค่ะคุณแม่" หญิงสาวรับคำเสียงอ่อน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

"จริงสิ เมื่อเช้าคุณย่าโทร. มาค่ะ บอกว่าอาทิตย์หน้าจะจัดงานวันเกิดให้น้องภูมิ คุณย่าบอกให้หนูไปด้วย"

มัญชุดาพยักหน้ารับรู้แล้วพูดว่า "คุณย่าอุตส่าห์โทร. มาชวนหนูก็ไปเถอะ วันนั้นพ่อกับแม่จะไปส่งที่บ้านคุณย่าละกัน"

"ใจจริงหนูไม่อยากไปเลยค่ะคุณแม่ ถ้าไม่ติดว่าคุณย่าชวนด้วยตัวเองก็ไม่ไปหรอก ไม่อยากเจอยายเบญขี้โม้" มัลลิกาเบะปากอย่างไม่ชอบใจเมื่อพูดถึงลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกัน

เบญญาภาเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของลุง หรือพี่ชายแท้ ๆ ของบิดาผู้ล่วงลับของมัลลิกา เพราะอายุเท่ากัน ทั้งสองคนจึงมักถูกญาติ ๆ นำไปเปรียบเทียบกับเสมอ ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นลูกคนเล็ก ส่วนมัลลิกาเป็นลูกคนโต เบญญาภาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะมัลลิกาให้ได้ในแทบทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมัลลิกาก็เหนือกว่า นั่นก็คือเรื่องการเรียน

ในเมื่อสู้เรื่องเรียนไม่ได้ เบญญาภาจึงหันไปเอาดีทางด้วยการเป็นเน็ตไอดอล รีวิวทุกสิ่งทุกอย่างตามแต่ที่ตนอยากทำ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร เครื่องสำอาง แฟชั่นการแต่งตัวแต่งหน้า ซึ่งปัจจุบันแฟนเพจ และอินสตาแกรมก็มียอดคนติดตามหลายหมื่นคน

ดังนั้น ทุกครั้งที่มัลลิกากับเบญญาภามาเจอกัน มัลลิกาจึงมักถูกอีกฝ่ายเกทับเรื่องความมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เสมอ บางครั้งมัลลิกาก็ถูกค่อนขอดเรื่องการทำตัวเฉิ่มเชย แต่หญิงสาวก็คร้านจะใส่ใจ

"เจอหนูเบญก็อย่าไปทะเลาะกันอีกล่ะ ไม่รู้อะไรนักหนาเราสองคนเนี่ย ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กยันโต"

มัญชุดาส่ายหน้าด้วยความระอาเมื่อนึกถึงความไม่กินเส้นกันระหว่างบุตรสาวของตนกับหลานสาวของอดีตสามีผู้ล่วงลับ

"หนูไม่เคยไปวุ่นวายกับมันก่อนเลยนะคุณแม่ มันนั่นแหละบ้าบอ นี่ยังดีนะที่เรียนคนละมหา'ลัย ขืนเรียนที่เดียวกัน ยายเบญต้องตามราวีหนูไม่เลิกแน่"

"ก็พูดไปเรื่อยนะเรา ว่าแต่หาที่ฝึกงานได้รึยัง" ผู้เป็นมารดานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงลองถามดู

มัลลิกาอมยิ้มเมื่อนึกถึงผู้ชายข้างบ้านที่เอ่ยปากชวนให้เธอไปฝึกงานที่บริษัทของเขา หญิงสาวพยักหน้าก่อนตอบ

"ได้แล้วค่ะ เมื่อวานตอนที่ไปโรงพยาบาลแล้วได้คุยเรื่องฝึกงานขึ้นมาพอดี พ่อหนูพราวเขาก็เลยชวนให้ไปทำที่บริษัทด้วยกันค่ะ เห็นว่าเป็นบริษัทเครื่องสำอางแต่สั่งผลิตจากจีนและไต้หวัน เขาบอกอีกว่าจะให้หนูไปอยู่ฝ่ายประสานงานต่างประเทศ คุณแม่คิดว่าดีไหมคะ"

"ก็ดีสิ แม่ก็ใช้เครื่องสำอางของเขาอยู่ คุณภาพจัดว่าดีเชียวละ แล้วคุณพ่อรู้เรื่องนี้รึยัง" มัญชุดาถามหยั่งเชิง แล้วคำตอบก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไรนัก

"ยังเลยค่ะ แล้วนี่คุณพ่อไปวิ่งยังไม่กลับอีกหรือคะ"

ได้ยินคำถามจากบุตรสาว มัญชุดาจึงเงยหน้าดูเวลาจากนาฬิกาแขวนผนังแล้วพูดว่า

"ตอนนี้ยังไม่แปดโมงเลย แต่อีกเดี๋ยวคุณพ่อก็คงเข้าบ้านแล้วละ เดี๋ยวแม่ไปอุ่นกับข้าวรอก่อนดีกว่า" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัว ส่วนมัลลิกาก็เอื้อมหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดดูฆ่าเวลา

ด้านคนที่ถูกถามถึงนั้น เวลานี้กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน นฤเบศร์มองไปรอบ ๆ สวนด้วยความพึงพอใจกับบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ รู้สึกดีใจที่ตนตัดสินใจไม่ผิดที่คิดซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากเพื่อนร่วมงาน แม้จะไกลจากที่ทำงานพอสมควร และราคาบ้านแพงกว่าหลังเดิมที่เคยอยู่ถึงสองเท่า แต่เขาก็ไม่เสียดายเพราะถือว่าเขาซื้อสังคมและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับครอบครัว

บ้านเก่าที่เคยอยู่ แม้จะเป็นหมู่บ้านของโครงการชื่อดัง แต่ฝั่งตรงข้ามกลับเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่กันหลายร้อยครัวเรือน เด็กวัยรุ่นกเฬวรากมักจับกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ในตอนดึก ซึ่งแน่นอนว่าเด็กพวกนี้ต้องมียาเสพติดมาเกี่ยวข้องด้วยแน่ เพราะเหตุนี้เขาจึงยอมเหนื่อยขับรถรับส่งลูกทั้งสองคนไปเรียนด้วยตัวเอง เขาไม่ยอมให้เด็ก ๆ นั่งรถประจำทางไปกลับเองอย่างเด็ดขาด

"สวัสดีครับคุณอา"

เสียงทักทายจากด้านหลังทำให้นฤเบศร์ต้องละจากความรื่นรมย์ตรงหน้าแล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นภาวินชายหนุ่มบ้านติดกันเขาจึงทักทายกลับอย่างยิ้มแย้ม

"อ้าว สวัสดีครับคุณวิน มาวิ่งเหมือนกันหรือครับ"

"ครับ ถ้ามีเวลาก็จะพยายามมาวิ่งออกกำลังบ้าง ตัวติดโต๊ะทำงานทั้งวันก็ไม่ไหว" ภาวินเอี้ยวตัวบิดเอวไปมาก่อนพูดต่อ

"ผมไม่แน่ใจว่ามะลิได้บอกคุณอารึยังว่าเขาจะมาฝึกงานที่บริษัทผม"

ภาวินพูดไปยิ้มไป เพราะคิดว่าการมาทำงานด้วยกันครั้งนี้อาจเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสาวน้อยข้างบ้าน ในหัวของเขาคิดวางแผนไว้ล่วงหน้าถึงการได้นั่งรถไปทำงานด้วยกัน และขากลับก็กลับพร้อมกัน ซึ่งบางวันเขาอาจจะชวนหญิงสาวเถลไถลไปอยู่แถวโรงภาพยนตร์ก็เป็นได้

ขณะที่ภาวินมัวแต่คิดถึงการหว่านพืชหวังผล แต่คนที่กำลังฟังอยู่นั้นรอยยิ้มค่อย ๆ เลือนหายไปทีละนิด

"ยายหนูยังไม่ได้บอกผมเลยครับว่าจะไปฝึกงานกับคุณ อีกอย่างนะ ผมกะจะให้มะลิไปฝึกงานที่กงสุลกับผม อาจจะไม่ต้องรบกวนคุณก็ได้"

แม้น้ำเสียงของคนพูดจะฟังสุภาพ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มบาง ๆ ส่งให้ แต่ภาวินก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการปฏิเสธที่จะให้มัลลิกามาฝึกงานกับตน

"ก็...ผมว่าคุณอาลองถามมะลิก่อนก็ได้ครับว่าจะฝึกงานที่ไหน ส่วนผมยังไงก็ได้ ถ้าน้องเขาอยากมาทำที่บริษัทผมก็ยินดีต้อนรับ เพราะผมกะว่าจะให้น้องเขาไปทำอยู่ฝ่ายประสานงานต่างประเทศน่ะ ผมเห็นว่ามะลิเรียนเอกจีน และบริษัทผมก็ติดต่อกับบริษัทที่จีนบ่อย ๆ ก็เลยอยากให้เขาลองหาประสบการณ์จริงดู"

ภาวินพยายามพูดให้เป็นกลางที่สุด ไม่ดึงดันหรือเอาชนะคะคานกับอีกฝ่าย เพราะอย่างไรเสียคนตรงหน้าก็คือผู้ปกครองคนหนึ่งของมัลลิกา ถึงจะไม่ใช่บิดาแท้ ๆ แต่ก็มีฐานะเป็นว่าที่พ่อตาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเอาใจอีกฝ่ายไว้ก่อน

"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนละกัน ได้เวลามื้อเช้าแล้ว"

นฤเบศร์พยักหน้าให้หนุ่มข้างบ้านก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ จากไปโดยทิ้งสายตาที่มองตามไปอย่างหนักใจของภาวินไว้เบื้องหลัง

"เฮ้อ..." ยังไม่ทันได้เริ่มก็ถูกเบรกจนตัวโก่ง

ชายหนุ่มได้แต่พร่ำบ่นอยู่ในใจ ดูท่าทางงานนี้จะไม่หมูเสียแล้ว

เมื่อถึงบ้านนฤเบศร์ก็ตรงดิ่งไปล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อที่มีแต่เหงื่อออก จากนั้นก็เดินไปเรียกคนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น

"มะลิ ไปกินข้าวเถอะลูก"

มัลลิกาขานรับพลางวางหมอนอิงไว้ข้างตัวแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ครั้นพอเห็นพ่อเลี้ยงทำท่าจะเข้ามาช่วยพยุงจึงรีบร้องห้าม

"หนูเดินเองได้ค่ะคุณพ่อ อาการดีขึ้นเยอะแล้ว ที่ต้องลุกช้า ๆ เพราะกลัวแผลปริน่ะ คุณแม่บอกว่าถ้าแผลหายช้าระวังจะเป็นแผลเป็น หนูไม่อยากมีแผลเป็น"

คนฟังยิ้มขำพลางยกมือกอดอก "อะไรกัน เดี๋ยวนี้ห่วงสวยเป็นแล้วหรือเรา"

หญิงสาวได้ฟังอย่างนั้นก็ค้อนใส่คนพูด

"แหม...หนูเป็นผู้หญิงนะคะ ใครบ้างจะไม่ห่วงสวย"

เมื่อมาถึงโต๊ะอาหาร กับข้าวก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนนั่งกินข้าวไปพลางพูดถึงนฤบดินทร์ บุตรชายคนเล็กของบ้านซึ่งไปเข้าค่ายลูกเสือที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งมาถึงเรื่องฝึกงานของมัลลิกา

"พรุ่งนี้ไปมหา'ลัย หนูก็ไปทำเอกสารขอเข้าฝึกงานที่กงสุลละกันนะ พ่อจะเซ็นอนุมัติให้เอง"

"หา! คุณพ่อว่าไงนะคะ" มัลลิกาชะงักมือที่กำลังตักข้าวทันทีที่ฟังจบ

"พ่อบอกว่าให้หนูไปฝึกงานที่กงสุลกับพ่อ พรุ่งนี้ไปทำเอกสารมาพ่อจะเป็นคนเซ็นอนุมัติให้เอง" พูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ ขณะที่มัลลิกานั้นได้แต่อ้าปากค้างพลางหันไปมองหน้ามารดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ล้อเล่นน่า ไม่จริงใช่ไหม!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 24 พ่อตากับลูกเขย - บทส่งท้าย

    มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 100%

    ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 70%

    "ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 35%

    มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 100%

    มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 70%

    มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status