5 คราประจวบเหมาะ
คำโบราณว่าไว้...เนื้อคู่กันแต่ชาติปางก่อน มีเหตุให้ต้องดลใจ
... ... ... ...
หลังจากกลับมาได้สามเดือน น้ำใสได้ตีพิมพ์บทความ ‘จุดประกายการเดินทางท่องแดนพุทธภูมิ’ ลงในนิตยสาร ‘โคมแดง’ ระหว่างนี้เขายุ่งกับการสะสางงานต่างๆ จนลืมเรื่องราวแปลกประหลาดของเธอผู้นั้น
นามปากกา ‘ซุปน้ำใส’ ของชายหนุ่มกลายเป็นประเด็นที่กล่าวขวัญถึงในสถานที่แห่งหนึ่ง
“เฮ้ย... น่าสนใจ นี่เขาขึ้นต้นย่อหน้าหนึ่ง เอ่ยถึงผู้หญิงคนหนึ่ง.... มาดู มาดู...
การหลุดพ้นคือ ความว่าง เพิ่งตระหนักได้ราวตัวผู้รู้ผุดขึ้นกลางจิต
จากเธอผู้หนึ่งที่ได้แนะนำปรัชญาลุ่มลึกโดนใจข้าพเจ้า...”
“เขียนดีมากเลย จนฉันเองอยากไปอีก...” ดอกหอมอมยิ้มกล่าวลอยๆ ใจหวนนึกถึงเขาผู้นั้น
“ยัยดอกหอม... แกน่ะลางานไปเป็นเดือนแล้วนะ... ยังไม่ซาบซึ้งในรสพระธรรมอีกเหรอ” วารีเพื่อนร่วมงานขำ
“เอ่อ... มันรู้สึกโล่งปลอดโปร่งเบาสบาย กลับมานี่...งานสุมหัว กลับมาเครียดเหมือนเดิม” ดอกหอมไม่เคยได้หยุดพักเลย เธอรับงานเขียนฟรีแลนซ์ให้สำนักพิมพ์แห่งนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสาม
“พรุ่งนี้หัวหน้าให้ไปประชุมงานของสมาคมที่แกรนด์สุขุมวิท ไปไหม...” วารีชวนเธอ
“ไม่ว่างเลยจริงๆ จะเข้าไปตอนช่วงหลังเบรกแรกได้ไหม” ดอกหอมถอนหายใจกับต้นฉบับกองโตบนโต๊ะ
ณ สมาคมวันนั้นได้มีการประชุมเลือกบทความดีเด่นประจำปี มีเหตุการณ์ประจวบเหมาะดลใจให้ดอกหอมมาในจังหวะนั้น ขณะเธอกำลังแง้มบานประตูห้องประชุม มือหนึ่งเอื้อมผ่านหลังไป เสียงกล่าวขอโทษดังขึ้นก่อนผลักประตู
“ขอโทษครับ จะเข้าไปไหมครับ” เสียงคุ้นหูมาก ดอกหอมหันหน้าไปมองเต็มตา
“เอ้า...คุณ” เสียงชายหนุ่มทักขึ้น ตื่นเต้นดีใจ เธอคนนั้นนั่นเอง
“เข้าไปกัน...มีที่นั่งข้างหน้าว่างอยู่สองที่” เขาชวนทันที
ระหว่างนั้นเธอได้ยินเสียงกล่าวต้อนรับจากบนเวที ให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างเธอ ขึ้นไปกล่าวถึงเรื่องราวในบทความของเขา
“ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสาวผู้หนึ่ง บทความของผมเลยได้รับการคัดเลือก อยากมอบความดีให้เธอด้วยเช่นกัน...” จากนั้นเขาเอ่ยชื่อเธอ ทุกคนในห้องประชุมปรบมือแสดงความยินดี
หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาเบรกรับประทานอาหารเที่ยง ชายหนุ่มจึงเอ่ยเชิญชวนไปห้องอาหารเมนูพิเศษ เขาอยากขอบคุณเธอที่จุดประกายให้เขาได้เขียนบทความชิ้นนี้
“ผมตามหาคุณไม่พบหลังจากวันนั้น ผมต้องเดินทางต่อไปสาวัตถี ว่าจะชวนคุณไปด้วย”
“หมดเวลา ...ต้องกลับมาทำงานแล้วค่ะ”
“เอ้า...ผมนึกว่าคุณเป็นนักเขียนอิสระ”
“ไม่ค่ะ... เขียนนิยายเท่าที่มีเวลาว่างเท่านั้น นอกนั้นเวลาเป็นของสำนักพิมพ์”
“ผมอยากถาม... คุณเล่าเรื่องแมวตัวนั้นว่าอยู่ในฝัน มันจริง...หรือว่าอยู่ในนิยายของคุณ” เขาอมยิ้มขณะถามเธอ
“ประมาณนั้นด้วยล่ะ แต่จริงๆ มันคือในฝันของฉันมาตลอด”
“ผมฝันเรื่องราวเกี่ยวกับคุณ ผมเลยแน่ใจว่า เราสองคนต้องมีบุพกรรมในอดีตร่วมกัน” น้ำใสเอ่ยขึ้น ทำให้ดอกหอมคิดว่า เขาอาจเป็นคนที่ใช่ซึ่งเธอเองคิดมาตลอดเหมือนกันว่า อะไรดลใจให้ต้องไปปฏิบัติธรรมตรงที่แห่งนั้น
“ผมเจอหนุ่มคนหนึ่งมาตามหาคนรัก ผมเลยเข้าใจว่าเป็นคุณ”
“ขนาดนั้นเลย...”
“สาวคนรักของเขา ชื่อ ดอกหอม”
“โห... เลยรู้ความลับของฉันเลย” เธอหัวเราะคิกคัก
“แล้วเรื่องเป็นยังไง ขอโทษนะครับ อยากรู้” เขายิงคำถามนี้ หากไม่ใช่เธอจะไม่เสือกเรื่องนี้เด็ดขาด
“ปฏิเสธสิคะ... คนเรามันเน่าไปแล้ว จะเก็บมาล้างมาต้มมาขัดยังไง มันก็ไม่เหมือนเดิม”
“โอ้... เปรียบเปรยสมเป็นนักเขียน”
“ผมถามคำเดียว หากมีคนขอคุณร่วมเดินทางชีวิต จะไปไหม”
“เป็นคำถามยากที่สุดนะคะ”
“ทำไม...”
“การเดินทางร่วมกันเป็นอะไรที่ยากมาก... good company ที่จะเข้ากันได้คงมีแต่ในนิยาย”
“เส้นทางชีวิตของคนสองคน มีอะไรให้ศึกษากันชั่วชีวิต แล้วเราจะร่วมกันศึกษาไหม ขอคำตอบแค่นี้ ผมให้เวลา”
“นานเท่าไหร่คะ”
“ต้นปีหน้าผมต้องเดินทางข้ามโลกไปดินแดนที่โคลัมบัสค้นพบชาวอินเดียแดง”
“อีกสามเดือนเองนะคะ ขอเวลาศึกษาก่อนได้ไหม”
“แล้วแต่... ผมไม่อยากสละโสดที่โน่น” เขามองหน้าหญิงสาวขำๆ
“โอเค... แล้วจะให้คำตอบไปค่ะ”
“แอดไลน์ผม ถ้าอยากคุยกันหลังจากนี้” เขาเข้าใจทำให้สถานการณ์ประจวบเหมาะ
หลังจากเขาและเธอได้คุยกันบ้างนัดเจอกันบ้าง ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงจุดที่เรียกว่า คู่รัก วันหนึ่งคำถามค้างคาใจของน้ำใสจึงผุดขึ้น
“ขาวมณี คือใคร...”
“เขาคือตัวละครหนึ่งในนิยายรักข้ามมิติของฉัน”
“ผมเก็บไปฝันถึง...ได้ยังไง” เขาทำหน้าสงสัย
“นั่นคือเรื่องประหลาด... ฉันเองไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“ผมฝันเป็นตุเป็นตะ...ขนาดนั้น คงไม่น่าใช่ล่ะ”
“นั่นอาจเป็นเพราะ...เราเคยคู่กันมาแต่ชาติไหน... เคยได้ยินคำโบราณไหม”
“ยังไง... ผมเองมีเหตุให้ดลใจพบคุณวันแรก รู้สึกเหมือนเคยรู้จักกัน”
“นั่นล่ะ... คือคำโบราณว่าไว้เลย เนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน”
“และสุดประหลาดคือ เรื่องราวที่ผมฝันทำไมถึงได้เหมือนนิยายของคุณ ทั้งที่ผมไม่เคยอ่าน”
“ก็ฉันบอกแล้ว...”
“เจ้าแมวตัวนั้น... วาโฆบา ผมขนลุก...มันอยู่ในฝันทุกคืน”
“ฉันเคยไปเมืองคุชราต มีชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งบูชาแมวยักษ์ วาโฆบา ที่ในเทวาลัย หลังจากกลับมาฉันฝันถึงเรื่องนี้ตลอด และในฝันฉันมีเรื่องราวเหมือนนิยายที่เขียน”
เขาตกลงรับสาวน้อยนักเขียนนิยายสมจริง เข้ามาร่วมเดินทางชีวิตไปด้วยกันก่อนออกเดินทางไปร่วมทุกข์ร่วมสุขยังแดนไกล
“น้ำใส เข้าใจหาคู่เหมาะ...เหม็ง...” ดิน เพื่อนร่วมงานเดินเข้ามากระซิบเขาในงาน
“ยังไง...วะ”
“ก็เห็น backdrop นั่นแล้ว เพื่อนรักหาคู่ได้สุดยอด”
“อะไร...พูดให้เข้าใจหน่อย”
“ซุปน้ำใส ยัยดอกหอม... นักเขียนบทความเจอนักเขียนนิยาย” ดินหัวเราะเสียงดัง
“เออ... มันคือคู่บุพกรรม...ว่ะ”
ขณะเจ้าบ่าวกำลังเดินควงคู่เจ้าสาวขึ้นสู่เวที... เสียงหนึ่งดังขึ้น
เมี้ยว...!!!
“เอาอีกแล้ว…วาโฆบา”
˜ จบ ˜
5 มนต์เสนห์แห่งบอลติกระหว่างทางไป กดัญสก์ (Gdansk) โทนี่เล่าว่าเมืองนี้เป็นฉากของนิยายลือเลื่องของนักเขียนเยอรมันเจ้าของรางวัลโนเบล นามว่า ‘Gunter Grass’ กรึนเทอร์ กลาสส์“เคยได้ยินนิยาย The Tin Drum ไหม” เขาถามถึงสองครั้งแต่เกรต้าไม่ตอบ เธอกำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ในเว็บไซด์“กลองสังกะสี มีแปลเป็นภาษาไทย...ฉันไม่เคยอ่านหรอกนะ” เกรต้ากำลังกวาดสายตาอ่านเรื่องย่อที่ทำให้ผู้เขียนคนนี้ได้รับรางวัลโนเบล“a lot of codes…needed to interpret เป็นนิยายนามธรรมแฝงด้วยนัยที่ต้องตีความ” เกรต้าได้ยินคำพูดของโทนี่ที่ดูเข้าท่าก็ตอนนี้“เมืองกดัญสก์ (Gdansk) เดิมเคยอยู่ในดินแดนเยอรมันชื่อ Danzig ดานซิก ที่นักเขียนคนนี้ใช้เป็น location ของการเล่าเรื่องในนิยายของเขา” เขาเล่าคร่าวๆ แล้ววันหน้ามีเวลาเขาจะพยายามเล่าให้เธอฟังเป็นภาษาอังกฤษ นิยายเรื่องนี้ซับซ้อนมากตัวเอกเป็นคนหลังค่อมแต่มีของวิเศษที่ติดตัวมาเหมือนมีพลังเหนือธรรมชาติคือ tin drum คล้ายกับเรื่องอลาดินกับตะเกียงวิเศษ ที่ผู้เขียนเล่าเรื่องราวผ่านสิ่งของอันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งแทนความหมายเกี่ยวกับความหวัง ไฟปรารถนา พลังแห่งศรัทธาของการมีชีวิตอยู่
4 จัดรายการแดนไกล“สองหนุ่มสาวจากแดนสยามเมืองยิ้มวันนี้มาช่วยจัดรายการแทนป้าทิพย์...ใน Dear Debby in Warszawa วันนี้ป้าจะขอพักฟังสองคนจัดรายการเพื่อสร้างความแปลก Amazing ให้กับผู้ฟัง” เสียงป้าทิพย์เปิดรายการเกรต้ายังจดจำถึงวันนั้นได้เป็นอย่างดี คำพูดหนึ่งที่น่าประทับใจของเขาในรายการภาคภาษา Polish ของเขา หากเป็นภาษาไทยก็คง ‘เมื่อรักโดนใจแล้วใครจะช่วยเราได้หากเราไม่รีบที่จะไปตามหาหัวใจดวงนั้นทันที เมื่อรักเก่ามันสะบั้นลงอย่าหลงติดกับวังวน...รีบเหวี่ยงตัวเองออกมาซะแล้วไปตามหาคนที่ใช่ต่อไป’เกรต้าได้รับคำขอร้องจากสายของสาวไทยที่นั่นซึ่งโทรเข้ามาในรายการ เธอให้ความเห็นว่า ‘Whatever you think is real…ไม่ว่าเราจะคิดยังไงสิ่งนั้นคือความจริง คิดว่ารักคือรัก คิดว่าใช่คือใช่ ชีวิตคนนั้นไม่ยืนยาวจงรีบทำหากตัดสินใจแล้วอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป’“ผมคิดถึงคำพูดของคุณในรายการป้าทิพย์ ผมตื้อคุณจนถึงขอนแก่นวันนั้นใช่ไหม” เขาทำหน้ายียวนมองแววตาของเกรต้า“ใช่เลย...ฉันเลยได้คำพูดจากการกระทำวันนั้นของนาย” น้ำเสียงเกรต้าอย่างหมั่นไส้เขาถือวิสาสะจูงมือเกรต้าหลังจากเดินออกมาจากสถานีแล้วข้ามถนนไปฝ
3 กับดักรักเกรต้ามารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อกระเป๋ารถมาสะกิดเธอว่าใกล้ถึงท่ารถที่อำเภอพล เธอจึงตกใจรีบทะลึ่งตัวผึงขึ้นศอกกระแทกเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรงจนเขาร้องเสียงดังโอ๊ก“My heart’s being extremely attacked…หัวใจผมกำลังถูกโจมตีอย่างรุนแรง...”เสียงอ้อนของเขากำลังจะหายไปกับสายลมเพราะหญิงสาวขอตัวลงที่ท่ารถที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้หนุ่มโทนี่ถึงกับผิดหวังจริงๆ อย่างที่พูดออกมาสักครู่“I wanna follow you here…ผมขอตามคุณลงไปด้วย” เขาพูดยังไม่ทันจบคำก็คว้าเป้ใบโตสะพานหลังกระโดดลงจากรถตามหญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะหันมากล่าวลาเขาเลย"Oh…don’t go away โธ่...อย่าหนีผมไปเลย ผมจะไปไม่ถึงบ้านที่ Nong Song Hong หนองสองห้อง” เขายังคอยตามตื้อเกรต้าทั้งที่เธอพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อเดินหนีชายหนุ่มที่บ้าตามตื้อเธอมาถึงที่นี่“โน่น...ท่ารถแท็กซี่ นายไปติดต่อเลย อาจไม่มีรถนะ” เกรต้าทำตาดุใส่หนุ่มลูกครึ่งหน้าตายู่ยี่เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะไปถูกไหม-------------------เกรต้าโล่งอกเมื่อมองหันหลังกลับไปไม่เห็นชายหนุ่มที่นั่งรถมาด้วยกันจากกรุงเทพ ใจหนึ่งก็นึกสงสารแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกรำคาญหมั่นไส้ ก่อนจะเดิน
2 ข้อความจากแดนไกลเกรต้า...เอนหลังนอนเอกเขนกเหม่อมองเพดานห้องและอมยิ้มเมื่อความคิดยังลอยวนเวียนอยู่ในสมองถึงวันศุกร์ที่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว เธอนึกได้ว่าต้องเปิดอีเมล์เช็คดูว่าจะมีอะไรส่งมาถึงเธอบ้างจากหนุ่มนามว่า ‘โทนี่’ นายนี้ แปลก...ไม่มีเมล์อะไรมาถึงเธอเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เธอกำลังเปิดดูกลุ่มต่างๆ ในไลน์ แต่แล้วก็มีแช็ตชื่อแปลกๆ โผล่ขึ้นมาจากลิสต์ที่มีอยู่ เมื่อกดเข้าไปจึงเห็นสติ๊กเกอร์ทักทายจากหนุ่มนายคนที่คิดถึงอยู่พอดี“Wonder?? แปลกใจล่ะสิว่าผมรู้ได้ไง...” เกรต้าอ่านแล้วเธอหัวเราะคิกทันที นึกขำว่าแปลกที่เขายังตื้อจะคุยอยู่ได้“ผมจะมาเมืองไทย...อาทิตย์หน้า เจอผมได้ไหม” เกรต้ายังนิ่งเฉยไม่ตอบอะไรกับประโยคที่เขายังขึ้นพล่ามอยู่และอาจร่ายยาวไปได้เรื่อยๆ ฟังดูว่าจะเขียนไปได้ยาวแค่ไหนกัน“ผมจะเอา souvernir มาฝาก อยากได้แบบไหน ผมมีเยอะ” เกรต้าก็ยังไม่ตอบอะไรเขาเลย นายคนนี้เป็นอวาตาร์ไหม มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ หญิงสาวสงสัยเหมือนกันว่า AI ทุกวันนี้มันเป็นไปได้หมดแม้อวตารของคนที่ไม่มีอยู่จริง“Hey…you’re an Avatar ฮัลโหล...ฮัลโหล ยูเป็นอวาตาร์???...!!!” เขายังเขียนพล่ามมาเรื่อ
คำโปรย...Dear Abbie แอบบี้ที่น่ารัก...มีปรัศนีมาช่วยไข-------------------1 ดีเจตัวแทน เกรต้า...Greta เข้ามาจัดรายการแทน Abbie แอบบี้ เมื่อวันศุกร์แรกของต้นเดือนเมษายนที่สถานี Hits965 ณ ห้อง broadcast live สดที่กรุงเทพ เธอเลือกเพลง ‘คนที่แสนดี’ ของโทนี่ ผี (Tony Phee) เปิดเป็น jingle intro เข้าสู่ช่วงต้นของรายการฉันเหมือนคนหลงทางหาไม่เจอกับ...ความรักฉันไม่เคยได้รู้จัก...เลยฉันได้แต่นั่งมองเหม่อดูคนอื่น...เฉยเฉยฉันไม่เคยไม่เคยเลย ไม่เคยแล้ววันหนึ่งเธอก็เข้ามาเข้ามาในชีวิตฉันไม่เคยรู้สึกนี่ ฮู้ ว่าเธอนะ...ใช่เลยฉันเพิ่งเข้าใจทุกทุกอย่าง ทุกความหมายว่ารักของเธอนั่นช่างมากมายและ...เหนือใครเสียงเพลงโฆษณาก็ขึ้นมาคั่นระหว่างที่เธอกำลังเตรียมเพลงและหาเนื้อหาให้เข้ากับรายการเพลง ‘Dear Abbie ปรัศนีหัวใจ...คำถามของคนมีรัก’กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...เกรต้าสาละวนกับการค้นหาเรื่องราวที่ค้างไว้สำหรับการตอบคำถามที่แอบบี้ทิ้งไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน เธอร้างลาการจัดรายการออกอากาศสดเกือบ 2 ปีแล้วตั้งแต่ไปเรียนต่อที่ซิดนีย์ ครั้งนี้เธอแวะมากรุงเทพเลยถูกเพื่อนสาวแอบบี้ใช้งานในฐานะดีเจเก่า คร
5 บอลลูนสื่อใจเรเน่ช่วยโอโมโรสดูแลการขึ้นกระเช้าจนครบทุกคน ด้วยจำนวนคนเพียง 5 คนซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มเพื่อนของยานะและมาร์ค ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคารันนั่นเอง ส่วนอีก 1 คู่เป็นญาติของมาร์คที่เพิ่งแต่งงานกันไม่นาน ยานะเล่าว่าคารันขอมาทริปนี้ด้วยเมื่อมาร์คบอกว่าจะมาเยี่ยมญาติของยานะที่ไคโรและจะมาขึ้นบอลลูนที่นี่เรเน่ทำหน้าที่แทนเพื่อนสาวที่เสียงแหบแห้งบรรยายหุบเขากษัตริย์และราชินีที่เห็นอยู่เบื้องหน้า รวมทั้งวิหารลักซอร์ และคานัค วิวที่มองลงไปจากกระเช้าซึ่งล่องลอยไปกับตัวช่วยนำพาคือบอลลูนขนาดใหญ่ที่มีสีสันสวยงาม ทำให้ทิวทัศน์อย่างโอเอซิสตาน้ำในทะเลทรายและสายน้ำแห่งแม่น้ำไนล์ที่เห็นเป็นสายอยู่นั้นกลายเป็นความมหัศจรรย์ที่ยากจะลืมเลือน.... .... .... ....“ที่นี่เป็นอะไรที่ฝังอยู่ในหัวผมมานานมากแล้ว...เรเน่” เสียงชายหนุ่มพูดขึ้นท่ามกลางความมืดที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างเต็มดวง คืนนี้มีเขาและเธอที่นั่งชมความงามของภูมิประเทศของเมืองแห่งนี้“อยากมาขึ้นบอลลูนล่ะซิ...ไปขึ้นมากี่เมืองแล้ว” หญิงสาวมองแววตาสีเขียวอ่อนของชายหนุ่มขณะที่เขากุมมือของเรเน่ไว้กำลังจะยกขึ้นมาจุมพิต“อย่าบอกนะว่าไปมาเกือบหมด