เขาไม่พูดอะไรสักคำ ขยับถอยหลังมายืนชิดกับตัวฉัน จนหน้าของฉันอยู่ห่างกับแผงอกของเขาไม่ถึงคืบ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่เริ่มจางจากตัวเขาลอยเข้ามาในจมูก มันเป็นกลิ่นที่หอมมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน คงเป็นเพราะราคาของมันแพงล่ะมั้งถึงได้หอมขนาดนี้
ฉันยกแขนขึ้นมาตั้งฉากกั้นไว้ตรงหน้าอกเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอยากที่มันยื่นออกไปจนชิดกับตัวเขา พาลทำให้รู้สึกน่าอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาเคยใกล้กับผู้ชายขนาดนี้ก็คงมีแค่น้ำหนาวน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเท่านั้น
“เอ่อ…” ฉันกำลังจะขยับตัวออกห่างแต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้ด้วยการตวัดแขนมาเกี่ยวเอวเอาไว้ แล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ ก่อนจะหันกลับไปแอบมองสองคนนั้นที่กำลังเดินออกมา ยืนอยู่มุมนี้สองคนนั้นคงไม่เห็นเราสองคนเพราะมันเป็นมุมที่ค่อนข้างมืดมาก
“โทษที วันนี้ฉันรีบ” เสียงของพี่ไมเนอร์ดังขึ้น นั่นทำให้ฉันต้องกลับไปสนใจที่เหตุการณ์ด้านนอกอีกครั้ง
“วันหลังก็หัดเตรียมตัวมาหน่อย มันเสียอารมณ์”
“หึ อยากขนาดนั้น ไปหาที่ห้องฉันก็ได้นะ” ฝ่ายชายหัวเราะ ก่อนที่ฉันจะเห็นเขาเอื้อมมือไปบีบขย้ำที่หน้าอกของพี่เมย์โดยไม่กลัวว่าใครจะเปิดประตูมาเห็น
ฉันรีบเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พี่ฟิวส์กลับนิ่งมาก นิ่งจนฉันรู้สึกกลัว พี่ฟิวส์ควบคุมอารมณ์ได้ดีสุดๆ ถ้าเป็นฉันคงเดินออกไปจัดการสองคนนั้นแล้ว หยามกันถึงที่ขนาดนี้
“อย่าให้ฟิวส์รู้ล่ะ”
“ ผู้หญิงอย่างเธอนี่มันตลกดีนะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่แอบฟังสองคนนั้นคุยกัน เขาเบือนหน้ากลับมาแล้วมองฉันตอบก่อนจะขมวดคิ้วแน่นจนหน้ากลับมาดุอีกรอบ ฉันจึงส่งสายตากลับไปเป็นสัญญาณว่า ‘ไม่เป็นไรนะ น้ำค้างเป็นกำลังใจ’
แต่นั่นกลับทำให้คนตัวสูงขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
พอสองคนนั้นเดินพ้นออกไปจากประตูฉันจึงขยับตัวออกมาจากมุมแคบๆ นั้น ส่วนพี่ฟิวส์ก็เดินตามออกมา เขาไม่พูดอะไรสักคำ ฉันเองก็พอจะรู้ตัวว่าไม่ควรที่จะพูดอะไรออกไป เราออกมาจากมุมนั้นแล้วนั่งที่ของตัวเอง แล้วพี่ฟิวส์ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
“เอาอันนี้ไปทำ” เขายื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้
“ทำยังไงคะ”
“เรียงตามหัวข้อนี้” พูดจบก็เห็นข้อความแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้น เป็นไฟล์หัวข้องานที่เขามอบหมายให้ทำ “งานส่วนตัวฉัน”
“ค่ะ”
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วจัดการกับเอกสารตรงหน้าตัวเอง พี่ฟิวส์ก็เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเขาทำงานอยู่เงียบๆ มันเงียบมากจนฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย หรือว่าเขากำลังน้ำตาตกในอยู่
หล่อ รวย เท่ ขนาดนี้ยังโดนนอกใจ โลกนี้มันมีความรักดีๆ อยู่ไหมนะ หรือว่าพี่ฟิวส์ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องบนเตียง นี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!
“เป็นบ้าอะไร” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นพร้อมกับสายตาที่มองมาทางฉันด้วยความสงสัย
“เปล่าค่ะ” ฉันที่เพอ่งสลัดความคิดบ้านของตัวเองออกจากหัวรีบก้มหน้าทำงานต่อ
“พี่ฟิวส์” ฉันรวบรวมความกล้าหันไปเรียกเขาก่อนจะยิ้มให้กำลังใจ “คืนนี้ไปดื่มกันไหม”
“…” เขามองฉันแปลกๆ คงไม่คิดว่ารุ่นน้องอย่างฉันจะเข้าใจความรู้สึกเขา “อืม รีบทำให้เสร็จ”
“ค่า”
นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วเขายังตกปากรับคำทันทีจนน่าแปลกใจ แถมยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เสร็จอีกต่างหาก เป็นฉันถ้าเสียใจขนาดนี้คงไม่อยู่รอทำงานเสร็จแน่ คนหนึ่งเพื่อนอีกคนก็แฟน ทำกันได้ลงคอ
“หอเธออยู่ไหน” ขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องสโมฯ พี่ฟิวส์ก็หันกลับมาถาม
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม บริเวณนี้ไม่มีใครอยู่แล้วแต่ชั้นล่างสุดยังมีนักศึกษานั่งทำงานและทำกิจกรรมกันอยู่
“แถว XXX ค่ะ”
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูกลับเอง” ฉันรีบปฏิเสธทันควัน
“คอนโดฉันผ่านแถวนั้น”
เขาพูดแล้วก็เดินไปต่อไม่สนใจว่าฉันจะพูดยังไง สุดท้ายก็จำใจเดินตามไปจนถึงลานจอดรถ แต่รถของเขาไม่ใช่บิ๊กไบก์ที่เกิดเรื่องวันนั้นเป็นรถซีดานสัญชาติยุโยปสีดำด้านอีกคัน
“เดี๋ยวเราไปเจอกันที่ร้านเลยไหมคะ” ฉันขึ้นมานั่งเขาก็เคลื่อนรถออกมา
ถนนรอบมหาวิทยาลัยเวลานี้รถเยอะมาก แต่โชคดีที่ทางเข้าหอของฉันมีซอยที่ลัดเลาะหลบรถติดได้ พี่ฟิวส์เองก็รู้ทุกซอกซอย แค่บอกชื่อหอเขาก็ไม่มีคำถามอีกเลย
“เดี๋ยวฉันมารับ สามทุ่ม”
“ค้างชวนเพื่อนไปด้วยได้ไหม” ตอนแรกก็ไม่ทันได้คิด แต่ตอนนี้กลับมาคิดได้ว่าถ้าเกิดเมาแล้วไปกับพี่ฟิวส์สองคนจะทำยังไง คนกำลังอกหักเกิดคิดบ้าๆ ขึ้นมาล่ะ
“…แล้วแต่เธอ” เขาเงียบไปครู่ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
พี่ฟิวส์ส่งฉันที่หน้าหอ ฉันก็โทรหาเพื่อนอีกสองคนทันที ตอนแรกคิดว่าจะต้องเกลี้ยกล่อมให้ไปเป็นเพื่อน ที่ไหนได้ยัยสองคนนั้นตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด
ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เลือกกางเกงยีนเอวสูงขาม้ากับเสื้อครอปปาดไหล่ที่เพิ่งซื้อมาจากแม่ค้าขายผ้ามือสองมาใส่ หมุนตัวดูความเรียบร้อยแล้วก็รีบลงมารอพี่ฟิวส์เพราะเขาส่งสัญญาณมาว่ากำลังออกจากห้อง
“เพื่อนไปจองโต๊ะให้แล้วค่ะ” ฉันบอกทันทีที่ขึ้นมานั่งบนเบาะข้างเขา ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำพร้อมกับเปิดเพลงอกหักเพลงหนึ่งที่ฟังดูเศร้าเหลือเกิน ก็ยังดีที่เขาแต่งตัวมาหล่อแบบวัวตายควายล้ม ทั้งที่ก็มีแค่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนขายาวสีซีดเท่านั้น แต่กลับดูดีเกินไปจนไม่เหลือมาดคนอกหักรักคุด
สิ่งหนึ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจทั้งหมดคือกลิ่นหอมที่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นกลิ่นหอมแบบเดียวกับที่ฉันได้สัมผัสมันเมื่อก่อนหน้านี้ ผู้ชายอะไรเนี่ย ตัวหอมจัง ได้กลิ่นแล้วทำใจเต้นแรงขึ้นมาเลย นี่ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า น้ำหอมฟีโรโมนอย่างในโฆษณาที่เห็นบ่อยๆ
พี่ฟิวส์จ้องฉันอยู่พักหนึ่งแล้วจึงขานรับว่า ‘อืม’ เบาๆ ในลำคอก่อนจะเคลื่อนรถออกไปจากหน้าหอ เวลานี้รถรอบมหาวิทยาลัยบางตาลงบ้างแล้ว ส่วนใหญ่ไปจอดอยู่บริเวณข้างทางย่านสถานบันเทิงมากกว่า
“แล้วรถมอเตอร์ไซค์ล่ะ” ฉันถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าเขาใช้รถยนต์มารับอีกเช่นเคย อุตส่าห์แต่งตัวมาแบบนี้เพราะกลัวว่าเขาจะขับบิ๊กไบก์มารับ
“ส่งซ่อม ถามมาได้เนอะ”
“จริงด้วย ลืมไป” พอเขาพูดจบฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด
แล้วก็เพิ่งนึกแปลกใจตัวเองที่สนิทกับพี่ฟิวส์ได้ไวขนาดนี้ ถึงขั้นไปรับไปส่งที่หอและออกมาเที่ยวด้วยกันอีก ฉันเข้ากับคนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่เขากับฉันมีเรื่องบาดหมางกันด้วยซ้ำ
“นี่รถแม่ ยืมมาใช้”
“ออ ค่ะ”
ที่บ้านเขาคงรวยนั่นแหละ ทั้งรถคันนั้นที่มีเรื่องกับฉันกับรถยนต์คันนี้ก็บอกฐานะได้เป็นอย่างดีแล้ว
“เออ ว่าไง” เขากดรับสายจากใครบางคนที่โทรเข้ามา เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากปลายสายนั้นคิดว่าคงเป็นเพื่อนของเขาสักคนหนึ่ง
“ร้าน XXX ถ้าพวกมันจะตามมาก็แล้วแต่…อืม”
“เพื่อนพี่ฟิวส์จะมากันเหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัยเพราะเดาจากคำพูดของเขา
“อืม”
“มีพี่ไมเนอร์ด้วยไหม”
“…อืม ทำไม” พี่ฟิวส์ตอบพร้อมกับปรายตามองฉัน
“แล้วพี่ฟิวส์จะโอเคไหม ขนาดค้างยังกระอักกระอ่วนเลยถ้าต้องเจอพี่ไมเนอร์” แล้วเขาล่ะ ไม่คิดมากเลยหรือไง
“แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้” พ่อพระ!
“พี่เป็นคนดีเนอะ ถ้าเป็นค้างคงไม่ไหว” ฉันหัวเราะเบาๆ เขาคงรักผู้หญิงรุ่นพี่คนนั้นมากแน่ๆ ถึงก่อนหน้านี้จะทำไม่สนใจแต่อาจเป็น เพราะทะเลาะกันหรือเปล่านะ “จะประจานให้อายทั้งคู่เลย เจ็บใจ”
“…” พี่ฟิวส์มองหน้าฉันด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าไปมองยังท้องถนนเช่นเดิม “พูดไปก็ทำให้ผู้หญิงเสียหายเปล่าๆ”
“…” มันก็จริง แต่เขาจะยอมโดนสวมเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เหรอ โคตรสุภาพบุรุษ แต่บางทีมันก็มองดูเหมือนโง่เง่าเต็มทน
เพราะอย่างนี้สินะ เขาถึงโดนทั้งแฟนทั้งเพื่อนแทงข้างหลัง เป็นถึงนายกสโมสรนักศึกษาแต่ยังถูกหยามขนาดนี้ ถ้ายัยจินกับระรินรู้คงไม่เชื่อแน่ๆ ก็มันน่ะอวดสรรพคุณพี่ฟิวส์จะตายไป ว่าทั้งหล่อ ทั้งรวย สาวๆ หลงรักกันทั้งมหาวิทยาลัย
พวกมันจะรู้ไหมนะว่าพี่ฟิวส์เป็นผู้ชายจืดชืดที่แฟนถึงกับนอกกายไปหาคนอื่น มัวแต่เก๊กบทเย็นชา คิดแล้วก็หดหู่ใจ ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่มีความรักและไม่คิดจะมี
“วันนี้เรามาดื่มให้ลืมเรื่องแย่ๆ ดีกว่าเนอะ” ฉันฉีกยิ้มให้พี่ฟิวส์ เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป ก็กลัวว่าจะคิดมาก
“อืม” เขาตอบรับแบบมึนๆ มองฉันเหมือนตัวประหลาด
“สู้ๆ ค่ะ”
“สู้?” เขาเลิกคิ้วแล้วมองมา ตอนนี้รถจอดที่หน้าร้านพอดี
“ค่ะ สู้ คนอย่างพี่ฟิวส์ยังหาแฟนสวยๆ กว่าพี่เมย์ได้อีก หรือจะให้ค้างหาให้ไหม เพื่อนค้างมีแต่สวยๆ นะบอกเลย”
“…" หนุ่มรุ่นพี่เงียบไปครู่ใหญ่ แล้วสุดท้ายก็หัวเราะในลำคอเบาๆ เขาคงเจ็บจนพูดไม่ออกล่ะมั้ง “เธอนี่ตลกดี”
“ตลก? ตลกตรงไหนคะ”
“อืม ตลก ตรงที่เป็นเธอ” พี่ฟิวส์ใช้หางตามองก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ฉันเองก็รีบลงแล้วเดินตามเขาเข้าไปข้างในบ้าง ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเราตั้งแต่เข้าร้าน
“ยัยน้ำค้าง! โต๊ะนี้”
“พี่ฟิวส์ ทางนั้น” ฉันรั้งข้อมือของอีกคนไว้เพราะเขาคงหาโต๊ะไม่เจอ จำหน้ายัยเพื่อนสองคนนั้นไม่ได้แน่ๆ
“เดี๋ยวตามไป” เขาบอกฉันแล้วมองไปที่ยัยเพื่อนทั้งสองคนนั้นอีกรอบ คล้ายจะประเมินดูว่าควรไปนั่งด้วยหรือเปล่า
“ค่ะ แต่ถ้าพี่ไม่อยากนั่งกับพวกเรา เปิดอีกโต๊ะก็ได้นะ”
“เธอเป็นคนชวนฉันมา” เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมองฉันเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่
“ออ ใช่ งั้นเดี๋ยวตามมานะคะ”
“…” พี่ฟิวส์พยักหน้า ฉันจึงผละออกมา เดินตรงไปที่โต๊ะของเพื่อน แน่นอนว่าประโยคแรกของพวกมันหนีไม่พ้นการแซว
“อะไรยังไงเนี่ย ร้ายไม่เบาเลยนะยัยน้ำค้าง”
“เป็นเจ้าหนี้ เจ้านาย ตอนนี้จะเป็นเจ้าบ่าวด้วยป่ะ ฮิ้ววว” ยัยระรินพูดด้วยอารมณ์ดีสุดๆ จนฉันต้องส่ายหน้ากับความคิดไปเองของมัน
“ไม่มีอะไรเลยค่า พี่เขาอกหักเลยพามาสงบสติอารมณ์” ฉันพูดไปอย่างไม่ใส่ใจนักพลางเอื้อมมือไปหยิบดูเครื่องดื่มที่พวกมันสั่งมา
เป็นเบียร์ยี่ห้อหนึ่งที่คนนิยมดื่มกัน แต่กับคนที่แทบจะไม่ดื่มเหล้าอย่างฉันคงไม่ไหว ถึงแม้จะทำงานร้านเหล้ามาเดือนกว่าแต่ฉันก็เลี่ยงมาโดยตลอด
“ไปอยู่ร้านเหล้า ฉันคิดว่าแกฝึกมาแล้วนะยัยน้ำค้าง”
“ขอเหล้าปั่นได้ไหม อันนี้น่าจะไม่ไหว”
“ระริน สั่งให้มันหน่อย สงสาร”
----------------
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง