บริเวณชายป่า
ขบวนเสด็จของว่าที่ฮองเฮาบัดนี้ได้ตั้งกระโจมที่ประทับบริเวณเขตชายป่าดงดิบของเมืองผิงหยาง โดยเลือกตั้งกระโจมใกล้กับลำธารเพื่อสามารถใช้เป็นสถานที่อาบน้ำชำระล้างกายและกักเก็บน้ำสะอาดไว้ใช้ดื่มในระหว่างการเดินทาง ด้วยต้องใช้เวลาอีกสองวันก็จะถึงเมืองหยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ด้วยอาณาเขตพื้นที่ของเมืองผิงหยางกว้างใหญ่พอๆ กับเมืองหยง จึงต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร อีกทั้งเส้นทางหลักเกิดดินถล่มทำให้ไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางอ้อมขุนเขาจึงจะเข้าสู่เขตเมืองหยง
ท่ามกลางป่าดงดิบและสัตว์ป่าที่ออกมาหาอาหาร ต่างเดินมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ กวางตัวขนาดใหญ่ถูกล่ามาทำเป็นอาหารในค่ำคืนนี้ โดยทีมล่าคือองครักษ์ทั้งหกนายขององค์ชายสามอิ๋งเฟิ่ง เริ่มลงมือตามแผนที่วางเอาไว้เพื่อลอบสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ในค่ำคืนนี้ กวางเลิศรสถูกย่างจนเกรียมส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถูกตัดแบ่งแจกจ่ายให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงโดยหารู้ไม่ว่าในเนื้อกวางดังกล่าวได้วางยาทำให้หลับอย่างแรงซึ่งได้มาจากแคว้นเอี้ยนของพระชายารองซึ่งเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น และพระนางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระสนมเอกของเจ้าผู้ครองแคว้น ฉินรุ่ยกง แต่ตำแหน่งดังกล่าวหาใช่สิ่งที่พระนางต้องการเพราะตำแหน่งฮองเฮาคือสิ่งที่ทรงหมายปอง และสังหารสตรีทุกนางที่ขวางทางการเข้าขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ และพระชายาเอกของฉินรุ่ยกง สมัยยังเป็นองค์รัชทายาท ก็ทรงสิ้นพระชนม์ในขณะที่มีพระประสูติกาลพระราชธิดาด้วยฝีพระหัตถ์ขององค์หญิงแคว้นเอี้ยน ท่ามกลางเปลวเพลิงจากองไฟที่กำลังลุกโชน บรรดาทหารอารักขาและองครักษ์จากวังหลวงซึ่งคอยเดินตรวจเวรยามไปทั่วบริเวณที่ตั้งค่าย จู่ๆ ร่างร่วงหล่นลงไปทันใด ตุบ! ตุบ! ตุบ! ทหารอารักขาเริ่มพากันหมดสติอย่างพร้อมเพรียงกัน ภายในบริเวณดังกล่าวจากที่มีเสียงพูดคุย และปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนถวายความปลอดภัยให้แก่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ กลับเงียบงันลงไปทันใดไร้สิ้นเสียงไปนานกว่าครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว สวบ! สวบ! สวบ! ท่ามกลางความเงียบงัน องครักษ์ทั้งหกนายในชุดสีดำปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด ค่อยๆ เดินออกมาจากทิศทางที่จะต้องไปยังลำธารซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกระโจมที่ประทับ ก่อนจะสำรวจให้แน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหมดสติกันหมดทุกคน องครักษ์ทั้งหกแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตนทันที คอยดูต้นทางและเตรียมแผนขั้นต่อไป พร้อมองครักษ์สามนายรีบรุดเข้าไปในกระโจมของว่าที่ฮองเฮา ซึ่งโฉมงามล่มเมืองอยู่ภายในนั้น ทันทีที่เข้าไปภายในกระโจมองครักษ์ในชุดดำต่างกวาดสายตาไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว ร่างสาวใช้คนสนิทฟุบลงอยู่กับโต๊ะอาหารซึ่งมีเนื้อกวางอยู่ในสำรับอาหารเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ทว่ากลับไม่พบธิดาสกุลจางอยู่ภายในนั้น “บัดซบสิ้นดี! นางหายไปได้ยังไง มิได้ถูกวางยาดั่งเช่นคนอื่นๆ อย่างนั้นหรอกรึ!” องครักษ์หนึ่งในนั้นสบถออกมา “หากนางไม่กินอาหารจะอยู่ได้เยี่ยงไร ตลอดการเดินทางข้าก็ไม่เห็นนางกินอะไรเลยนอกจากน้ำเท่านั้น” หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาพร้อมมองหาสำรับอาหารค่ำที่นำมาให้ธิดาสกุลจาง “นางไม่แตะต้องเนื้อกวางเลยพวกเจ้าดูสิ มีแต่ผลไม้เท่านั้นที่หมดไปกว่าครึ่งและกินขนมกุ้ยฮวาไปบางชิ้นเพียงเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า” กล่าวได้เพียงเท่านั้นทั้งสามรีบรุดออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว “แยกย้ายค้นให้ทั่ว! ธิดาสกุลจางไม่ได้แตะต้องอาหาร!” องครักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าตะโกนบอกคนที่เหลือทันที ก่อนจะแยกย้ายค้นหาโดยมิรอช้าบริเวณริมลำธาร
ในขณะที่ทั่วทั้งกระโจมและบริเวณด้านนอกกำลังถูกรื้อค้น ร่างอรชรของธิดาสกุลจางกำลังวิ่งตรงไปยังริมลำธารเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของผู้ประสงค์ร้าย ทันทีที่นางเห็นร่างของสาวรับใช้คนสนิทจู่ๆ ก็ฟุบลงคาโต๊ะอาหาร ก่อนจะพบว่าบรรดาทหารที่คอยอารักขาอยู่ด้านนอกเริ่มทยอยหมดสติไปทีละคนสองคน
โฉมงามล่มเมืองล่วงรู้โดยพลันว่ามีผู้ปองร้ายเอาชีวิต นางเล็ดลอดออกมาโดยการมุดหนีออกจากกระโจม ทันทีที่ชายชุดดำทั้งหกปรากฏกายพร้อมวิ่งหนีออกจากบริเวณดังกล่าวมาอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงริมธารมองสายน้ำเชี่ยวกรากไหลผ่านหน้าไป “ข้าจะหนีไปทิศทางใดได้เล่าในเวลากลางคืนเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองไปแห่งหนใดมีแต่ความมืดมิด จะร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ ที่มีอยู่ก็หมายปองชีวิตหาได้ช่วยเหลือให้อยู่รอดปลอดภัย จะข้ามแม่น้ำก็คงไม่พ้นต้องจมน้ำตาย เป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากเช่นนี้” โฉมงามยืนรำพึงพลางมองสายน้ำเบื้องหน้ามิรู้จะทำเช่นไรต่อไปดี ทันใดนั้นเอง “เจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำไปอย่างนั้นหรอกรึคุณหนู” เสียงบุรุษดังกระหึ่มอยู่ด้านหลัง ชายชุดดำค่อยๆ ก้าวออกมาจากชายป่าก่อนจะทยอยมาจนครบ ยืนเรียงหน้ากระดานมองโฉมงามล่มเมืองด้วยสายตาเย็นยะเยียบ พร้อมสาดอาวุธไปที่ร่างงามทันที ฉึก! ฉึก! ฉึก! เข็มเงินถูกอาบยาพิษร้ายแรงวิ่งตรงเข้าเจาะหน้าอกช่วงบนและช่วงลำคอฝังแน่นเข้าไปที่ร่างโฉมสะคราญอย่างไม่ปรานี จนนางทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมยกมือขึ้นจับเข็มเงินอาบยาพิษที่ฝังอยู่ในร่าง และเริ่มสำแดงเดชออกมาทันใด โลหิตเริ่มไหลรินออกจากปาก จมูก หูและตาทั้งสองข้าง ทวารทั้งเจ็ดถูกทำลายด้วยยาพิษจากแคว้นเอี้ยน ซึ่งถูกนำมาใช้ในการสังหารว่าที่ฮองเฮาในครั้งนี้ “ท่านสาดเข็มเงินอาบยาพิษทำไม! เก็บนางเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว หากมีคนมาพบศพนางก็ล่วงรู้พอดีว่าถูกลอบสังหารเพราะยาพิษ แทนที่จะทำให้นางจมน้ำตาย” หนึ่งในนั้นเอ่ยตำหนิ “ข้าทำตามพระบัญชาขององค์ชายสาม พระองค์ทรงมีรับสั่งกำชับมาว่าหากเก็บให้เงียบไม่ได้ ก็ไม่ต้องสนใจทำยังไงก็ได้เพื่อให้นางสูญสิ้นชีพไม่ต้องสนใจพิธีการให้มากความ ในเมื่อนางหลบหนีออกมาแบบนี้ จะตายแบบไหนก็มีค่าเท่ากัน ถ้ากังวลกับศพของนางละก็ข้ามีวิธี” บุรุษชุดดำทั้งหกต่างพยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น สายตาเฝ้าจับจ้องร่างของธิดาสกุลจางกำลังล้มลงฟาดกับพื้นดิน ใบหน้างดงามหันไปทางแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกราก ก่อนจะเห็นเงาเลือนรางของเด็กผู้หญิงค่อยๆ ปรากฏขึ้นในขณะที่ลมหายใจเริ่มติดขัด ร่างน้อยๆ กำลังเดินเล่นอยู่ท่ามกลางสายน้ำตรงหน้า ครั้นวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงโฉมงามล่มเมืองเห็นคนที่เฝ้าคิดถึงและสำนึกผิดอยู่ตลอดเวลาว่านางเป็นคนทำให้น้องสาวฝาแฝดตกลงไปในแม่น้ำและหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย “อะ... อัน... อันอัน!!!” จางเจี๋ยอี้รำพึงเรียกชื่อน้องสาวฝาแฝดที่พลัดตกลงไปแม่น้ำเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ในขณะที่มีอายุเพียงแค่หกปีต่อหน้าต่อตาของนาง “เจี๋ยเจี๋ย!!!” เสียงน้องสาวฝาแฝดส่งเสียงเรียกนางพร้อมส่งยิ้มให้ “อันอัน!!!” เสียงเรียกชื่อเล่นของน้องสาวฝาแฝดดังออกมาเบาๆ พร้อมลมหายใจสุดท้ายของชีวิตหลุดลอยออกจากร่าง ดวงตากลมโตเบิกค้างมองไปที่แม่น้ำก่อนจะขาดใจตายนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ท่ามกลางสายตาของชายชุดดำทั้งหกเฝ้ายืนมองวาระสุดท้ายของชีวิตนางอย่างใจเย็น ครั้นเห็นร่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงนานกว่าครึ่งชั่วธูป ทั้งหมดก้าวเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณนั้นอย่างไม่ชักช้า “ถ่วงศพลงก้นแม่น้ำจะได้ไม่ลอยขึ้นมาให้ผู้ใดพบเห็น แต่ถึงจะลอยขึ้นมาได้คิดหรือว่าจะมีผู้ใดจดจำได้” กล่าวพร้อมพากันหัวเราะออกมาเป็นการใหญ่ เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียงไม่นาน เรือลำขนาดย่อมสามารถต้านทานกระแสน้ำได้เป็นอย่างดีบัดนี้ปรากฏอยู่กลางแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกรากอยู่ในขณะนั้น ร่างอันไร้วิญญาณของจางเจี๋ยอี้ถูกมัดด้วยเชือกและถ่วงหินขนาดใหญ่ไว้ที่กลางลำตัว โดยมีชายชุดดำยืนจับร่างส่วนหัวและปลายเท้าพลางเหวี่ยงไปมาก่อนจะโยนลงแม่น้ำทันที ตูม!!! ร่างไร้วิญญาณจมดิ่งลงก้นแม่น้ำตามแรงถ่วงของก้อนหินไปอย่างรวดเร็ว โฉมงามล่มเมือง จางเจี๋ยอี้ ซึ่งมีความงดงามเป็นที่เลื่องลือกลับพบจุดจบกลายเป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำหามีผู้ใดล่วงรู้ทั้งสิ้น ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ยังมิทันได้รับการแต่งตั้งกลับไปไม่ถึงตำแหน่งที่สตรีทั่วหล้าหมายปอง เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนออกจากกลางแม่น้ำไปอย่างช้าๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่างานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้สำเร็จตามแผนยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ