แชร์

ฝาแฝดจากยุคอดีต 1.2

ผู้เขียน: จ้าวฮุ่ยอิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-03 01:40:37

ในขณะเดียวกัน

  ช่วงเวลานี้ราชวงศ์โจวซึ่งเคยปกครองแคว้นต่างๆ มากมายเริ่มเสื่อมถอย ไร้สิ้นอำนาจปกครองแคว้นน้อยใหญ่ในเวลานี้ได้แต่อย่างใด หลังจากกษัตริย์โจวผิงหวางย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วอี้ (ลั่วหยาง) ดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดตกเป็นของแคว้นฉิน ซึ่งได้ผนวกแคว้นหรือดินแดนชนเผ่าหรงจู่ซึ่งอยู่ชายแดนราชวงศ์โจวกลายเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก 

  ในขณะที่ดินแดนซานซีเป็นของแคว้นจิ้น ดินแดนซานตงเป็นของแคว้นฉู่และแคว้นหลู่ ดินแดนหูเป่ยเป็นของแคว้นฉู่ ดินแดนเป่ยจิงและหูเป่ยตอนเหนือเป็นของแคว้นเยี้ยน ต่อมาดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง (แม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นของแคว้นอู๋และแคว้นเย่วและแคว้นอื่นๆ 

  หลังจากแคว้นใหญ่ๆ ทั้งหมดผนวกเอาแคว้นเล็กๆ ในราชวงศ์โจวมาเป็นดินแดนของตน ทำให้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นใหญ่ และเริ่มต้นเปิดฉากที่มาของสงครามแห่งการแย่งชิง เต็มไปด้วยความโหดร้ายของการแก่งแย่งอำนาจกันของแคว้นใหญ่ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ 

  ซึ่งในเวลานี้แคว้นใหญ่ที่มีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วหล้ามีด้วยกันสิบแคว้น อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นจิ้น แคว้นเอี้ยน แคว้นเยี่ยน แคว้นเยว่ แคว้นเจิ้ง แคว้นอู๋ แคว้นหลู่และแคว้นฉิน ซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลาต่อมาจากสิบแคว้นใหญ่จะเหลือเพียงเจ็ดแคว้นเท่านั้น 

  และในกาลต่อมาแคว้นจิ้นได้ล่มสลายลงและแยกออกเป็น แคว้นจ้าว แคว้นเว่ยและแคว้นหาน ที่มีอิทธิพลและอำนาจแข็งแกร่งจนต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจและมีอิทธิพลในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งต่อมาก็คือ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นหาน แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย แคว้นเยี่ยนและแคว้นฉิน

   หากแต่กาลเวลาขณะนี้แคว้นฉินยุคนี้คือหนึ่งในแคว้นใหญ่ ซึ่งช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาแผ่ขยายอาณาเขตและยึดดินแดนมาได้อย่างมากมายจนผนึกดินแดนแคว้นเล็กๆ มาอยู่ใต้การปกครองและในขณะนี้ แคว้นฉินกำลังมีพระราชพิธีสำคัญที่ถูกจัดขึ้น นอกจากพระราชพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นแล้ว กำลังจะมีพิธีสถาปนาฮองเฮาพระองค์ใหม่เคียงคู่กับฉินรุ่ยกง ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบัน

  เมืองผิงหยาง

  จวนสกุลจาง

  จวนขนาดใหญ่ของอัครเสนาบดีจางฟง ตั้งอยู่ในเมืองผิงหยาง ซึ่งในครั้งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉินมานานเกือบสองร้อยปี ก่อนจะย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองหยง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันของแคว้นฉินได้ประมาณร้อยปี สกุลจางเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักฉินสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน เพราะบรรพบุรุษต้นตระกูลสืบทอดมาจากเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซาง และสืบทอดต่อๆ กันมากลายเป็นสกุลจางอยู่ในขณะนี้

  ซึ่งจวนสกุลจางนอกจากจะอยู่ที่เมืองผิงหยางด้วยแล้ว ยังมีอยู่ที่เมืองหยงด้วยเช่นกัน ซึ่งจางฟงและฮูหยินเจียงรวมไปถึงบุตรชายคนโตที่มีตำแหน่งขุนนางในราชสำนักฉินเช่นเดียวกันกับบิดา พำนักอยู่ที่จวนในเมืองหลวงหยง ส่วนบุตรชายคนที่สองจนถึงคนที่สี่รวมไปถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวพำนักอยู่ที่จวนสกุลจางในเมืองผิงหยาง เนื่องจากต้องเข้าศึกษาในสำนักหยู ซึ่งบุรุษชนชั้นสูงและมีฐานะดีจะเข้ารับการศึกษาในสำนักแห่งนี้ที่มีมาแต่โบราณ 

  และสตรีสาวที่ได้รับการคัดเลือกให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา หามีเชื้อสายราชวงศ์แต่เป็นเชื้อสายของขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนักฉินขณะนี้ จางเจี๋ยอี้ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีของจางฟง ผู้ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮาและพิธีสถาปนาจะมีขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นนับไปอีกสิบวันก็จะเป็นฤกษ์มงคล 

  ขบวนเสด็จจากราชสำนักฉินกำลังตั้งแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่อยู่บริเวณหน้าจวนสกุลจาง เพื่อนำเข้าวังหลวงเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีสถาปนาที่จะมีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า ผู้คนมากมายต่างมายืนออกันอย่างเนืองแน่นบริเวณหน้าจวนเพื่อรอยลโฉม จางเจี๋ยอี้ ซึ่งเล่าลือกันปากต่อปากมาว่า รูปโฉมของนางล่มแคว้นบ้านเมือง

  แต่แล้วผู้คนกลับต้องผิดหวัง เมื่อแม่นางงามล่มเมืองปรากฏกายออกมาพร้อมผ้าปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตากลมโตเท่านั้น ร่างอรชรสวมอาภรณ์สีดำสลับแดง ซึ่งเป็นสีประจำของราชสำนักฉินและเป็นสีประจำแคว้น สีดำหมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ สีแดงคือบารมีมากล้นเหลือทั้งสองสีถือเป็นสีมงคลของแคว้นฉินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น

   ธิดาจากสกุลจางก้าวออกจากประตูจวนโดยมีสายตาของคนเป็นแม่ ฮูหยินเจียงซึ่งอุตส่าห์มาจากเมืองหลวงเดินตามหลังเพื่อส่งบุตรีของนางขึ้นรถม้าของทางราชสำนักฉิน เดินทางเข้าวังหลวง ด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่านางจะได้เห็นธิดาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายในจำนวนบุตรทั้งห้าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษด้วยกันทั้งสิ้น

  หากแต่ฮูหยินเจียงและอัครเสนาบดีจางฟง มิได้มีเพียงจางเจี๋ยอี้ เป็นธิดาเพียงคนเดียว แต่เคยมีด้วยกันสองคน ด้วยเพราะทั้งคู่มีลูกสาวฝาแฝดนั่นเอง ทว่าฝาแฝดคนน้องได้หายสาบสูญไปเพราะสาเหตุพลัดตกลงไปในแม่น้ำเมื่อตอนอายุหกขวบ และถูกกระแสน้ำพัดหายไปจนไร้ร่องรอย 

  จากวันนั้นจนถึงวันนี้มิเคยปรากฏข่าวคราวและร่องรอยสามารถสืบเสาะค้นหาได้อย่างใดและทั้งสองต่างทำใจได้แล้วว่า ลูกสาวฝาแฝดอีกคนได้ตายไปแล้ว จึงทำให้จางเจี๋ยอี้ กลายเป็นธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง

  “อี้เอ๋อร์!” เสียงของฮูหยินจางเรียกรั้งบุตรีเอาไว้ในขณะที่กำลังก้าวจะขึ้นรถม้า

  ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยผ้าผืนบางสีขาวขุ่นปักลายเป็นรูปดอกไม้เล็กๆ หันกลับมามองมารดาผู้ให้กำเนิด พลางส่งยิ้มหวานกลับไปเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของนาง

  “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลรักษาเนื้อรักษาตัวเองให้เป็นอย่างดี หากแม้นมีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่ หรือไม่ก็จะให้ทางวังหลวงนำท่านเข้าไปพบข้า” แม่นางคนงามตอบมารดากลับไป

  ในขณะที่คนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ หากแต่แฝงเร้นความเศร้าครั้นได้ยินเช่นนั้น

  “ชีวิตในวังแตกต่างจากด้านนอกยิ่งนัก จงระวังให้จงหนัก ตำแหน่งฮองเฮาของเจ้าที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ หาได้เกิดจากความรักที่เจ้าผู้ครองแคว้นพึงพอใจตัวเจ้าแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นเพราะต้องการอำนาจของท่านพ่อเจ้าให้มาอยู่เป็นฐานกำลังสำคัญในราชสำนัก ชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขได้เยี่ยงไร” นางเฝ้ารำพึงรำพัน

  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงดงามยิ้มเจื่อนๆ ด้วยนางมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากที่มารดาได้กล่าวออกมาแม้แต่น้อย แต่ถ้าปฏิเสธตำแหน่งฮองเฮาอย่างไม่ใยดี มีหรือจะทำไม่ได้ แต่นางจะต้องเห็นแก่ตระกูลเป็นใหญ่มากกว่าตนเอง เพราะอำนาจในราชสำนักที่อยู่ในกำมือของนางขณะนี้ มิได้มาง่ายๆ จะให้พังทลายลง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนอกตัญญู

  “ชีวิตของข้าเป็นสุขแล้วท่านแม่ที่ได้เกิดมาแทนคุณตระกูลและท่านพ่อท่านแม่ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ไป นั่นก็คือชะตาฟ้าลิขิตที่ข้าต้องเผชิญ สบายใจเถิดอย่างไรเสียข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้”

  เสียงหวานบอกกลับไปพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอวบของมารดาอย่างแนบแน่น ก่อนจะตัดใจก้าวขึ้นรถม้าพร้อมหญิงรับใช้คนสนิทติดตามเข้าไปวังหลวงพร้อมกัน

  ขบวนรถม้าจากราชสำนักค่อยๆ เคลื่อนออกจากหน้าจวนสกุลจางไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองหยงซึ่งพระราชวังหลวงแห่งแคว้นฉินอยู่ที่นั่น โดยมีทหารอารักขาคอยคุ้มกันอย่างหนาแน่นไปตลอดทาง ด้วยต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองผิงหยางจนถึงเมืองหลวงไม่ต่ำกว่าสามวันจึงจะถึงที่หมาย

   ทว่าขบวนถวายอารักขาที่เฝ้าถวายความปลอดภัยของว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่กันอย่างหนาแน่นในขณะนี้ หาใช่ขบวนองครักษ์จากทางวังหลวงเสียทั้งหมด ด้วยภายในขบวนดังกล่าวกลับมีองครักษ์ฝีมือดีที่ถูกองค์ชายอิ๋งเฟิ่งส่งมาปะปนเพื่อลอบสังหารธิดาจากสกุลจางให้พบกับจุดจบก่อนจะก้าวเข้าสู่พระราชวังหลวงซึ่งมีด้วยกันจำนวนหกนาย 

  และทั้งหมดต่างส่งสัญญาณเพื่อลงมือตามแผนที่ได้วางเอาไว้ครั้นถึงสถานที่สำหรับใช้ลงมือสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาของแคว้นฉิน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   ดวงพิฆาต รักนิรันดร์ (ตอนอวสาน)

    ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   โหยหามิคลาดครา 1.1

    ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   โหยหามิคลาดครา 1.2

    ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   พระสนมชายของข้า! 1.2

    ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   พระสนมชายของข้า! 1.1

    บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว

  • แม่ทัพร้ายโหยหารัก   เป็นหรือตาย 1.3

    พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status