/ รักโบราณ / แม่หมอแห่งซูโจว / 14. เปิดสำนักแม่หมอแห่งซูโจว

공유

14. เปิดสำนักแม่หมอแห่งซูโจว

last update 최신 업데이트: 2025-06-25 22:15:50

“ท่านยายเจ้าคะ ข้านำกระดาษโพนทะนาไปติดไว้ที่ป้ายประกาศของหมู่บ้านแล้วเจ้าค่ะ คิดว่าวันพรุ่งจะต้องมีผู้คนมาที่เรือนของเราเป็นแน่” หลังจากตื่นขึ้นมา ลี่มี่ เหมาไป่ และอาหมิงก็วิ่งวุ่นจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเปิดสำนักแม่หมอ

“ดีๆ ยายเองก็จัดที่ทางให้พวกชาวบ้านได้นั่งเรียบร้อยแล้ว”

“น้องเองก็ยกดอกไม้มาประดับแล้วขอยับ” ลี่มี่มองสังเกตรอบๆ ก็พบว่ามีตั่งไม้มาวางเรียงกันหน้าเรือน ทั้งยังมีดอกไม้สีสดมาประดับอย่างงดงาม เมื่อด้านนอกเสร็จสิ้นแล้ว ก็ถึงคราที่จะต้องจัดที่ทางสำหรับให้ชาวบ้านเข้ามาดูนิมิตกับนาง

“เช่นนั้น ท่านยายช่วยข้าจัดที่ทางด้านในเรือนหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้ามิเคยรู้เกี่ยวกับเรื่องไสยเวทเลย มิรู้ว่าจะต้องทำท่าทีอย่างไรเจ้าค่ะ”

“ได้ ยายเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เราเข้าไปพูดคุยกันต่อในเรือนเถิด” สามยายหลานย้ายเข้ามาในเรือน ผู้เป็นยายเอ่ยเล่าเรื่องราวที่นางเคยไปขอให้ผู้มีนิมิตช่วยตรวจดูดวงชะตาของบุตชาย

“ที่ยายได้เห็นมาคือผู้ที่เป็นพ่อหมอแม่หมอ เขามักจะใส่อาภรณ์ที่มีชายผ้าระโยงระยาง แล้วยังมีผ้าปิดหน้าด้วย”

“ข้าคิดว่าอาภรณ์ที่ข้าใส่กลับมาจากสระมรกต คงพอจะใช้ได้เจ้าค่ะ แต่เรื่องผ้าปิดหน้านั้น…เหตุใดเราต้องปิดด้วยเจ้าคะ มิใช่ว่าพวกชาวบ้านรู้จักหน้าตาของข้าแล้วหรือ”

“นั่นสิ คงเพราะมันช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือกระมัง ไม่แน่ว่าหากชาวบ้านเห็นใบหน้าเจ้าที่เป็นเพียงเด็กสาว พวกเขาอาจจะมิอยากเชื่อถือสักเท่าใด”

“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าขอไปลองสวมอาภรณ์ตัวนั้นก่อนนะเจ้าคะ” ลี่มี่เข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องของตน เสื้อผ้าสีเขียว รูปแบบแตกต่างจากอาภรณ์ทั่วไปถูกนำมาสวมใส่ ทั้งยังใช้ผ้าผืนบางมาทำเป็นผ้าปิดหน้า

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“งดงามยิ่งขอยับ” ลี่หมิงเอ่ยชมพี่สาวมิขาดปาก เมื่อได้ยินคำเยินยอจากน้องชายและท่านยาย ลี่มี่ก็พยักหน้าพอใจไม่น้อย

“แต่งตัวเช่นนี้แล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ ท่านยาย”

“อืม ขอยายคิดก่อน…อ่อ ยายเห็นเขาชอบใช้ไม้เคาะกะโหลก” เหมาไป่ย้อนนึกไปก็ขนลุกไม่หาย สำนักเหล่านั้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกคนตาย แต่ด้วยความที่เป็นห่วงบุตรชาย นางจึงจำยอมก้าวย่างเข้าไปในสถานที่น่ากลัวเช่นนั้น

“กะโหยกคือสิ่งใดหยือขอยับ” เด็กชายยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่ากะโหลกนั้นคือสิ่งใด

“อ่า เป็นกระดูกหัวนี่กระมัง” เหมาไป่ใช้นิ้วเคาะหน้าผากน้อยๆ ของหลานชาย

“แต่เราไม่มีกะโหลก เช่นนั้น…ใช้กะลามะพร้าวแทนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าว่าเวลาเคาะก็น่าจะมีเสียงเช่นกัน” ลี่มี่นึกทึ่งกับความชาญฉลาดของตนเอง

“ย่าว่าย่อมแทนกันได้ ต่อไปก็ไม้ที่ใช้เคาะ เอาเป็น…”

“ทัพพีขอยับ ยามเคาะกับกระทะดังเป้ง! เป้ง! น้องเคยได้ยิน” ท่าทีการใช้ทัพพีเคาะกระทะของลี่หมิง ทำเอาเหมาไป่กับลี่มี่ถึงกับหัวเราะลั่นเรือน

“ได้ เช่นนั้นเอาทัพพีตามที่อาหมิงของพี่ว่า ฮ่าๆ” สามยายหลานนั่งพูดคุยซักซ้อมท่าทีและช่วยกันจัดที่ทางในเรือนให้เหมาะกับการตั้งเป็นสำนักของแม่หมอ กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้นก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี (19:00 – 20:59 น.) ทั้งสามจึงได้กลับเข้าไปนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวรับแขกเหรื่อในวันพรุ่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีผู้คนมารอที่เรือนสกุลเหมาตั้งแต่ยามซื่อ (09:00 – 10:59 น.) ดังที่ลี่มี่ได้คาดการณ์เอาไว้ ชายหญิงมากกว่าสิบคนมารออยู่ที่หน้าเรือนสกุลเหมา ลี่หมิงทำหน้าที่นำน้ำท่ามาแจกจ่ายให้ชาวบ้านระหว่างรอ ทั้งเด็กชายตัวน้อยยังช่วยตอบคำถามของชาวบ้านเกี่ยวกับแม่หมอ โดยเฉพาะเรื่องที่ลี่มี่ตกลงไปในสระ เด็กชายตัวน้อยก็เล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจดจำได้อย่างขึ้นใจ แม้เสียงพูดของลี่หมิงจะมิชัดเจน แต่ผู้คนก็มิได้ถือสา

“…เยื่องยาวก็เป็นเช่นนี้ขอยับ”

“อืม เรื่องยาวจริงๆ นั่นล่ะ ฮ่าๆ” เหล่าชาวบ้านที่ฟังเรื่องราวจากลี่หมิงต่างหัวเราะให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กน้อย

เห้อ! มิรู้ว่าสกุลชุนปล่อยให้ลูกหลานออกมาอยู่สกุลอื่นได้อย่างไร

ด้านลี่มี่ที่เตรียมตัวอยู่ด้านในเรือนก็เดินไปเดินมาไม่หยุด เพราะเกิดอาการประหม่า แม้จะฝึกซ้อมกับท่านยายและอาหมิงมาหลายรอบ แต่นางก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังมิพร้อม

“มี่เอ๋อร์ จะให้ยายเรียกคนเข้ามาเลยดีหรือไม่”

“จะ เจ้าค่ะ”

“มิต้องกังวลไป หากว่ามีวาสนาต่อกัน เจ้าก็จะเห็นภาพนิมิตของพวกเขาเอง อย่าได้กดดันตนเองให้มากนัก” เหมาไป่เดินเข้ามากอดให้กำลังใจหลานสาว ก่อนจะออกไปเรียกคนที่รออยู่ด้านนอกให้เข้ามาได้ทีละคน

ลี่มี่นั่งนิ่ง หลับตาลงอย่างสงบ ใบหน้างามถูกผ้าบางบดบังใบหน้าในช่วงตาลงมา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนก็ลืมตาขึ้นมอง ปรากฏเป็นชายชราท่าทางทะมัดทะแมง

“เชิญท่านนั่งลงก่อน ประเดี๋ยวแม่หมอจะเริ่มพิธีการแล้ว” เหมาไป่เอ่ยเชื้อเชิญแขกคนแรกให้นั่งลงประจำที่

ป๊อก ป๊อก ป๊อก!

ลี่มี่หยิบทัพพีขึ้นมาเคาะกะลาอย่างที่ได้ซักซ้อมเอาไว้ แต่ทว่าสิ่งที่นางทำกลับเรียกเสียงหัวเราะของชายชรา แทนที่จะเป็นความเคารพนับถือ

“คึๆ ฮ่าๆ ฮะ อะฮึ่ม! ขออภัย” ชายชรากลั้นขำจนท้องแข็ง มีพ่อหมอแม่หมอที่ใดเขาใช้ทัพพีเคาะกะลากันเล่า ดูท่าเด็กสาวตรงหน้าคงมิได้มีนิมิตดังที่อวดอ้าง

“มิเป็นไร ส่งมือของท่านมาเถิด หงายมือขึ้น” ลี่มี่อดเขินอายในสิ่งที่ตนเองทำมิได้ จึงรวบรัดให้ชายชราส่งมือมา ทั้งที่ก่อนหน้าท่านยายและอาหมิงเอ่ยว่าให้นางเต้นระบำไปทั่วห้องก่อน

“การตรวจดูชะตาชีวิตครานี้ หากว่าท่านมีวาสนาต่อสวรรค์ ท่านย่อมจะได้รับรู้นิมิตที่สวรรค์ต้องการบอกแก่ท่าน เมื่อได้รับรู้แล้วท่านจะจ่ายเท่าใดก็ตามแต่ท่าน แต่หากท่านมิมีวาสนาต่อสวรรค์ ข้าจะมิรับเงินจากท่าน”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อชายชราพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นางเอ่ย ลี่มี่ก็ใช้นิ้วสัมผัสตรงกลางมือหนา

“มองมาที่ดวงตาของข้า” ใบหน้าเหี่ยวย่นเงยขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีเขียวมรกต ทันใดนั้นภาพนิมิตของชายผู้นี้ก็ไหลเข้ามาในศีรษะเล็ก

“ว่าอย่างไร เห็นหรือไม่ วันข้างหน้าข้าจะกลายเป็นเศรษฐีหรือไม่”

“เห็น ช่วงนี้ท่านจะเดินไปที่ใดต้องมองทางให้มาก” ลี่มี่ดึงมือกลับมาพลางเอ่ยออกไปเสียงเครียด

“ทะ ท่านเห็นสิ่งใดหรือ ขะ ข้าจะมีภัยถึงชีวิตอย่างนั้นหรือ” ชายชราเอ่ยถามอย่างร้อนรน เขายังมิได้เป็นเศรษฐีเมืองซูโจว เช่นนี้จะตายได้อย่างไร

“มิถึงชีวิต แต่ท่านต้องระวัง เพราะข้าเห็นท่าน…เหยียบมูลกระบือ

“ห๊า!”

“เอ่อ ท่านเหยียบมูลกระบือจนลื่นล้ม แล้ว...แล้วหน้าของท่านก็ซุกลงบนมูลกระบืออีกกอง แหะๆ”

เมื่อชายชราเดินออกมาจากในตัวเรือน ผู้คนที่รออยู่หน้าเรือนก็เข้ามาสอบถามกับชายชรา รวมถึงครอบครัวสกุลชุนที่พากันมาทั้งครอบครัว ชุนไห่และชุนเต๋อมิยอมขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับหลายสาวและหลานชาย

“เป็นอย่างไรบ้างท่านลุง”

“นางเอ่ยว่า…ข้าจะเหยียบมูลกระบือ แล้วล้มหน้าทิ่มมูลกระบืออีกที ฮ่าๆ” เพียงชายชราเอ่ยออกมา ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหัวเราะออกมาดังลั่น เห็นทีเรื่องรับรู้นิมิตคงจะเป็นเรื่องโป้ปดเสียแล้ว คนทุกผู้ในหมู่บ้าน ย่อมรับรู้ว่าหมู่บ้านนี้มิมีผู้ใดเลี้ยงโคกระบือ เช่นนั้นชายชราจะเหยียบมูลกระบือได้อย่างไร

“คิกๆ ทำเช่นนี้เหมือนว่า นางตั้งใจหลอกเอาเงินทองพวกท่านเลยนะเจ้าคะ” ชุนเจียงเปรยออกมาเสียงดัง

“เจียงเอ๋อร์ เงียบปากของเจ้าเสีย” ชุนไห่อดที่จะเอ่ยว่าภรรยามิได้

“พวกเจ้าอยากลองก็รอกันไปเถิด ข้าไปล่ะ เสียเวลาข้าทำมาหากินจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้มาผ่อนคลาย ฮ่าๆ” ชายชราผู้นั้นหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ พลางก้าวเท้าออกจากเรือนสกุลเหมาหมายจะกลับเรือน แต่ก้าวพ้นประตูรั้วไปเพียงสามก้าวเท่านั้น

แหมะ!เท้าหยาบกร้านประทับลงบนก้อนของเหลวสีดำสนิท ท่าทางชะงักของชายชราทำให้ผู้คนที่นั่งรอหน้าเรือนจดจ้องไปที่เท้าของชายชราเป็นตาเดียว ร่างของชายชราเซถลาล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าเหี่ยวย่นพุ่งลงบนก้อนสีดำ

มอ~ มอ~

“มูล…กระบือ”

“อ๊ะ ขออภัยด้วยขอรับ ข้าพึ่งซื้อกระบือมาจากโรงเชือด อย่างไรข้าจะมาทำความสะอาดให้นะขอรับ” ชายวัยกลางคนโค้งตัวขออภัยอย่างนอบน้อม พลางลากจูงกระบือกลับบ้านของตนอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชาวบ้าน ที่จ้องมองไปยังชายชรา ที่บัดนี้ล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้น

นิมิตของแม่หมอเป็นจริง!!!

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • แม่หมอแห่งซูโจว   85. เพียงแค่พวกท่านที่เข้าใจ (ตอนพิเศษ 2)

    คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“

  • แม่หมอแห่งซูโจว   84. วิถีของบิดาที่มีบุตรสาว (ตอนพิเศษ 1)

    ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   83. ชีวิตที่มีสุข (จบ)

    ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   82. เรื่องน่ายินดี (1)

    เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง

  • แม่หมอแห่งซูโจว   81. ยื่นมือเข้าช่วย

    ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่

  • แม่หมอแห่งซูโจว   80. ตอบแทนรัก (2)

    หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status