ตั้งแต่บิดาและมารดาจากไปร่วมเดือน สองพี่น้องมิได้อยู่ในเรือนอย่างสงบสุขสักวัน ไม่เพียงแต่ทำงานหาเงิน แต่งานในบ้าน ลี่มี่และลี่หมิงก็เป็นผู้ที่ช่วยกันทำทั้งหมด เด็กน้อยวัยเพียงสี่หนาวมิเคยได้ออกไปเที่ยวเล่น ต้องมาทำงาน เช็ดถูพื้นเรือนทั้งเรือน ส่วนลี่มี่เองก็ต้องทำความสะอาด ตวงน้ำใส่ถัง ทั้งยังต้องเข้าครัวช่วยป้าสะใภ้ ทั้งที่งานบางอย่างเป็นหน้าที่ของซูเม่ยด้วยเช่นกัน แต่นางกลับมิยอมทำ ลี่มี่เคยนำเรื่องนี้ไปเอ่ยกับท่านย่าแล้ว แต่ท่านย่ากลับกล่าวว่านางและน้องชายถือเป็นผู้อาศัย สมควรที่จะตอบแทนบุตรสาวเจ้าของเรือน หลังจากนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ลี่มี่ที่มิอยากมีปัญหายุ่งยากใจ จึงได้แต่อดทนอดกลั้น ทั้งที่ภายในใจอยากจะตะโกนด่าทั้งหัวหงอกหัวดำ
“พี่มี่เอ๋อร์ นี่คือสิ่งใดหยือ”
“เรียกว่าเข็ม” มือก็ปักผ้าไป ปากบางก็เอื้อนเอ่ยตอบน้องชายไป
“ใช้ทำสิ่งใดหยือ”
“เข็มใช้เย็บปัก เช่นที่พี่ทำนี่อย่างไร งดงามใช่หรือไม่เล่า”
“โอ้! งดงาม งดงาม” น้องชายตัวน้อยยื่นหน้าเข้ามาดูลวดลายบนผ้าที่ลี่มี่กำลังปักอยู่
“อ่า~ มิขนาดนั้นหรอกๆ” ลี่มี่โบกมือปฏิเสธไปมา ทั้งที่สีหน้ามีความภูมิใจเต็มสิบส่วน หลังจากบิดามารดาตายจากไปนานถึงหนึ่งเดือน ลี่มี่และลี่หมิงก็เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น แม้จะยังโศกเศร้า แต่ก็ค่อยๆ กลับมาสดใสเช่นเดิมแล้ว
สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้ไม่นาน เสียงแหลมของลูกพี่ลูกน้องอย่างซูเม่ยก็ดังขึ้น
“ลี่มี่ ข้าหิว! เจ้ามีสิ่งใดให้ข้ากินหรือไม่”
เอ่อ ที่ว่าสดใส ก็คงมีเพียงตอนที่อยู่กับน้องชายสองคนเท่านั้น
ลี่มี่จำใจทิ้งน้องชายให้นั่งเล่นในห้องและลุกขึ้นไปเข้าครัว ทำขนมง่ายๆ ให้ซูเม่ยทาน ซูเม่ยมักเรียกใช้นางเช่นนี้เสมอ คราแรกลี่มี่ก็ปฏิเสธ แต่ก็เป็นเช่นเดิม ท่านย่าใหญ่กล่าวว่านางและน้องชาย อาศัยข้าวปลาที่ท่านลุงหามา กินอยู่ประทังชีวิต จึงควรตอบแทนเสียบ้าง ลี่มี่จึงมิอาจโต้เถียงสิ่งใดได้ ยอมทำงานบ้านแทนซูเม่ย ยอมกระทำตนเยี่ยงบ่าวรับใช้ของลูกพี่ลูกน้อง
“อ่อ ท่านพ่อบอกให้ท่านแม่ไปดูตาข่ายดักปลาที่วางไว้ริมแม่น้ำ เจ้าช่วยไปดูแทนที” ซูเม่ยยืนกอดอกมองลี่มี่ที่กำลังทำขนมอย่างคล่องแคล่ว
“อืม ข้าจะไปดูให้” ลี่มี่เอ่ยตอบรับเพียงเท่านั้นก็หันมาสนใจขนมที่ทำต่อ ใบหน้าเรียบนิ่งมิรู้สึกรู้สาของลี่มี่ ทำให้ซูเม่ยที่ตั้งใจกลั่นแกล้งนั้น เสียอารมณ์มิน้อย เดิมทีนางคิดว่าลี่มี่คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกนางสั่งให้ทำนั่นทำนี่
“ทำสิ่งใดกันหรือ” เด็กสาวทั้งสองหันไปตามเสียงแหบของผู้เป็นย่า ลี่มี่มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงหันกลับมาทำขนมให้ซูเม่ยต่อ เพราะนางรู้อยู่แก่ใจว่าคำถามนั้น ท่านย่าคงจะเอ่ยถามซูเม่ยมากกว่า ด้านซูเม่ยเมื่อเห็นว่าย่าของตนเดินมา ก็เข้าไปออดอ้อนทันที
“ลี่มี่อยากทานขนม นางจึงมาทำขนมทานเองเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์พยายามห้ามแล้ว เพราะเงินทองหายากนัก แต่…นางมิยอมฟังเจ้าค่ะ” ซูเม่ยตีหน้าเศร้าต่อหน้าย่าของตน ลี่มี่ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับอ้าปากหวอ งุนงงกับสิ่งที่ซูเม่ยเอ่ยออกมา
มิใช่ว่านางอยากกินหรอกหรือ เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร
ช่วงนี้ชุนฉือเองก็เคร่งเครียดเรื่องเงินทอง ที่สูญเสียไปกับการจัดพิธีศพ และรายได้ที่ลดลงของครอบครัวจึงดุด่าลี่มี่ โดยมิคิดถามไถ่
“ลี่มี่! เจ้ามิรู้หรือว่าครอบครัวมีค่าใช้จ่ายมากมาย เหตุใดจึงนำเครื่องครัวมาทำขนมทานเล่นเช่นนี้ เพียงจะใช้ทำอาหารแต่ละมื้อก็มิพออยู่แล้ว”
“เป็นซูเม่ยที่สั่งข้า-”
“ยังจะนำซูเม่ยมาอ้างอีกหรือ ไปเลยนะ! ออกไปดูตาข่ายดักปลาเสีย วันๆ มิทำสิ่งใด ขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง” เสียงก่นด่าของชุนฉือ ทำให้ลี่มี่แทบอยากอาละวาดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียง…
ใจเย็น อดทนไว้ อดทน…เอาไว้…
ร่างบางขบกรามข่มอารมณ์ของตน พลางลุกขึ้นเดินกระฟัดกระเฟียดกลับห้องนอนตนเอง เมื่อกลับมาถึง ลี่มี่ก็ตรงเข้าไปซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่
กรี๊ดดดดดดด! อ๊ากกกกกก! ย้า!
เสียงกรีดร้องระบายอารมณ์โมโหของลี่มี่ มิได้ดังหลุดลอดออกไป มือบางทั้งสองทุบลงบนหมอนอย่างอัดอั้น เมื่อระบายอารมณ์จนพอใจก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ เตรียมจะออกไปดูตาข่ายดักปลาที่แม่น้ำท้ายหมู่บ้าน แต่…
“พี่มี่เอ๋อร์ คันจมูกหยือ น้องเห็นพี่เอาหน้าถูหมอนไปมา ยุงกัดใช่หยือไม่” ลี่หมิงนั่งมองพี่สาวตาแป๋ว เด็กน้อยคิดว่าพี่สาวคงจะคันจมูก เพราะยามที่เขาคันจมูก เขาก็ชอบเอาหน้าถูไถกับหมอนเช่นกัน
“เอ่อ แหะ ใช่ๆ พี่คันจมูก…ประเดี๋ยวพี่จะไปดูตาข่ายดักปลา อาหมิงของพี่ไปเล่นกับอาเป่าก่อนได้หรือไม่”
“พี่มี่เอ๋อร์ไปนานหยือ แล้วจะกลับมาหยือไม่”
“ไม่นาน เพียงสองเค่อ (30นาที) พี่ก็กลับมาแล้ว” มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กของน้องชาย เด็กน้อยตรงหน้าคงกลัวว่า นางจะหายไปเช่นท่านพ่อกับท่านแม่
“ขอยับ น้องจะไปอยู่กับอาเป่าก่อน”
“เด็กดีๆ” ลี่มี่ยกยิ้ม มองตามหลังน้องชายที่ถือของเล่นออกจากห้องไปเล่นกับชุนเป่า เด็กน้อยวัยสามหนาวที่เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านลุง
“ลี่มี่ชักช้าอันใดอยู่! วันนี้ข้าจะได้กินปลาหรือไม่” เสียงแหบตะโกนดังลอดเข้ามาในห้องนอนของลี่มี่
“เจ้าค่ะท่านย่า!…เฮ้อ!”
เอาเถิด อย่างน้อยก็ถือว่าอดทนเพื่ออาหมิง
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา