วันต่อมา..
-มหาวิทยาลัย-
ดาริกาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ขณะที่ตามองจอโปรเจคเตอร์ที่อาจารย์กำลังสอน แต่ทว่าเหมือนสิ่งที่อาจารย์สอนจะไม่เข้าสมองเลยสักนิดเพราะเอาแต่คิด และกังวลเรื่องใครบางคน
"ดา"
"ยัยดา"
คิดจนไม่ได้ยินเสียงเรียกที่ดังขึ้นจนเพื่อนสาวอย่างแยมต้องยื่นมือไปหยิกแขนเบา ๆ หากถ้าเรียกดังกว่านี้เกรงอาจารย์จะได้ยิน
"อู้ยยย.."
คนถูกหยิกถึงกับสะดุ้งหน้านิ่วคิ้วขมวดรีบใช้มือลูบแขนปอย ๆ ด้วยความเจ็บ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนสาวเบา ๆ "เจ็บนะ หยิกเราทำไม"
"ก็ฉันเรียกตั้งหลายครั้งแกไม่ได้ยิน" แยมมองสบแววตาเพื่อนสาว ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางเพื่อนอีกคน "ไม่เชื่อถามมินท์ดู"
"ใช่ แยมเรียกดาตั้งหลายครั้งแล้ว" มินท์ตอบแล้วอมยิ้มนึกตลกเพื่อนทั้งสองคนที่ชอบกัดกันเป็นประจำ แต่ถามว่าทั้งสองรักกันมากไหมบอกเลยว่ามาก เพียงแค่ชอบแกล้งกันเจ็บ ๆ เท่านั้น
คราวนี้ดาริกาได้แต่ส่งยิ้มแหย่ ๆ ให้แยมกับมิ้นท์
"คิดอะไรอยู่ ที่อาจารย์สอนได้ฟังบ้างรึเปล่าเนี่ย"
แยมมองหน้าเพื่อนสาวเชิงตั้งคำถามช่วงสองสามอาทิตย์มานี้เธอเห็นเพื่อนนั่งเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้งทั้งที่ปกติจะตั้งใจเรียนมาก
"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"
"ฉันว่าไม่เรื่อยเปื่อยแล้วล่ะ ดูหน้าแกดิ" แยมค้านเพราะสีหน้าเพื่อนสาวมันฟ้องชัดว่ามีเรื่องทุกข์ใจ "เรื่องแม่ หรือเรื่องพี่ศรัณย์สุดที่รักล่ะ"
และเรื่องที่ทำให้เพื่อนสาวเป็นได้ขนาดนี้ก็มีไม่กี่อย่าง ไม่เรื่องแม่ก็เรื่องศรัณย์ผู้ชายที่เพื่อนรัก
"ระ.."
"สองคนนั้นคุยอะไรกัน"
ไม่ทันที่ดาริกาจะได้อ้าปากตอบเสียงอาจารย์ก็ดังแทรกขึ้นพร้อมด้วยแววตาดุที่จ้องมองมาทำทั้งสองรีบหันมองจอโปรเจคเตอร์
"เวลาเรียนไม่ตั้งใจ สอบตกขึ้นมาฉันจะสมน้ำหน้าให้" มิวายโดนอาจารย์ดุตอบท้ายอีก ขณะที่มิ้นท์แอบขำอยู่คนเดียว
หลังจากเลิกเรียนทั้งสามก็พากันมานั่งทำการบ้านที่อาจารย์สั่งใต้ตึกคณะมนุษยศาสตร์จนเสร็จจึงแยกย้ายกัน
ดาริกายืนหน้าตึกคณะรอรถของที่บ้านมารับเหมือนเช่นทุกวัน ทว่าเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็ไร้วี่แวว
ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ยกนาฬิกาข้อมือดูปรากฏว่าหกโมงครึ่งแล้ว เธอตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาลุงชัยคนขับรถ
"ลุงชัยอยู่ไหนแล้วคะ" กรอกเสียงลงตามสายทันทีที่ปลายสายกดรับ
(ขอโทษนะหนูดา หนูดาต้องกลับเองแล้วล่ะ ลุงถูกคุณศรัณย์สั่งไม่ให้ห้ามไปรับหนู ถ้าลุงขัดคำสั่งคุณศรัณย์จะไล่ออก)
"แล้วทำไมลุงไม่โทรมาบอกหนูสักคำล่ะคะ ปล่อยให้หนูรอจนมืด"
(คุณศรัณย์ไม่ให้โทร)
"เข้าใจแล้วค่ะ"
เธอเหยียดยิ้มออกมาราวกับตลกกับคำตอบจากลุงชัย แต่ไม่ใช่เลยมันเป็นรอยยิ้มของความเสียใจต่างหาก ไม่คิดว่าศรัณย์คนที่เธอมองว่าแสนดีมากจะใจร้ายกับเธอได้ถึงเพียงนี้
แค่เขาสั่งลุงชัยไม่ให้มารับก็ว่าใจร้ายแล้ว แต่นี่ไม่ให้โทรมาบอกด้วยปล่อยให้เธอยืนรอจนค่ำ หากเธอไม่โทรถามก็คงยืนรอโง่ ๆ ต่อไปจนดึกดื่น
เขาไม่คิดบางหรือว่าเธอเป็นผู้หญิงเดินทางกลับบ้านคนเดียวดึกดื่นอาจจะเกิดอันตรายได้ หรือคิดแต่ไม่สนใจขนาดใช้เธอเป็นของเดิมพันยังทำมาแล้วเลยนับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้
จากคนที่ใจดีที่สุดกับเธอในวันนั้นกลายเป็นคนที่ใจร้ายกับเธอที่สุดในวันนี้
น้ำสีใสพลันเออคลอดวงตาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาอ่อนแอ ขืนช้ากว่านี้รถโดยสารอาจจะหมดเธอคงได้เดินกลับบ้านแน่ ๆ รีบใช้มือเช็ดน้ำตาที่คลั่งในหน่วยออกพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ
จากนั้นก็เดินออกไปรอรถหน้ามหาวิทยาลัย เหมือนโชคของเธอยังดีอยู่บ้างเพราะจู่ ๆ ก็มีรถเก๋งคันสีดำเคลื่อนมาจอดลงริมฟุตบาทตรงหน้าเธอ
จำได้ว่ารถคันนี้เป็นรถของพี่รหัสที่เรียนอยู่ปีสาม เขาเปิดประตูลงจากรถเดินตรงมาหาเธอ
"มืด ๆ ค่ำ ๆ ทำไมยังมายืนอยู่ตรงนี้ครับ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวอันตรายนะ"
"กำลังรอรถเมล์กลับบ้านค่ะ" เธอระบายยิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นพี่หนุ่ม
"กว่ารถเมล์จะมาคงอีกนาน พี่ไปส่งดีกว่า" โจเสนอตัวเพราะรู้สึกเป็นห่วงรุ่นน้องสาว
"..."
"ถ้าน้องดาเกรงใจ งั้นไว้เลี้ยงข้าวพี่สักมื้อดีไหมครับถือเป็นค่ารถ" เมื่อเห็นรุ่นน้องสาวมีท่าทีเกรงใจจึงเสนอความคิดหวังว่าจะช่วยลดความเกรงอกเกรงใจของเธอได้บ้าง
เหมือนจะได้ผลคราวนี้รุ่นน้องสาวยิ้มออกแถมยังพยักหน้าตกลง
"ก็ได้ค่ะ"
"งั้นเชิญครับ" เขามองรุ่นน้องสาวอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้เธอเข้าไปนั่ง จากนั้นก็เดินอ้อมไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ
"น้องบอกทางพี่ด้วยนะครับ" นี่เป็นการไปส่งรุ่นน้องสาวที่บ้านครั้งแรกเขาจึงต้องให้เธอช่วยบอกทาง
"ได้ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณพี่โจมากนะคะ" ดาริกายิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณไปด้วยความซาบซึ้ง ถ้าไม่มีรุ่นพี่หนุ่มไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไรพานทำให้นึกถึงคนใจร้าย
เขามันใจร้ายที่สุด...
ร่างสูงในชุดเปียกปอนเดินกอดตัวเองเข้ามายืนหน้าบ้านด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ปากสีแดงกลายเป็นสีม่วงคล้ำเพราะความเย็นจัด ผิวขาวซีดเหมือนคนขาดเลือดเธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเอง แล้วก้มหน้าทานข้าวต่อ แอบชำเลืองมองด้วยหางตาเป็นระยะ หูคอยฟังว่าสองคนพ่อลูกพูดอะไรกันบ้าง"เดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ คุณพ่อยืนรอตรงนี้ก่อน" ได้ยินเสียงบุตรสาวบอกกล่าวกับคนเป็นพ่อ และนาทีต่อมาก็เดินมาหาเธอ"คุณแม่คะขอผ้าเช็ดตัวให้คุณพ่อหน่อยค่ะ""เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้ค่ะ" ความจริงเธอไม่อยากจะหยิบยื่นอะไรให้เขาเลย แต่มันติดตรงที่บุตรสาวนี่แหละเธอเดินขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองของบ้านหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่อยู่ในตู้มาให้บุตรสาว"นี่ค่ะ""ขอบคุณค่ะ" บุตรสาวยิ้มหวานให้เธอ แล้วรีบเอาผ้าเช็ดตัวจากมือเธอไปให้ผู้เป็นพ่อ"คุณพ่อเช็ดตัวก่อนนะคะ""ขอบคุณค่ะ" ศรัณย์ระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพลางรับผ้าเช็ดตัวมาซับตามร่างกายสั่นเทาที่เปียกปอนไปด้วยน้ำ เสร็จแล้วก็เช็ดผมต่อจนหมาด ๆ "คุณพ่อเข้ามาในบ้านสิคะ จะได้กินข้าวกัน" เด็กน้อยคาริสายื่นมือไปจับมือผู้เป็นพ่อหมายจะพาเข้าบ้านหลังจากเห็นว่าเช็ดผมเสร็จแล้ว"ไม่ได
เหมือนดาริกาจะดูถูกชายหนุ่มเกินไปเพราะผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้วเขายังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมทั้งที่ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เมฆฝนตั้งเค้า ลมพัดกระโชกเหมือนพายุจะเข้า"หนูสงสารคุณพ่อจังเลยค่ะ คุณแม่หายโกรธคุณพ่อ แล้วให้คุณพ่อเข้ามาในบ้านนะคะ" เด็กน้อยคาริสาที่ยืนมองพ่อจากหน้าต่างเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียงเศร้าดาริกาละสายตาจากคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางสนามหญ้า หันกลับมามองหน้าบุตรสาวพร้อมกับย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าพลางคว้ามือเล็กมากอบกุมไว้"ดูลูกรักและเป็นห่วงคุณพ่อมากเลยนะคะทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานเอง" เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่ค่ะ หนูรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากเลยค่ะเวลาได้อยู่กับคุณพ่อ คุณพ่อใจดีที่สุดเลยค่ะคุณพ่อมาหาหนูที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อไอศกรีมกับขนมที่หนูชอบมาฝากด้วยนะคะ พอหนูบอกว่าอยากไปดูหมูหวานคุณพ่อก็จะพาไป หนูอยากทำอะไรคุณพ่อก็ตามใจค่ะ""...""รู้ไหมคะคุณแม่เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนต่างอิจฉาหนูที่มีคุณพ่อหล่อและใจดีมาก"เสียงและสีหน้าบุตรสาวเวลาพูดถึงผู้เป็นพ่อเต็มไปด้วยความสุข แววตาทอประกายสดใสแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน บุตรสาวคงรักและภูมิใจในตัวผู้เป็นพ
บ้านหลังไม่ใหญ่มากนักสไตล์มินิมอลสองชั้น มีรั้วไม้ความสูงประมาณจมูกของเขาล้อมรอบ เดินมาหยุดหน้าประตูรั้วพร้อมทอดสายตามองเข้าไปภายในบ้านรอยยิ้มพลันผุดขึ้นประดับใบหน้าคมเข้มในตอนที่ผ้าม่านตรงหน้าต่างปลิวไปตามลมจนทำให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน สองคนแม่ลูกอยู่ที่นี่จริง ๆ เขาไม่รอช้ารีบยื่นมือไปเปิดประตูรั้วอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมันถูกล็อคจากด้านใน จึงตะโกนเรียกแทน"น้องดาครับ น้องดาได้ยินพี่ไหมครับ" เสียงอันแสนคุ้นเคยที่ดังเข้าหูทำดาริกาที่กำลังนั่งเล่นกับลูกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขมวดคิ้วมุ่น ยังแอบนึกว่าตัวเองหูแว่วเพราะไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่"หนูได้ยินเสียงคุณพ่อคะคุณแม่" จนบุตรสาวเอ่ยขึ้นอีกคนเธอจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เมื่อกี้เสียงเหมือนดังมาจากหน้าบ้าน รีบใช้มือแหวกผ้าม่านตรงหน้าต่างแล้วชะเง้อคอมองดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนเกาะรั้วอยู่ สองคิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย เขามาที่นี่ได้ยังไง แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่เพราะนอกจากพ่อแม่และพี่ชายไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่มั่นใจมากว่าครอบครัวไม่มีทางบอกกับชายหนุ่มว่า
ต่อให้เมื่อวานจะปะทะกับแม่ของลูกวันนี้ศรัณย์ยังคงมาที่โรงเรียนแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบกับบุตรสาวไหม หรือต้องเจอกับอะไร เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าง้อแม่ของลูกไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาดอีกต่อไปมาถึงห้องเรียนของบุตรสาวไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรครูประจำชั้นก็เดินออกมาบอกกล่าว "น้องริสาไม่ได้มาเรียนค่ะ""อ๋อ..ขอบคุณครับ" เขาพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถขับตรงไปยังบ้านเกียรติกมล ขับมาจอดรถแอบริมรั้วเหมือนเช่นเคย เฝ้ามองว่าสองคนแม่ลูกจะออกไปไหนบ้างเขาจะได้หาโอกาสเข้าไปคุยกับเธอทว่าผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนตะวันเริ่มคล้อยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ สรุปวันนี้เขากลับมาบ้านโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกเมียเลย ทว่าวันนี้ไม่เจอพรุ่งนี้อาจจะเจอก็ได้เขาไม่ยอมแพ้วันต่อมาก็ไปหาบุตรสาวที่โรงเรียนอีกครั้ง และได้รับคำตอบจากครูประจำชั้นแบบเดิม ความรู้สึกบอกเขาว่ามันไม่ปกติแล้ว ถ้าไม่มีอะไรบุตรสาวคงไม่ขาดเรียนติดต่อกันในช่วงที่กำลังใกล้ปิดเทอมเขาขับรถไปยังบ้านเกียรติกมล แต่ครั้งนี้ไม่ได้จอดแอบนอกรั้วเหมือนที่ผ่านมา เขาขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วแล้วลงจากรถเดินไปกดกริ่งยืนรอราวห้านาทีก็มีหญิงวัยยี่สิบปลายเดินกึ
วันต่อมาก็มาหาบุตรสาวที่โรงเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าเพื่อจะพาบุตรสาวไปดูหมูหวานตามที่ได้รับปากไว้เมื่อวานเขาขออนุญาตคุณครูประจำชั้นเรียบร้อย ก่อนจูงมือบุตรสาวเดินไปที่รถ"หนูจะได้ไปดูหมูหวานแล้ว ตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นพิเศษศรัณย์เห็นแล้วเอ็นดูยิ่งนัก เดินมาถึงรถเขาก็คลายพันธนาการจากมือเล็กล้วงไปหยิบกล่องบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าบุตรสาว"ก่อนไปลูกต้องใส่นาฬิกาเรือนนี้ก่อนนะคะ นาฬิกาเรือนนี้มีทั้งแอปติดตาม ยังสามารถโทรออกได้ด้วย เผื่อไปถึงสวนสัตว์แล้วเราเกิดผลัดหลงกันพ่อจะได้รู้พิกัดลูก และถ้ามีอะไรก็ให้ลูกกดตรงนี้มันจะโทรหาพ่อ"เขาอธิบายแล้วหยิบนาฬิกาสุดหรูออกจากกล่องสวมลงบนข้อมือเล็ก"ค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกงัก"ดีมากค่ะ" ศรัณย์กดจูบบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปเปิดประตู ผายมือเชิญบุตรสาวขึ้นรถ "เชิญค่ะเจ้าหญิงน้อย""น้องริสามาหาคุณแม่ค่ะ" ไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้ก้าวขึ้นรถน้ำเสียงดุดันก็ดังขึ้นทำให้สองคนพ่อลูกชะงักมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก'ความฉิบหายมา
หนึ่งเดือนต่อมา"คุณพ่อคะหนูอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะ หนูอยากไปดูหมูหวาน" เสียงบุตรสาวดังขึ้นทำให้ศรัณย์ที่นั่งเช็คข้อความในไลน์ละสายตาจากหน้าจอมือถือ เงยขึ้นมองบุตรสาวที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหมูหวานที่บุตรสาวหมายถึงคือฮิปโปโปเตมัสแคระที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าบุตรสาวร้องขอเขาไม่ปฏิเสธ"ได้สิคะ งั้นพรุ่งนี้พ่อพาไปดู แต่เราต้องไปกันแต่เช้าจะได้กลับมาทันก่อนโรงเรียนเลิก ไม่อย่างนั้นโดนคุณแม่จับได้แน่""โอเคค่ะ" เด็กน้อยคาริสายกมือทำท่าโอเคให้พ่อในนาม ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้เดินเข้าไปสวมกอดเอวสอบ ตั้งคางบนหน้าขา เงยหน้าขึ้นมองหน้าพ่อในนามตาปริบ ๆ "หนูรักคุณพ่อนะคะ คุณพ่ออย่าทิ้งหนูนะคะ""ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่มีวันทิ้งลูกแน่นอน"เขาระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพร้อมกับสวมกอดแนบแน่นตอนนี้ดูเหมือนบุตรสาวจะรัก และมีความผูกพันกับเขาบ้างแล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแอบมาหาบุตรสาวที่โรงเรียนทุกวันต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุตรสาวให้แน่นแฟ้น เพราะบุตรสาวเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้เข้ามีโอกาสเข้าหาคนเป็นแม่โดยที่ไม่ต้องถูกไล่ออกมายิ่งบุตรสาวรัก และผูกพันกับเขามากเท่าไรก็ยิ่ง