แต่สติของนางทั้งหมดยามนี้ไม่ได้อยู่ที่บาดแผลแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ภายในถ้ำสว่างขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด นางมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่แท่นหินใหญ่ ด้านในสุดของถ้ำ ที่อยู่ห่างจากนางเพียงสองจั้ง (1จั้ง = 3.33เมตร) เห็นจะได้
“กะ กรี๊ด อุ๊บ” เยี่ยนอิงตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา แต่ดีที่นางหลุดเสียงร้องออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่มือของนางจะตะครุบปิดปากเอาไว้ได้ทัน
บทแท่นหินมีร่างของพยัคฆ์สีขาว นอนหลับนิ่งอยู่ นางได้แต่มองจ้องอยู่นาน มันไม่ได้ขยับตัว ทั้งยังเหมือนไม่ได้สนใจการมีอยู่ของเยี่ยนอิงอีกด้วย
นางเห็นบ่อน้ำที่อยู่ใกล้กับที่พยัคฆ์ขาวนอนอยู่ พอเห็นว่ามันไม่ขยับตัวเยี่ยนอิงคิดว่ามันตายแล้ว นางจึงเดินเข้าไปอย่างใจกล้าด้วยกระหายอยากจะดื่มน้ำที่อยู่ในบ่อ และคิดจะล้างบาดแผลของนาง
“ตายแล้วเหรอ” นางมองร่างของมันอย่างสนใจ
ทั้งยังไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างได้ว่า เหตุใดแสงสว่างภายในถ้ำยังมิดับลง เยี่ยนอิงเดินเข้าไปสำรวจร่างของพยัคฆ์ขาวอย่างใจกล้า พอมองใกล้ๆ นางจึงได้ถอนหายใจออกมา
“โถ่ เพียงก้อนหินเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้เหมือนของจริงเลย” นางใช้มือตบลงไปที่หินเบาๆ ราวกับลงโทษที่มันทำให้นางตกใจก่อนหน้านี้
แต่แล้วสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้นกับเยี่ยนอิงอีกครั้ง เมื่อก้อนหินที่นางใช้มือข้างที่เปื้อนเลือดตีลงไป มันสั่นสะท้านจนปริแตกออก ทั่วทั้งถ้ำสั่นสะเทือนราวกับจะพังทลายลงมา
“นายหญิง ท่านปลดปล่อยข้าน้อยรึ” ร่างพยัคฆ์ที่เมื่อครู่ยังเป็นเพียงก้อนหิน ตอนนี้กลายเป็นพยัคฆ์ขาว จ้องมองมาทางนางอยู่ ทั้งมันยังพูดสื่อสารกับนางได้ด้วย
“หะ เฮ้ยยยยย” เยี่ยนอิงตกใจจนก้าวถอยหลัง เท้าของนางเหยียบพลาดจนล้มลงไปอยู่ภายในบ่อน้ำ
พยัคฆ์ขาวที่เห็นเช่นนั้น มันกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ถึงตัวนาง ทั้งยังคาบคอเสื้อของเยี่ยนอิงไว้พาขึ้นมาวางไว้บนแท่น
“แค่ก แค่ก” นางไอสำลักน้ำออกมาจนใบหน้าแดงก่ำ พยัคฆ์ขาวที่เห็นว่าดุร้ายมันกำลังตบลงที่หลังของนางเบาๆ
จะบอกว่าเบาแล้ว แต่น้ำหนักมือของมัน ความใหญ่โตเมื่อเทียบกับเยี่ยนอิงที่อยู่ในร่างของสตรีวัยสิบห้าหนาว ที่เหมือนเด็กเพียงสิบสองหนาวก็เจ็บจนจุกไปเลย
“พะ พอแล้ว” นางยกมือขึ้นห้าม หากมันยังช่วยตบหลังให้นางอยู่ นางคงได้ตายอีกครั้งด้วยมือของมันเป็นแน่
“ดีขึ้นแล้วรึขอรับ” มันชะโงกหน้าเข้ามาหาเยี่ยนอิงใกล้ๆ แต่เห็นใบหน้าของนางยังแดงอยู่จึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ดะ ดีแล้ว” นางถอยห่างด้วยความหวาดกลัว
“นายหญิง ท่านเป็นผู้ปลดปล่อยข้า ท่านไม่ต้องกลัวข้าขอรับ ข้าจะเป็นสัตว์เทพในปกครองของท่าน คอยดูแลท่านขอรับ” มันก้มหัวลงอย่างนอบน้อม
“หะ ห๊ะ!!! สัตว์เทพ สัตว์อะไร แล้วฉันไปปลดปล่อยตอนไหน” เยี่ยนอิงร้องเสียงหลงออกมา
“อะแฮ่ม ข้าน้อยลืมแนะนำตัว ข้าน้อยมีนามว่า เสี่ยวไป๋ เป็นสัตว์เทพที่ดูแลพื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นต้าหลี่ทั้งหมด” เสี่ยวไป๋ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างเขินอาย ก่อนจะเล่าเรื่องที่มันทำผิดไว้จนต้องถูกกักขังอยู่บนแท่นหิน จนกว่าจะพบผู้เป็นนายมาปลดปล่อยมันให้กลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิมอีกครั้ง
“ข้าน้อยแอบไปกินผลท้อสวรรค์ เมื่อครั้งที่เดินทางไปร่วมส่งเทพสงครามลงมาเวียนว่ายที่โลกมนุษย์ขอรับ” เสี่ยวไป๋เผลอเลียริมฝีปากของมัน เมื่อนึกถึงรสชาติที่หอมหวานของผลท้อ ที่นับพันปีถึงจะสุกได้สักผล
“อร่อยมากเลยเหรอ” เยี่ยนอิงเห็นสีหน้าที่เคลิบเคลิ้มของมันเลยยื่นหน้าเข้าไปถาม
“ดียิ่งขอรับ นายหญิงท่านควรจะพูดให้เหมือนคนยุคโบราณเสียหน่อย หากท่านกลับเข้าไปในหมู่บ้านน้องชายท่านได้สงสัยแน่ ว่าท่านมิใช่พี่สาวของตน”
“รู้เหรอว่าฉันไม่ใช่ฟู่เยี่ยนอิง”
“เหอะ ข้าเป็นสัตว์เทพขอรับ ตัวท่านมาจากที่ใด ทำสิ่งใดมาก่อน สัตว์เทพเช่นข้าน้อยที่ผูกพันธะกับท่านแล้ว ย่อมรับรู้และเห็นได้เช่นกัน” มันเชิดหน้าขึ้นอย่างโอ้อวด
“ว้าววว สุดยอด” เยี่ยนอิงยกนิ้วหัวแม่มือชื่นชมเสี่ยวไป๋
แม้มันไม่รู้ว่าสิ่งที่เยี่ยนอิงทำหมายความเช่นไร แต่มันก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างภูมิใจที่ได้รับคำชื่นชม
“นายหญิง ท่านลงไปแช่ตัวในบ่อก่อนขอรับ พันธสัญญาระหว่างท่านและข้าจะได้สมบูรณ์”
“บ่อนั้นรึ” เยี่ยนอิงใช้ความทรงจำของฟู่เยี่ยนอิง ในเรื่องภาษาพูดให้เข้ากับยุคของโบราณตามคำเตือนของเสี่ยวไป๋
“ใช่ขอรับ หะ หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านห้ามขึ้นมาจากน้ำก่อนเด็ดขาด” มันหลบสายตาที่จ้องมองมาของเยี่ยนอิง
“เพราะอันใด”
“ประเดี๋ยวท่านก็จะรู้ขอรับ รีบลงไปเร็วเข้า ข้ายังต้องช่วยท่านอีกหลายสิ่ง” มันใช้อุ้งเท้าดันตัวของเยี่ยนอิงให้เคลื่อนไหวตัวเสียที
นางจำต้องลงมาจากแท่นหิน แล้วมาหยุดที่หน้าบ่อน้ำ เมื่อครู่ก็เหมือนว่านางได้ลงมาแล้ว ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรสักอย่าง เยี่ยนอิงจึงเริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าออกจากร่างช้าๆ
“มะ ไม่ต้องถอด ท่านลงไปเลย ประเดี๋ยวขึ้นมา ข้าจะใช้พลังปราณทำให้ชุดของท่านแห้งเองขอรับ” เสี่ยวไป๋ยกอุ้งเท้าขึ้นปิดตา เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอิงนางเริ่มจะเปลื้องผ้าออก
“แล้วไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า” เยี่ยนอิงหันไปมองค้อนเสี่ยวไป๋ มือของนางก็ผูกเชือกรัดเอวไปด้วย
เท้าน้อยๆ ที่เปื้อนดินโคลน ทั้งยังมีรอยแผลเก่าใหม่ปรากฏออกมาให้ได้เห็น เดินลงไปในบ่อน้ำโดยไม่ลังเล ก่อนจะนั่งแช่ตามคำแนะนำของเสี่ยวไป๋
“ฮึก...” เยี่ยนอิงเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อความเจ็บปวดวิ่งตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จากที่เจ็บทนได้ ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเจ็บร้าว ราวกับว่าหากแช่ต่ออีกเพียงแค่อึดใจเดียวนางคงได้ขาดใจเป็นแน่
“อย่า!!! ขึ้นมานะขอรับ อดทนอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น” เสี่ยวไป๋กระโจนพรวดเดียวมาอยู่ด้านหลังของเยี่ยนอิง
มันใช้อุ้งเท้าสองข้างกดบ่าเล็กของนางไว้ให้นั่งลงกลับไปเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยพูดให้กำลังใจนางไม่ขาดปาก
“กรี๊ดดดดด” เยี่ยนอิงเชิดหน้าขึ้นกรีดร้องออกมาเสียงดัง
นางเจ็บเหมือนว่าร่างกายตอนนี้ได้ถูกแยกชิ้นส่วนออกจากกันแล้ว สติที่เริ่มจะพร่ามัว ก็ถูกเสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าตบลงมาเพื่อเรียกให้นางรู้สึกตัวอยู่ตลอด
เพียงครู่เดียวที่เสี่ยวไป๋บอก เห็นจะไม่มีจริง เมื่อเยี่ยนอิงนางต้องแช่ตัวนานนับกว่าชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) ดวงตาของเยี่ยนอิงปิดสนิท มีเพียงสติที่ยังรับรู้ได้ว่า ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ได้ทุเลาลงไปมากแล้ว
ดวงตาของเยี่ยนอิงค่อยๆ หรี่ขึ้น เมื่อเสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าของมันสะกิดเรียกนาง
“อืม...” ตอนนี้ภายในถ้ำมิได้สว่างเช่นก่อนหน้าที่นางจะลงมาแช่น้ำ แต่สายตาของเยี่ยนอิงก็ยังมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัดเช่นในตอนฟ้าสว่าง
“ร้ายกาจ” นางร้องออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ
“นายหญิงท่านขึ้นมาได้แล้วขอรับ ยังมิเรียบร้อยดี” เสี่ยวไป๋เอ่ยเร่งให้เยี่ยนอิงขึ้นมาจากน้ำ
พอนางขึ้นมาอยู่ริมบ่อน้ำ เสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าหน้าของมันโบกพัดเบาๆ ชุดที่เยี่ยนอิงสวมใส่อยู่ก็แห้งอย่างรวดเร็ว
“อ๊า...” นางร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง
“ท่านอย่าได้ไปร้องเช่นนี้ที่อื่นเล่า” เสี่ยวไป๋ถลึงตามองนายหญิงของมัน
ยังดีที่ตัวมันเป็นสัตว์เทพ หากบุรุษใดได้มาฟังเสียงร้องของเยี่ยนอิงยามนี้ คงได้สติไม่อยู่กับตัวเป็นแน่
“แล้วต้องทำสิ่งใดต่อ” นางเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องอื่นแทน
“ยื่นมือมาขอรับ” นางยื่นมือไปตรงหน้าของเสี่ยวไป๋อย่างว่าง่าย
พอถึงช่วงมื้อเย็น ป้าเหลียนกับอิงฮวาที่ไปรอเยี่ยนอิงอยู่หน้าห้องไม่เห็นนางจะออกมาสักที จึงได้เดินมาขอร้องเสี่ยวไป๋ให้เข้าไปตามเยี่ยนอิงนางออกมารับมื้อเย็น“นายหญิงจะไม่ออกมาจากห้องหลายวันหน่อย พวกเจ้ามิต้องเป็นห่วงนาง ข้าจะดูแลนางเอง ส่วนเรื่องภายในจวน พวกเจ้าก็จัดการไปตามเดิมที่นายหญิงเคยสั่งความไว้”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ป้าเหลียนพยักหน้าแล้วเดินไปบอกความกับลุงอีที่กำลังรอรายงานเรื่องปรับปรุงหอเหว่ยซินอยู่เสี่ยวไป๋จึงได้เรียกให้ป้าเหลียนและลุงอีตามมันเข้ามาภายในห้องโถง แล้วให้คนอื่นรออยู่ด้านนอกก่อน ด้านในห้องจึงมีแค่เสี่ยวไป๋ ซานเซิน ลุงอีและป้าเหลียนเท่านั้น“ลุงอี หากมีปัญหาปรับปรุงร้าน เจ้านำความมาบอกข้า ตอนนี้นายหญิงเก็บตัวเพื่อเลื่อนขั้นนางจะไม่ออกมาจากห้องจนกว่าจะแล้วเสร็จ”“เอ่อ...เลื่อนขั้น คุณหนูเหตุใดต้องเลื่อนขั้นขอรับ” ลุงอีที่เคยได้ยินเพียงขุนนางเท่านั้นที่จะเลื่อนขั้นได้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีงานอื่นที่สามารถเลื่อนขั้นได้มาก่อน จึงได้ถามเสี่ยวไป๋ออกมา“นายหญิง นางเป็นผู้ฝึกตน เรื่องนี้เจ้าควรจะรู้ไว้ นางคงจะต้องหายไปเก็บตัวบ่อย ต่อไปพวกเจ้าจะได้ไม่ถามให้มากความ”“ผู้ฝึกต
หลิวเพ่ยหมินมองโสมในมือด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าตอนที่เยี่ยนอิงนางพบโสม นางใช้วิธีใดในการเก็บ โสมทุกหัวที่นางนำมาขายล้วนแต่เก็บรักษาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังดูสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ จนเขาไม่อยากจะมอบให้สหายเสียแล้ว“ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ ข้าจะให้สหายมาขอบคุณเจ้าอีกครั้ง” เขายื่นตั๋วเงินห้าพันห้าร้อยตำลึงทองให้นาง“มิได้เจ้าค่ะ เป็นการทำการค้า ในเมื่อทำการแลกเปลี่ยนตามความพึงพอใจแล้ว ไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดต่อกัน แต่ข้าก็คงจะช่วยเหลือท่านได้เพียงครั้งนี้ครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงยังย้ำเรื่องที่นางไม่มีโสมขายให้หลิวเพ่ยหมินอีกแล้ว“ได้ ๆ ข้าเข้าใจแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้ง อ้อ...เจ้าคิดจะทำสิ่งใด ถึงได้ซื้อทาสมามากเช่นนี้”หลิวเพ่ยหมินเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้ ตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในจวนของนางครั้งนี้ ก็เห็นทาสที่นางซื้อมาใช้งานมากเกินกว่าห้าสิบคนแล้ว“ข้าคิดจะทำการค้าเจ้าค่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด เพียงแค่ซื้อคนเข้ามาช่วยออกความคิดก่อน” เยี่ยนอิงยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท นางไม่ถือสาเรื่องที่หลิวเพ่ยหมินยุ่งเรื่องในจวนของนางหากเป็นนางไปจวนผู้อื่น ที่มีเจ้
เมื่อนางหลับตาเข้าสมาธิ เสี่ยวไป๋มันก็วางอุ้งเท้าลงที่มือของเยี่ยนอิงที่วางอยู่บนหน้าขาของนาง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยพลังปราณในตัวช่วยเร่งจุดตันเถียนที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวอีกสี่จุดที่เหลือให้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเยี่ยนอิงเพ่งจิตไปที่จุดสีขาวทั้งห้าที่อยู่ภายในร่างกายของนาง ก่อนจะรวบรวมพลังปราณที่มีอยู่ในร่างกายทำให้จุดทั้งห้าเคลื่อนที่เข้าหากัน เมื่อมีเสี่ยวไป๋คอยปล่อยพลังปราณของมันอยู่ด้านข้างเรื่องทำให้จุดตันเถียนทั้งห้าไหลมารวมตัวกันก็ง่ายขึ้น เยี่ยนอิงไม่คิดว่าการดึงจุดตันเถียนทั้งห้าเข้ามารวมกันจะใช้เวลาจนเกือบจะถึงยามอิ๋นเลย ความรู้สึกของนางเหมือนเพียงจะผ่านมาได้เพียงสองชั่วยามเท่านั้น“ผ่านไปเร็วนัก” เยี่ยนอิงบิดขี้เกียจตามความเคยชิน“นายหญิง ท่านคงไม่รู้ว่าเวลาภายในมิติเดินเร็วกว่าด้านนอกมากนัก ด้านนอกหนึ่งวัน ภายในมิติก็ผ่านมาได้ห้าวันแล้ว”“ห๊ะ!!! ข้านั่งนิ่งๆ เช่นนี้ทุกวันได้นานเพียงนั้นเลยรึ” เยี่ยนอิงร้องออกมาด้วยความตกใจ“ขอรับ” ที่เสี่ยวไป๋ไม่ได้บอก ก็ด้วยรู้ว่าเยี่ยนอิงจะต้องตกใจเช่นนี้“ข้าก็คิดว่าเหตุใดถึงได้ดึงจุดตันเถียนได้เร็วนัก” ในตำราที่นางได้รับมาจากเสี่ยวไป๋ผู้ฝึกตนแต
ลุงอีกับเสี่ยวไป๋ ไปที่ร้านทำเครื่องเรือนต่อ ร้านเครื่องเรือนเมื่อเห็นแบบร่าง ก็มีท่าทีเช่นเดียวกับนายช่างปรับปรุงร้าน เขาขอซื้อแบบร่าง โดยเครื่องเรือนทั้งหมดในหอเหว่ยซินเขาจะทำให้โดยไม่คิดเงินแม้แต่เหรียญแดงเดียว“เรื่องนี้ข้าคงต้องไปถามผู้เป็นนายเสียก่อน” ลุงอีถอนหายใจออกมา หากเขารอบคอบสักนิด คงไม่ต้องย้อนกลับไปถามเยี่ยนอิงให้เสียเวลาเมื่อนัดแนะกันได้แล้วว่าพรุ่งนี้จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ลุงอีกับเสี่ยวไป๋จึงได้ไปที่โรงค้าทาสที่อยู่ภายในตลาดพวกเขาซื้อคนกลับมามากถึงห้าสิบห้าคน โดยแบ่งเป็นบุรุษยี่สิบคน สตรีอีกสามสิบคน สตรีทุกคนล้วนแต่ถูกคัดเลือกจากความเก่งกาจหลายๆ ด้านของนางบางคนยังเคยเป็นคณิกาอยู่ในหอนางโลมมาก่อน เสี่ยวไป๋ก็เลือกซื้อกลับมาทั้งหมด และยังหาซื้อพ่อครัวและแม่ครัวมาด้วยอีกห้าคน เพื่อนำมาฝึกทำอาหารจนถูกปากเยี่ยนอิงเสียก่อนเยี่ยนอิงที่เห็นลุงอีกับเสี่ยวไป๋ซื้อคนมามากมายก็พยักหน้าอย่างพอใจ คนที่เข้ามาใหม่ทั้งห้าสิบห้าคนต่างก็ต้องตกใจ เมื่อแรกเริ่มคนที่ซื้อพวกตนมาเป็นชายชรา แต่ยามนี้ลุงอีที่กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแล้วเป็นเพียงบุรุษวัยกลางคนจะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร“เรื่อ
เยี่ยนอิงเห็นแววตาที่กังวลของซานเซิน จึงคิดว่าเขาห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของตนเอง นางถึงได้เอ่ยออกมา“ข้าจะไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาดว่าหอเหว่ยซินเป็นการค้าของเราสองพี่น้อง เจ้าวางใจได้”“ต่อให้ผู้อื่นรู้ข้าก็ไม่กลัวว่าจะถูกมองเช่นใด เพียงแต่ว่า...ท่านเป็นสตรีต่อไปท่านจะต้องออกเรือน หากบ้านสามีรู้เข้าจะรังเกียจท่านรึไม่ หากท่านโดนรังแกข้าจะทำเช่นไร” ซานเซินเป็นห่วงพี่สาวเสียมากกว่า“หึหึ เจ้าคิดรึว่าข้าจะยอมให้ผู้ใดรังเกียจหรือรังแกข้าได้ เจ้าห่วงว่าข้าจะไปรังแกผู้ใดเถิด” เยี่ยนอิงอมยิ้มมองซานเซินอย่างแฝงไปด้วยความหมายตัวนางในตอนนี้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่เริ่มต้นก็ตาม แต่ต่อไปเล่า เรื่องความเก่งกาจของนางยังจะต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดคิดรังแกอีกรึ“ไว้ข้าโตอีกหน่อย ข้าจะออกหน้าแทนท่านเอง”“เหอะ เจ้าตั้งใจเรียนไปเลย ข้าอยากได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของเสนาบดี เจ้าทำให้พี่ได้หรือไม่เล่า” เยี่ยนอิงมองน้องชายอย่างหยอกล้อ“ข้าเพิ่งเข้าเรียนได้วันเดียว ท่านก็คาดหวังเสียสูงเช่นนี้” ซานเซินถอนหายใจออกมาแต่ภายภาคหน้าเรื่องที่สองพี่น้องหยอกล้อกันผู้ใดจะคิดว่าเป็นจริง เมื่อซานเซินกลายเป็นเสน
เยี่ยนอิงอยู่ภายในห้องร่างแบบข้าวของอยู่นาน จนลุงอีกับเสี่ยวไป๋ซื้อคนพากลับมาที่เรือน อิงฮวาจึงได้มาตามนางออกไปเพื่อตรวจดู“อืม...ใช้ได้” บุรุษวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยนอิง รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดันแต่ก็แฝงไปด้วยอำนาจในตัวหากนางไม่รู้ว่าการว่าคนผู้นี้ทำงานเป็นทาสเลี้ยงม้าอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น ถูกขายทิ้งออกมาอยู่ถึงชายแดนเหนือนางคงไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงทาสอย่างแน่นอนด้านข้างของเขายังมีสตรีรูปร่างซูบผอม ทั้งบริเวณใบหน้าของนางยังมีแผลเป็นขนาดถึงสามชุ่นอยู่ที่แก้มข้างขวา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดลงไปแม้แต่น้อย“พวกเจ้ามีนามว่าอันใด” เยี่ยนอิงเอ่ยถามเสียงเรียบ“ข้าน้อยไม่มีนามเป็นของตนเอง อยู่กับนายคนเก่าถูกเรียกว่าโก่วต้าขอรับ”“ข้าน้อยหรูหลัน เดิมเป็นนางคณิกาอยู่ที่หอเลี่ยงซิน แต่ถูกซื้อตัวไป รอยแผลที่เห็นบนใบหน้าของข้าน้อยเป็นฮูหยินของท่านใต้เท้าลงโทษ นางคงคิดว่าข้าน้อยใกล้สิ้นใจแล้วจึงได้ขายทิ้งออกมาเจ้าค่ะ” แววตาของนางเผยความเกลียดชังออกมาวูบหนึ่ง เมื่อนึกถึงผู้ที่ทิ้งรอยแผลไว้บนใบหน้าของนาง“โก่วต้า ข้าจะเปลี่ยนชื่อให้เจ้าใหม่ หรูหลันเจ้าอยากใช้น