บทที่ 12 กิจการของฟางเมี่ยว
หลายวันต่อมาฟางเมี่ยวก็ไปที่ภัตตาคารเพื่อเลือกพ่อครัวคนใหม่ นางเลือกมาได้สองคนที่มีฝีมือค่อนข้างดีเยี่ยม อีกทั้งระยะนี้นางยังจะต้องศึกษาสมุนไพรและเครื่องหอมที่ท่านแม่เคยบันทึกเอาไว้ มันไม่ง่ายเลย นางลองทำตามสูตรที่เขียนเอาไว้แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แต่นางก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งนางสามารถปรุงยาขี้ผึ้งดอกบัวออกมาได้ตามที่หวังเอาไว้
ยาทาตลับนี้มีดอกบัวและใบบัวเป็นวัตถุดิบหลัก ต้องเด็ดดอกบัวสดตัดรากอ่อนมาสองท่อนนำมาตากแห้งบดเป็นผงร่อนผ่านกระชอน ผสมน้ำใส่ลงในหม้อดินเผา อบไล่ด้วยไฟแรงสลับไฟอ่อนสองวัน นำออกมาทิ้งให้เย็นแล้วบดเป็นผง ใช้กระชอนร่อน สุดท้ายนำไปผสมกับแป้งฝุ่น ลองเอามาทาข้อมือดูถ้าไม่มีผลข้างเคียงก็ใช้ได้ ผงดอกบัวรากบัวใช้บรรเทาการอาการปวด ลดบวม ลดฟกช้ำ ในส่วนผสมยังมีชะเอมแก้อักเสบและสะระแหน่ที่เย็นทำให้ลดอาการบวมแดง สามารถใช้ทาที่ใบหน้าหรือว่าตรงที่ระบมฟกช้ำได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งนางยังทำยาสระผมออกมาได้อีกด้วย ส่วนผสมของมันมีเพียง ดอกจำปีตูม ดอกกุหลาบอย่างละห้าเฉียน สนแผง ใบหม่อน เปลือกรากโบตั๋น อย่างละสี่เฉียน แล้วจึงใส่น้ำชาค้างคืนลงไปต้มเพื่อสกัดน้ำมันสระผม จึงทำให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และสมุนไพรติดเส้นผมชวนให้สดชื่นไม่น้อย
นางคัดเลือกเครื่องประทินผิวที่พอจะใช้ได้อีกไม่น้อยมาเก็บไว้ สองวันหลังจากนั้นจึงเปิดร้านขายเครื่องประทินผิวอีกครา ลูกค้าที่ได้ยินว่ามีสินค้ามาใหม่จึงเข้ามาลองดู ฟางเมี่ยวสั่งให้ผู้ดูแลนำสินค้าขนาดทดลองใช้ไปแจกจ่ายให้ลูกค้าได้ใช้ก่อน หากติดใจค่อยมาซื้อก็ได้ อีกทั้งยังบอกอีกว่า หากลูกค้าท่านใดซื้อยาทาขี้ผึ้งและยาสระผมพร้อมกัน นางจะแถมแป้งหอมกลิ่นมะลิไปให้อีกหนึ่งตลับอีกด้วย
สินค้าวางขายได้เพียงสามวันก็หมดเกลี้ยงจนแทบไม่พอขาย ฟางเมี่ยวต้องเกณฑ์สาวใช้ที่เป็นสตรีมาช่วยกันทำ นางต้องสอนอยู่หลายวันกว่าสาวใช้พวกนั้นจะทำได้คล่องตามสูตร
"คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ"
"ขอบใจท่านมากแม่นมหลิ่ว"
"คุณหนู ระยะนี้ท่านทำงานหนักไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าอาจจะล้มป่วยเอาได้"
"แม่นมหลิ่วไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าน่ะอยากทำรายได้ให้เยอะๆ"
"คุณหนูเติบโตแล้วจริงๆ"
"แน่นอนสิ ข้าน่ะเติบโตแล้ว อ้อ เรื่องสวนดอกไม้ที่บ้านสวนของท่านแม่จัดการไปถึงไหนแล้ว"
"บ่าวให้คนจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เหลือเพียงคุณหนูเดินทางไปเท่านั้น"
"ดี อีกสักสิบห้าวันข้าจะไป จะได้ดูว่าดอกไม้ที่นั่นเติบโตงดงามเพียงใด ข้าจะได้นำมาทำแป้งหอมประจำฤดูกาล"
"เจ้าค่ะ คุณหนู"
ฟางเมี่ยวบิดขี้เกียจไปมาด้วยความเมื่อยล้า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาบิดาตนที่เรือนใหญ่ เสนาบดีฟางเหลียนที่กำลังอ่านตำราเมื่อเห็นว่าบุตรสาวมาหาก็วางตำราในมือลง ก่อนจะเอ่ย
"เมี่ยวเอ๋อร์"
"ท่านพ่อ ลูกนำขนมดอกกุ้ยมาให้เจ้าค่ะ"
"โอวว ดียิ่งนัก นั่งลงก่อนเถิด"
ฟางเมี่ยวทิ้งกายนั่งลง ก่อนจะเอ่ยกับบิดาอย่างไม่รีรอ
"อีกสิบห้าวันลูกจะเดินทางไปบ้านสวนเจ้าค่ะ"
"ไปทำไมกัน?"
"มีเรื่องให้ต้องจัดการเกี่ยวกับที่นั่นเจ้าค่ะ"
"พาคนติดตามไปเยอะๆ หน่อยเล่า เมี่ยวเอ๋อร์ ได้ยินว่าระยะนี้กิจการเจ้าทำรายได้ไม่น้อยเลย"
"ข่าวถึงหูท่านพ่อรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ทราบว่าอนุนางใดคาบข่าวมาบอกหรือเจ้าคะ"
เสนาบดีฟางเหลียนสะดุ้งโหยง ก่อนจะเอ่ย
"ไม่มีหรอก กิจการเจ้ารุ่งเรืองผู้คนเล่าลือกันปากต่อปาก"
"อ้อ ยามนี้ลูกหาเงินได้แล้ว ช่างดีนัก ลูกขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"
"พอดีเลย พ่อก็จะไปข้างนอกเช่นกัน"
"ไปที่ใดหรือเจ้าคะ"
"ไปที่ค่ายทหารน่ะ ยามนี้ยังจัดการเรื่องภาษีและค่ายุทโธปกรณ์ไม่แล้วเสร็จเลย ใกล้จะมีสงครามอีกคราแล้ว คงจะวุ่นวายไม่น้อย"
"สงครามหรือเจ้าคะ?"
"ก็ใช่น่ะสิ กบฏเหลียงไท่น่ะยกทัพมาที่ชายแดนอีกแล้ว พ่อต้องเตรียมจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ แล้วนำไปกราบทูลแก่ฝ่าบาท"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยกับบิดาตนทันที
"ลูกไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ไปทำไมกัน"
"ลูกเบื่อน่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างลูกซื้อขนมมาเยอะเลย อยากเอาไปแบ่งปันให้ทหารในค่ายได้กินเจ้าค่ะ ท่านพ่อก็ออกหน้าแทนลูก นำขนมไปฝากพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกขอเพียงได้ติดตามท่านพ่อไปเปิดหูเปิดตาเพียงเท่านั้น"
"เมี่ยวเอ๋อร์ ในขนมนั่นเจ้าคงไม่ได้ใส่ของพิสดารลงไปใช่หรือไม่?"
"ท่านพ่อ!!!"
"ไปเถิด รีบไปกัน"
ฟางเมี่ยวสั่งให้ลู่ชิงและสาวใช้อีกหลายนางนำขนมใส่กล่องไปร่วมหลายสิบกล่อง ในกล่องมีขนมหลากหลายที่นางซื้อมา เมื่อมาถึงที่ค่ายทหารเสนาบดีฟางเหลียนก็จัดการนำขนมนั้นไป ส่วนอีกกล่องที่เหลือยามนี้มันอยู่ในมือฟางเมี่ยว
"เมี่ยวเอ๋อร์ อย่าเที่ยวเดินไปเรื่อยเล่า เจ้านำป้ายนี้ติดกายไว้ พวกเขาจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวข้า"
เสนาบดีฟางเหลียนมอบป้ายประจำตำแหน่งให้บุตรสาวนำติดตัวเอาไว้ระหว่างที่อยู่ในค่ายทหาร เดิมทียามที่ไม่ได้เข้าวังหลวงป้ายนี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใดมากนัก เพียงมีไว้ประดับบารมีก็เท่านั้น
"ได้เจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวยิ้มพร้อมกับรับป้ายนั้นมาถือเอาไว้ ก่อนจะพาลู่ชิงเดินไปยังที่หนึ่ง
นางจำได้ว่าชาติที่แล้ว หลี่เยี่ยนเฉินมักจะชอบอยู่ที่ลานขี่ม้าในค่ายทหาร ที่นางจำได้เพราะชาติที่แล้วนางมักจะติดตามท่านพ่อมาที่นี่เพราะอยากพบกับเย่จิ้นหยาง ทุกคราเย่จิ้นหยางมักจะขี่ม้ากับหลี่เยี่ยนเฉิน
นางจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นพร้อมกับขนมในมือทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าหลี่เยี่ยนเฉินเพิ่งจะกระโดดลงจากหลังม้า ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย ฟางเมี่ยวราวกับตกอยู่ในความฝัน นางจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา
ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน!!!
หลี่เยี่ยนเฉินรับรู้ได้ว่าถูกคนจ้องมอง เขาจึงหันมา ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
สตรีหน้าไม่อายผู้นั้นมาที่นี่ทำไมกัน!!!
เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นฟางเมี่ยวเพื่อหวังจะเดินหนีจากนาง แต่ทว่าฟางเมี่ยวกลับวิ่งมาตรงหน้าเขา แล้วยื่นกล่องขนมมาตรงหน้าเขาพร้อมกับยิ้มตาหยี
"พี่เยี่ยน เหนื่อยหรือไม่ มากินขนมก่อนเถิด ข้าตั้งใจนำมาให้ท่านเลยนะเจ้าคะ ขนมร้านนี้อร่อยมากๆ"
หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองกล่องขนมในมือของฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่หิว เจ้าเก็บไว้กินเองเถิด"
"เดี๋ยวสิ ลองชิมสักชิ้นสิเจ้าคะพี่เยี่ยน"
หลี่เยี่ยนเฉินรู้สึกขนลุกขนชันอย่างบอกไม่ถูก วาจาไพเราะที่ออกจากปากนางเช่นนี้เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย หรือว่าสมองนางมีปัญหากันแน่!!!
หรือดื่มสุราจนเลอะเลือนไปแล้ว!!!
"พี่เยี่ยน"
"ฟางเมี่ยว เจ้าต้องการสิ่งใดจากข้ากันแน่ ปกติเจ้าไม่เคยเรียกข้าเช่นนี้ หรือว่าสติเจ้าเลอะเลือนไปแล้ว ลงแดงใช่หรือไม่ ยามที่กลับมาข้าได้ยินว่าเจ้าชอบดื่มสุรา เจ้าคงลงแดงจนมีอาการทางประสาทสินะ รออยู่ตรงนี้เถิด ข้าจะให้คนนำสุรามาให้เจ้า"
ฟางเมี่ยวอ้าปากค้าง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
นี่เขาคิดว่าที่นางทำดีกับเขาเพราะนางลงแดงอย่างนั้นหรือ?
ให้ตายเถอะ ก็ช่างจะคิดออกมาได้!!!
"พี่เยี่ยน ข้าไม่ได้ดื่มสุรามานานแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ข้ากำลังวุ่นวายอยู่กับกิจการที่มี"
"เจ้าออกจากจวนไปทำงานด้วยหรือ?"
"เจ้าค่ะ"
"ฟางเมี่ยว เจ้าไปบำบัดเถิด!!!"
"อ้าว!!! พี่เยี่ยน มากินขนมก่อนสิ!! หลี่เยี่ยนเฉิน ข้าโมโหแล้วนะ!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินเดินหนีนางมา แต่นางก็ยังตามเขาไม่ลดละ จนเดินมาถึงศาลาริมสระน้ำที่ตั้งเอาไว้ให้เหล่าทหารได้มานั่งผ่อนคลาย เขาจึงหันมาเอ่ยกับนาง
"จะตามข้าอีกนานหรือไม่ แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่?"
"พี่เยี่ยน ข้าก็บอกแล้วว่าข้านำขนมมาให้ท่าน อ้อ ข้านำมาแบ่งให้ทหารของท่านด้วยนะเจ้าคะ"
"แบ่งทหารข้า!!!"
"เจ้าค่ะ"
ผีเข้านางหรือไรกัน!!! ปกติห่วงแต่เอาเงินไปเข้าโรงพนัน
"พี่เยี่ยน หากท่านไม่กินขนมนี่ ข้าจะไม่ยอมไป"
"เช่นนั้นเจ้าก็ยืนต่อไปเถิด ข้ามีงานต้องสะสางอีกมาก"
"พี่เยี่ยน ฮึก ฮือออ!!!"
"นี่ เจ้าร้องไห้ทำไมกัน!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินที่เห็นว่าฟางเมี่ยวเริ่มร้องไห้ดังขึ้นก็เริ่มร้อนใจ เหล่าทหารที่ผ่านไปมาต่างมองเขาเป็นตาเดียว
"หยุดร้องนะ เดี๋ยวผู้อื่นก็คิดว่าข้ารังแกเจ้า"
"ฮืออออ"
"กินแล้ว ข้ากินแล้ว!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินหมดหนทางแล้ว ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มพลางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะเปิดกล่องขนมและนำขนมที่จัดไว้ในจานอย่างสวยงามออกมาวางให้เขา หลี่เยี่ยนเฉินรับไปกัดกินคำหนึ่ง รสชาติขนมของนางค่อนข้างดีเป็นอย่างมาก
"อีกสักชิ้นสิเจ้าคะ"
"ข้าอิ่มแล้ว"
"ฮึก"
"อีกชิ้นก็ได้"
เมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวเริ่มเบ้หน้าทำท่าว่าจะร้องไห้ออกมาอีกครา เขาก็จำต้องยื่นมือมาหยิบขนมกินอีกชิ้น
ให้ตายเถิด!!! ฟางเมี่ยวเจ้ากำลังรังแกข้าอยู่รู้หรือไม่?
"กินสิ่งใดกันอยู่หรือ น่าอร่อยยิ่งนัก"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่ง ทำให้ฟางเมี่ยวต้องหันไปมอง ก่อนจะลอบสบถออกมา
มาทำไมกัน ตามเป็นผีเลย กลับหลุมไปเสียเย่จิ้นหยาง!!!
"อ้าว คุณหนูฟาง"
ฟางเมี่ยวลุกขึ้นยืนก่อนจะทำความเคารพเย่จิ้นหยางด้วยใบหน้าเรียบเฉย เย่จิ้นหยางมองขนมในจานที่วางอยู่ ก่อนจะเอ่ย
"ขนมนี่น่ากินยิ่งนัก เจ้านำมาหรือคุณหนูฟาง ข้าเห็นบิดาเจ้าแจกจ่ายขนมให้เหล่าทหารเมื่อครู่นี้ เป็นขนมแบบเดียวกับในจานนี่เลย เจ้าช่างมีน้ำใจยิ่งนัก"
"เจ้าค่ะ นอกจากนำมาให้เหล่าทหารกล้าแล้ว หม่อมฉันยังนำมาให้พี่เยี่ยนได้ชิมเป็นพิเศษอีกด้วย"
"อ้อ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะอาเยี่ยนว่าเจ้ากับคุณหนูฟางสนิทสนมกันถึงเพียงนี้"
หลี่เยี่ยนเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใด ฟางเมี่ยวเองก็เงียบงันเช่นกัน เย่จิ้นหยางจึงเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบก่อน
"ขนมนี่น่าอร่อย ข้ายังไม่ได้กินสิ่งใดรองท้องมาเลย ขอลองชิมสักชิ้นเถิดว่ารสชาติดีหรือไม่?"
เย่จิ้นหยางชี้มือไปที่ขนมดอกกุ้ยที่เหลืออยู่สองชิ้นในจาน ในขณะที่เย่จิ้นหยางกำลังจะยื่นมือมาหยิบ ฟางเมี่ยวก็รีบชิงหยิบขนมสองชิ้นนั้นยัดเข้าปากตนอย่างรวดเร็ว
ฝันไปเถิดเย่จิ้นหยาง!!! ข้าไม่ให้เจ้ากินหรอก!!!
การกระทำของนางรวดเร็วเสียจนเย่จิ้นหยางและหลี่เยี่ยนเฉินที่ได้เห็นต่างมองหน้าพลางอ้าปากค้าง
นางยัดขนมเข้าปากจนแก้มป่องเป็นปลาปักเป้าเลย!!!
"ขออภัยเพคะ โฮะ ขนมนี่ไม่อร่อยเลย อันอ้ามอ้ออ!!"
ฟางเมี่ยวทำความเคารพเย่จิ้นหยางอย่างลวกๆ ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วไม่ได้สนใจมารยาทใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เย่จิ้นหยางหันมามองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก
"อาเยี่ยน เจ้าเห็นหรือไม่ นางยัดขนมชิ้นใหญ่เข้าปากสองชิ้นเลย นางทำได้เช่นไรกัน?"
"ข้าเห็นแล้ว"
"ข้ายังไม่ได้กินเลย"
"เจ้ายังจะอยากกินของนางอีกหรือ?"
"กินไม่ได้หรือ?"
หลี่เยี่ยนเฉินถอนหายใจออกมาอีกครา เหตุใดชาตินี้ทุกคนจึงมีนิสัยประหลาดกว่าชาติก่อนกันนะ!!!
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย