เมื่อผู้ใหญ่ทุกคนปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยพวกเขาก็เริ่มกินอาหารกันอีกครั้ง อันอันเองก็พึงพอใจกับอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมากเพราะนางมีพี่ชายต่างผลัดกันเอาใจ
ในขณะที่เด็กหญิงกำลังมีความสุขกับการกิน จู่ ๆ ก็มีเสียงคล้ายเด็กเล็กดังขึ้นมาในหัวของเจ้าตัว “เด็กน้อยเจ้าลืมข้า” เสียงนั้นกล่าวตัดพ้อ
ทำให้อันอันชะงักตะเกียบในมือทันที พลางคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงของใครกัน “ฮือ ๆ เจ้าเด็กใจร้ายเจ้ากล้าลืมข้าได้ยังไง” กุยเฮยกล่าวเสียงเครือ
“ตายแล้ว!” เด็กหญิงอุทานวางตะเกียบในมือลงทันที หันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาสหายเทพตัวน้อย
การกระทำของเด็กน้อยได้เรียกความสนใจจากบุคคลที่นั่งอยู่ด้วยกันเป็นอย่างมาก
“ลูกรักเจ้าเป็นอะไร มองหาอะไรอย่างนั้นหรือ” หยวนฟานถามบุตรีด้วยความสงสัย
“วันนี้ตอนที่ข้าเดินเข้าไปในโพรงแห่งนั้น ข้าไปเจอเต่าน้อยตัวหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าคิดจะนำกลับมาด้วยแต่ว่าในระหว่างวิ่งหนี ดูเหมือนว่าจะทำเจ้าตัวน้อยหายไป ดะ..ดังนั้นลูกก็เลยตกใจเมื่อนึกขึ้นได้” อันอันกล่าวออกมาโดยไม่คิดบอกว่าเต่าที่ว่านั้นเป็นถึงสัตว์เทพ
สีหน้าเสียใจของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้ทั้งผู้ใหญ่และพี่ชายคนใหม่ทั้งสองรู้สึกไม่มีความสุข ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความเงียบ
อานเจิงจึงได้กระซิบข้างหูเด็กหญิง “ข้าจะพาเจ้าไปนำเต่าน้อยกลับมาดีหรือไม่” แม้เสียงของเขาจะแผ่วเบา
แต่สำหรับผู้ที่นั่งอยู่ใกล้เคียงอย่างยงฮ่าวกลับได้ยินอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธอย่างยงเผยและศิษย์เอกทั้งสอง
ชายหนุ่มผู้ไว้หนวดจึงได้ส่งเสียงกระแอมออกมา พลางมองไปยังใบหน้าของบุตรชายที่เงยหน้ามองตนพอดี
เขาจึงได้พูดขึ้นเสียงเบา “เจ้ายังไม่เข็ดหรือ” คำถามนี้ทำให้เด็กชายหน้ามุ่ยลงอย่างไม่พอใจ
ด้านหนิงอันดวงตาเป็นประกายเพียงแวบเดียวแต่แล้วก็ฉายแววผิดหวังอีกครั้ง ‘ตรงนั้นเป็นถ้ำงูเลยนะหากไปอีกครั้งเธอจะไม่กลายเป็นอาหารของมันหรอกหรือ’
ในระหว่างที่กำลังคิดอย่างวุ่นวายกุยเฮยก็ส่งเสียงออกมาอีก ‘เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าสามารถสั่งมันได้’ คำพูดของเต่าตัวน้อยทำให้หนิงอันฉุกคิดขึ้นอย่างโมโห
‘กุยเฮย ในเมื่อเจ้าสั่งมันได้เหตุใดไม่บอกให้เร็วกว่านี้ปล่อยให้ข้าตกใจกลัวแทบตาย เท่านั้นยังไม่พอยังทำให้ข้าวิ่งหนีซะป่าราบอีก เหอะ..เจ้าก็จงอยู่ที่นั่นต่อไปอีกสองสามวันเป็นอย่างไร’ อันอันกล่าวเสียงลอดไรฟันในใจอย่างโกรธแค้น
เต่าตัวน้อยรู้สึกน้ำตาตกในพลางคิดว่าเขาช่างทุ่มหินทับเท้าตนเองโดยแท้[1] ดังนั้นมันจึงคิดหาวิธีหลอกล่อเด็กหญิงผู้เป็นนายคนใหม่ต่อไป
‘เด็กน้อยข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าขอโทษ เจ้าจะทิ้งข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ทว่าเจ้าจะตัดใจทิ้งเทพเจ้าแห่งชีวิตได้เชียวเหรอช่างน่าเสียดายโดยแท้เพราะมันอยู่กับข้าก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้’ หลังจบประโยคนี้เต่าน้อยก็ถอนใจออกมา
หนิงอันเริ่มนั่งไม่ติดเสียแล้ว “ลูกรักหากเจ้าเสียดายเต่าตัวนั้นเอาเช่นนี้ดีหรือไม่รอให้พ่อจัดการเรื่องที่ดินเรียบร้อยค่อยพาเจ้าเข้าป่าอีกครั้ง” หยูเจียงเอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งหน้าเศร้า
ครั้นแล้วก็มีเสียงห้ามของชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา “อย่าหาว่าข้ายุ่งเลยนะน้องเจียงป่าบนภูเขาในช่วงนี้ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก เนื่องจากอาจจะมีหมาป่าออกมาหาอาหารข้าคิดว่ารอให้พ้นช่วงเหมันต์นี้ไปก่อนจะดีกว่า” หนิงอันฟังคำกล่าวนี้ก็คิดว่ามีเหตุผล
แม้จะรู้สึกเสียดายของมีค่าแต่การมีชีวิตอยู่นั้นย่อมสำคัญที่สุด ‘เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าท่านลุงหรานบอกว่าให้พ้นช่วงหน้าหนาวนี้ไปก่อนถึงจะให้ข้าเข้าป่าได้’ หนิงอันสื่อสารกับเต่าน้อยทันที
‘มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก หากเจ้ารีบมารับข้านะข้าจะช่วยให้พวกเจ้าและคนเหล่านี้มีเนื้อกินด้วย’ กุยเฮยเริ่มขายตัวเองออกมาอีก
‘มีเนื้อกินด้วยอย่างนั้นเหรอ จะเพียงพอให้ทุกคนได้กินไหมชาวบ้านมีอยู่สามสิบกว่าหลังคาเรือน หากได้กินไม่ทั่วถึงข้าก็ไม่ต้องการ’ หนิงอันรีบแย้ง
‘เจ้าเด็กโลภมาก เอาเถอะในเมื่อเจ้ามีแก่ใจนึกถึงคนอื่นข้าจะสงเคราะห์ช่วยเหลือก็ได้ ดังนั้นเจ้ารีบมารับข้าเถอะ’ กุยเฮยอ้อนวอน
หนิงอันนิ่งเงียบไป จากนั้นก็เริ่มกินอาหารของตนต่อโดยที่ผู้ใหญ่แต่ละคนต่างพากันคิดว่าเด็กหญิงคงจะตัดใจได้แล้ว หารู้ไหมว่านางกำลังคิดหาวิธีอยู่ต่างหาก
หลังมื้ออาหารสิ้นสุดลง “ข้าจะไปส่งเจ้ากับลูก” ยงเผยบอกกับภรรยาสาวโดยไม่รอให้นางตอบรับชายหนุ่มก็จัดแจงส่งเด็กชายขึ้นหลังม้าไปก่อน
หมิงจูคร้านจะโต้เถียงกับคนหน้าด้าน และดูเหมือนว่าบุตรชายจะมีความสุขในการขี่ม้าจึงทำให้นางพูดไม่ออก
เมื่อถึงบ้านหลังเล็กของตน หญิงสาวก็คิดจะเอ่ยปากไล่กระนั้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังอุ้มบุตรตัวน้อยที่กำลังหลับอย่างเอาใจใส่นางก็พูดไม่ออกอีกครั้ง
“ท่านพาเขาไปวางบนเตียงนั้นเถอะ” เสียงของนางอ่อนลงยามเมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายของบุตรชายตัวน้อย
ยงเผยจัดแจงวางเด็กชายลงบนที่นอนพร้อมกับห่มผ้าผืนหนาให้กับเจ้าตัวเล็ก จากนั้นชายหนุ่มจึงสำรวจห้องที่ไม่มีอะไรเลยและยังพร้อมจะพังลงมาได้ทุกเมื่อสีหน้าหม่นลง
ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมา “หมิงจูเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้ากับลูกได้โปรดบอกข้าเถอะต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะอภัยให้คนโง่ผู้นี้” น้ำเสียงของเขาเศร้าโศกเช่นเดียวกับใบหน้า
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ” หญิงสาวย้อนถามใบหน้านิ่งเฉย
“เจ้าช่วยฟังข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่ หากว่าเมื่อเจ้าฟังแล้วไม่คิดจะยกโทษให้ข้าพร้อมที่จะยอมรับ ขอเพียงอย่างเดียวเจ้าอย่าได้ตัดรอนไมตรีในการดูแลบุตรก็พอ” ยงเผยเว้าวอนอย่างสำนึกผิด
เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งสองอีกครั้ง ก่อนที่หมิงจูจะถอนหายใจยาว
“ท่านลองพูดมา ในตอนนั้นส่วนหนึ่งข้าเองก็ผิดที่ตัดสิน ใจหุนหันไม่ว่าอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ว่าแต่ฮูหยินของท่านนางไปไหนเสียแล้วล่ะ” คำกล่าวนี้ดั่งสายฟ้าฟาดเข้ากลางใจของยงเผย
“ฮูหยินของข้าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีเจ้าเพียงคนเดียวมาตลอด อีกอย่างตอนนี้ข้าลาออกจากการเป็นทหารแล้วเจ้าผิดหวังหรือไม่ที่จะเป็นเพียงภรรยาของคนธรรมดา” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างหนักแน่นเสียงดังฟังชัด
“ท่านหมายความว่ายังไง ในตอนนั้นที่ข้าหอบลูกหนีออกมาไม่ใช่ว่าแม่ของท่านบอกว่าจะให้ท่านแต่งงานกับแม่นางที่สมกันหรอกหรือ ในตอนนั้นนางยังเอาหนังสือหย่ามาให้ข้าดูด้วย” หมิงจูพูดขึ้นเสียงสั่นน้ำตาร่วงเผาะดุจไข่มุกเม็ดงาม
ย้อนกลับไปตอนนั้นนางเพิ่งจะคลอดบุตรได้สามเดือน สามีของนางอยู่แนวหน้าหลังได้ข่าวว่าทหารของเขาชนะกำลังเดินทางกลับแม่สามีใจร้ายผู้นั้นก็เดินถือหนังสือหย่าเข้ามา
“เจ้าจงไปให้พ้นจากจวนของข้าซะ เผยเอ๋อร์ชนะศึกกลับมาในครั้งนี้เขาได้รับพระราชทานสมรสให้แต่งขุนหนูสูงศักดิ์คนหนึ่งเป็นภรรยาเอก เจ้ามันก็แค่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าอย่าได้อยู่ถ่วงความเจริญของเขาเลย
ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะใจร้ายนัก เนื่องจากบุตรของเจ้าเป็นชาย ยังไงก็ถือว่าเป็นเลือดเนื้อสกุลยงของเรา ข้าจะรับเลี้ยงเขาเอาไว้ก็แล้วกัน ดังนั้นเจ้าก็จงนำตั๋วเงินจำนวนนี้แล้วรีบไสหัวไปให้ไกลก่อนเขากลับมา” คำพูดแสนร้ายกาจยังคงดังก้องอยู่ในหูของตนมาจนกระทั่งถึงวันนี้
ในตอนนั้นนางต้องออกอุบายสารพัดเพื่อให้บุตรชาย อยู่ข้างกาย เมื่อสบโอกาสในวันที่กองทัพเดินทางกลับจึงได้ถือโอกาสหนีออกมา จู่ ๆ เหตุใดชายคนนี้จึงได้มาบอกว่าเขาไม่ได้แต่งใครเข้าไปแทนตนกัน อีกทั้งยังลาออกอีกด้วย
“เจ้าจงฟังข้านะเรื่องพระราชทานสมรสนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ข้าได้ปฏิเสธออกไปในทันทีเช่นเดียวกันโดยแลกกับการลาออกจากราชสำนัก เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่ของข้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
แต่นางไม่พอใจแล้วอย่างไรเนื่องจากชีวิตเป็นของข้า ส่วนเรื่องความกตัญญูนั้นข้าเองก็ตอบแทนนางมามากพอแล้ว เมื่อกลับถึงจวนและพบว่าเจ้าหนีไปข้าสืบหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ดังนั้นเส้นความอดทนของข้ากับมารดาจึงไม่สามารถประสานกันได้อีก ข้าผู้เป็นบุตรคนที่นางไม่เคยรักเหตุใดข้าจะต้องทนอยู่ เมื่อเจ้าไม่อยู่ชีวิตข้าก็ไร้ความหมาย
ข้าจึงได้ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างนอกประทังชีพด้วยอาชีพต่อรถม้าขายและรับสอนวิชาเล็ก ๆ น้อย ๆ กระทั่งมีศิษย์เอกสองคนกำลังจะมีคนที่สามก็คือหยูหนิงอัน
หมิงจูเจ้าเชื่อข้าเถอะ ไม่มีวันไหนที่ข้าจะหลงลืมเจ้า ข้าเที่ยวตามหาเจ้าไปจนแทบจะพลิกแผ่นดินเมืองหลวง
ทว่าเจ้ากลับหนีข้ามาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหอบบุตรตัวน้อยเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้” ชายหนุ่มถือโอกาสจับมือของหญิงสาวกล่าวแสดงความจริงใจ
“เรื่องที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวถามคล้ายคนละเมอนางแทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยินนี้จะเป็นจริง
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือไร อยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งมีบุตรข้าหาเคยผิดคำพูดกับเจ้าไม่” ยงเผยกล่าวอย่างหนักแน่น
“แล้วผู้หญิงคนนั้นนางทำอย่างไรหลังจากท่านปฏิเสธ” ที่หมิงจูถามเช่นนี้เป็นเพราะหญิงสาวคนนั้นก็มีส่วนทำให้นางตัดสินใจพาบุตรหนี
“เชอะผู้หญิงร้ายกาจเช่นนั้น ในเมื่ออยากมีสามีจนตัวสั่น ข้ายงเผยจะยอมให้นางมาจูงจมูกได้อย่างนั้นเหรอ คิดจะวางยาข้าในงานเลี้ยงข้าก็เลยตลบหลังเข้าให้
ป่านนี้นางคงมีความสุขที่ได้เป็นอนุคนที่สิบสามของขุนนางเฒ่ากรมเสนาบดีไปแล้วกระมั้ง เจ้าอย่าได้ถามถึงนางเลยมาพูดเรื่องของเราเถอะ เจ้าหายโกรธข้าหรือยัง” ยงเผยกล่าวเสียงหยันยามนึกถึงหญิงสารเลวคนนั้น
“ท่านพูดอะไรออกมา เราทั้งสองหย่ากันแล้วเผื่อท่านลืม” หมิงจูแกะมือหนาของเขาใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อกับคำพูดหน้าไม่อายของคนผู้นี้
“เจ้าได้ดูดีหรือยังว่านั่นคือหนังสือหย่าจริงหรือไม่ เพราะข้าจำไม่ได้ว่าได้เขียนหนังสือหย่ามาก่อน” ยงเผยหยอกล้อพลางเชยคางของภรรยาให้สบตากับตน
“ระ...เรื่องนี้” หมิงจูยังพูดไม่ทันจบนางก็ถูกปากของชายร่างใหญ่ประกบลงมายังริมฝีปากบางอย่างไม่ทันตั้งตัว
ยงเผยค่อย ๆ ละเลียดชิมความหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานานอย่างหิวกระหายหนวดเคราของเขาทำให้แก้มของหญิงสาวรู้สึกระคายเคืองทำให้มือน้อยของนางทุบเข้าไปที่แผงอกของชายหนุ่มอย่างแรง
ยงเผยจำต้องถอนปากของตนออกสุดแสนจะเสียดาย “ท่านทำข้าเจ็บ” หญิงงามก้มหน้างุดพูดขึ้นก่อนจะรีบลุกเดินหายเข้าไปในห้องนอน
ยงเผยผู้กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาน หลังได้ยินคำกล่าวของนาง ชายหนุ่มจึงได้ลูบหนวดเคราของตนก็พบว่ามันช่างเป็นดั่งคำของภรรยาสาวกล่าว
ไม่รอช้าชายหนุ่มจึงได้หยิบมีดพกของตนแล้วก้าวเท้าเดินออกมาหน้าเรือนเล็กแห่งนี้
เช้าวันต่อมายงฮ่าวลืมตาตื่นก็พบว่าที่นอนข้างกายไร้ซึ่งร่างของมารดา เด็กชายจึงลุกจากที่นอนทันทีพร้อมกับพับผ้าห่มอย่างเรียบร้อย
หลังจากเขาเดินออกมาจากห้องนอนเด็กชายก็พบเข้ากับชายแปลกหน้าทำให้เขาเบิกตากว้างมองชายหนุ่มร่างสูงอย่างตกใจ “ท่านเป็นใคร” เด็กชายตวาดถามออกมาเสียงดัง
ยงเผยมองบุตรชายตัวน้อยนัยน์ตาฉายแววแห่งความสนุก “ข้าก็คือบิดาของเจ้าอย่างไรล่ะ” เขากล่าวเสียงอ่อน
ยงฮ่าวเริ่มรู้สึกสับสน ‘เหตุใดมีแต่คนมาบอกว่าเป็นบิดาเขาอีกแล้วล่ะ จะว่าไปชายคนนี้ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเพียงแต่ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาและดูรูปงามกว่าตาหนวดคนนั้น’
ในขณะที่เด็กชายกำลังตกตะกอนความคิดของตนอยู่ ก็ได้ยินเสียงของมารดาพูดขึ้นเสียก่อน “ฮ่าวเอ๋อร์เจ้าล้างหน้าแล้วหรือยัง” เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำอุ่นทันที
ยงเผยยกมุมปากของตนขึ้นสูงดวงตาพราวระยับขบขันท่าทางคล้ายหนูหวาดกลัวแมวของเด็กชาย ทำให้เขาเดินตามเจ้าตัวน้อยเข้าไปด้านในด้วย
ชายหนุ่มนั่งยองต่อหน้าของเด็กน้อยผู้ที่ทำเป็นไม่สนใจตน หลังจากที่ยงฮ่าวคิดทบทวนแล้วพบว่าชายคนนี้ก็คือลุงหนวดคนเมื่อวาน
“หากเจ้าอยากเข้าป่าข้าจะพาไป” ยงเผยยังไม่แทนตัวเองว่าพ่อเนื่องจากเขาอยากให้เวลาเด็กคนนี้ในการปรับตัว
“พูดจริงเหรอ” เด็กน้อยถามอย่างกังขาหลังจากบ้วนน้ำในปากทิ้ง “ข้ายงเผยพูดคำไหนคำนั้น” ชายหนุ่มตบอกตัวเองกล่าวเน้นหนัก
“ดี ข้าจะยอมเชื่อท่าน” เด็กน้อยพูดพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ
เมื่อมื้อแรกของวันจบลงเด็กชายจึงได้ดึงชายเสื้อบุนวมของชายหนุ่มร่างสูงเป็นการย้ำเตือนให้หาหนทางเพื่อเข้าป่า
“จูเอ๋อร์ ข้าจะพาเสี่ยวฮ่าวไปหาท่านหยูนะ” ยงเผยบอกกับภรรยาสาวอย่างเกรงใจ
เนื่องจากเขาเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักว่าหญิงสาวให้อภัยตนแล้วหรือไม่ในความผิดที่เกิดจากน้ำมือของผู้อื่นทั้งนั้น
หญิงสาวปรายตามองสองพ่อลูกเล็กน้อย “เจ้าห้ามซนเด็ดขาดหาไม่อย่าหาว่าแม่ใจร้าย” เสียงของมารดานั้นช่างเย็นเยียบเสียเหลือเกินในความคิดของเด็กชาย
“ขอรับ” ยงฮ่าวตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“ท่านเองก็ด้วย อย่าตามใจเขาจนเกินไปเล่า” หลังกำชับลูกหมิงจูก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดียวกัน
“ข้ารู้แล้ว” สองพ่อลูกช่างเหมือนกันไม่มีผิด หากใครมาเห็นคงจะคิดแบบเดียวกันเป็นแน่
[1] ทำตัวเอง