ติงยวี่ถิงจะบ้าตาย ไม่แนบเนียนตรงไหนบอกมาสิ! นางเงยหน้าถลึงตาโตสู้สายตาคม พยายามไม่ให้ตัวเองสั่น
“ข้าจะกลับบ้าน งานเยอะมาก ไม่รบกวนท่าน”
มุมปากบุรุษกระตุกยิ้มขัน ฝ่ามืออุ่นค่อยๆ ลดลงจากลาดไหล่ “พวกเราคงสนิทสนมกันไม่มากพอกระมัง เจ้าถึงยังไม่ไว้วางใจในตัวข้า จึงไม่กล้ายอมรับออกมาตามตรง”
อะไร? หญิงสาวไม่เข้าใจ
จู่ๆ มือใหญ่พลันโอบเอวอ้อนแอ้นรั้งนางเข้าประชิดแนบแผงอกอุ่น “เราควรทำความรู้จักกันให้มากขึ้นดีหรือไม่ จะได้สนิทกัน ต่อไปเจ้าย่อมไม่เหงา มีสิ่งใดล้วนเล่าให้ข้าฟังได้ทุกอย่าง”
หา!
ติงยวี่ถิงตะลึงลาน
“ท่านทำบ้าอะไร ใครอยากสนิทกับท่าน หะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนกว้าง พยายามเบี่ยงตัวออกห่าง ทว่าไม่เป็นผล เพราะอีกคนยิ่งรัดแน่น
“ไม่เอาน่า ไม่ดิ้น เรามาคุยกันดีๆ เถอะ”
“ปล่อยนะ ท่านมีสิทธิ์อะไรล่วงเกินข้าแบบนี้”
นอกจากไม่ปล่อย เซียวหงเย่ยังก้มหน้ากระซิบ แนบชิดกว่าเดิม
“อย่าลืม พวกเราเป็นสามีภรรยา ข้ากอดเจ้าที่ไหนเมื่อใดก็ได้”
ติงยวี่ถิงค้อนขวับ “แต่พวกเราหย่ากันแล้วนะ สกุลเซียวยังขับไล่ข้าออกมา พวกเราไม่เกี่ยวข้องกัน”
“นั่นมันสกุลเซียว ไม่ใช่ข้า”
“...”
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าตนหูฝาดไปหรือไม่ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาคล้ายกับหมายความว่า ‘เขาไม่ได้เต็มใจหย่า!’
จริงหรือ?
แน่น่ะ?
ใช่รึ?
ในคำถามซ้ำๆ เน้นย้ำเช่นนั้น ติงยวี่ถิงกำลังมีความหวังในบางสิ่ง
ทั้งสองมองหน้าสบตากันนิ่งงัน ภายใต้ร่มคันเดิมนั้น พวงเขายังตระกองกอดกันอย่างไม่สนใจดินฟ้า
ไม่สนสักนิดว่าเบื้องหน้าคือเขตตลาดกลางเมือง เริ่มมีคนเดินขวักไขว่ไปมาประปราย
กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังโพล่งผ่ากลาง หมายแยกภาพบาดตา
“พี่หงเย่!”
เจ้าของเสียงคือเหวินฟาง นางยืนถลึงตาถมึงทึง รีบยกชายกระโปรงวิ่งตรงเข้ามาแล้วจับบ่าเล็กของติงยวี่ถิง ดึงให้ร่างนุ่มออกห่างจากอ้อมอกแข็งแรงของเซียวหงเย่
“ปล่อยพี่หงเย่ของข้านะ นังหน้าด้าน บังอาจนัก!”
วาจาดุดันไม่เกรงใจไม่เท่าไร หากแต่แรงกระชากนั้นทำติงยวี่ถิงเซถอยหลังถึงสองก้าว เรียกว่าแทบล้มเลยทีเดียว
โชคดีที่ใครบางคนตามมาจับแขนไว้ได้ทัน
คนผู้นั้นจะเป็นใครได้ หากมิใช่เซียวหงเย่
ชายหนุ่มตามไปรั้งร่างของหญิงสาวมายืนด้านข้างขณะหันมองเหวินฟางอย่างเย็นชา
ทว่าเหวินฟางไม่สนใจ นางด่าทอติงยวี่ถิงว่า “ยวี่ถิง เจ้ามีสิทธิ์อันใดใกล้ชิดคู่หมายของข้า อย่าลืมว่าเจ้ากับเขา ไม่เกี่ยวข้องกัน”
ในอดีตนางเข้ามาแทรกกลางคู่สามีภรรยาก็จริง แต่ยามนี้ สถานะพวกเขาเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น สิ่งที่ติงยวี่ถิงเคยก่นด่านางเอาไว้ ล้วนเป็นโมฆะแล้วทั้งสิ้น
คิดพลางเชิดหน้าเหยียดปาก เดินเข้าหาเซียวหงเย่แล้วกอดแขนของเขาเอาไว้อย่างหวงแหน แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่
โรงยาเจี้ยนคังหลังจากปิดร้าน ติงยวี่ถิงจึงมีเวลาเป็นของตนเอง หญิงสาวนั่งจิบชาพักผ่อนคลายอารมณ์อยู่ในห้องส่วนตัว โดยมีเสี่ยวจิงกับเจียวมิ่งคอยปรนนิบัติรับใช้ไม่ห่างกาย“นายหญิง ข้าพูดจริงๆ เจ้าค่ะ นายท่านเซียวมิได้มากล่าวหาหรือว่าร้ายท่านแน่นอน เขาต้องการง้องอนต่างหาก ขอนายหญิงเปิดใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ” เจียวมิ่งยังคงทำหน้าที่ผสานรอยร้าวอดีตสามีภรรยาอย่างดีและเต็มที่ทุกคราที่เอ่ยปากเสี่ยวจิงก็เช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะนายหญิง บุรุษก็เช่นนี้ เพิ่งรู้ตัวว่ารักก็ต่อเมื่อมีเหตุให้ต้องพลัดพรากแยกจากอย่างกะทันหัน พวกท่านสองคนย่อมเป็นเช่นนั้น นายท่านเซียวกำลังกระจ่างในข้อนี้ เพิ่งรู้ใจตัวเองเจ้าค่ะ”น้ำชาร้อนหอมกรุ่นมีฤทธิ์สงบใจถูกชงและรินใส่จอกส่งให้ถึงมือ ติงยวี่ถิงยื่นมือรับจากเจียวมิ่งนิ่งๆ นั่งรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวต่ออีกว่า “บ่าวว่า นายหญิงสมควรให้โอกาสนายท่านเซียวได้เข้าหา รับฟังปรับความเข้าใจกันเจ้าค่ะ”เจียวมิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วตัดสินใจโน้มน้าวโดยเอ่ยถึงเรื่องวันก่อนอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น“นายหญิง เหตุการณ์ปีนกำแพงล้วนชัดแจ้งเจ้าค่ะ นายท่านเซียวผู้สุภาพสง่างามแลดูสูงส่งภูมิฐาน
นางเป็นใครกัน งดงามดุจภาพฝัน ภายใต้แสงเทียนสีนวลอ่อนจาง ส่องเพียงแสงสลัว บนเตียงนอนที่ควรว่างเปล่า บัดนี้มีเงาร่างของสตรีร่างระหงนอนทอดกายพริ้มตาด้วยท่วงท่าระทดระทวยเชิญชวนอารมณ์กำหนัดของเซียวหงเย่กำลังพุ่งขึ้นสูง ความรู้สึกปรารถนา อยากมีสัมพันธ์สวาทเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆหากได้อุ่นเตียงคงจะดีไม่น้อย...เซียวหงเย่ส่ายหน้าเบาๆเพียรระงับอารมณ์บางอย่างให้เข้าที่เข้าทางทว่าช่างยากเย็น ท้ายที่สุดเขานึกสงสัยว่าภาพตรงหน้าลวงตาหรือไม่ยามนี้ชายหนุ่มกำลังยืนมองสาวงามบนเตียงนอน พลางทอดถอนใจ พึมพำเสียงทุ้มต่ำแผ่วพร่า “หรือว่าอาจจะเป็นเพียงภาพมายา ข้ากำลังคิดถึงนางมากเกินไป...”นางในที่นี้ของเซียวหงเย่ย่อมเป็นติงยวี่ถิง สตรีผู้เป็นหัวข้อสนทนาตลอดการร่ำสุรากับไป๋ซั่วชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าพยายามเพ่งสายตาพร่ามัวมองสาวงามบนเตียงนอนอีกครั้งเห็นนางนอนเอนกายตะแคงข้างเผยส่วนเว้าส่วนโค้งคล้ายตั้งใจยั่วยวน ดวงตานางยังหลับพริ้มเหมือนรอคอยอย่างกระสันกระนั้นเขาเพียงคิดว่าตนเองแค่ตาฝาดไปเท่านั้นร่างสูงหันถามบุรุษอีกคนที่เดินตามเข้าห้องมาทีหลังแล้วยืนโงนเงนข้างกาย“เจ้าเห็นหรือไม่?”คนถูกถามคือไป๋ซั่ว ท
ห้องพักชั้นสามของโรงเตี๊ยมยู๋อี้ค่อนข้างใหญ่และกว้างขวาง มีเครื่องเรือนอำนวยความสะดวกครบครัน มีห้องชั้นนอกชั้นในและมีฉากกั้นเป็นสัดส่วน เรียกว่าสมราคาที่แพงลิบลิ่ว หากลูกค้าไม่ร่ำรวยมั่งคั่งอย่างแท้จริง ย่อมมิอาจเอื้อมคว้า เข้ามาพักห้องระดับนี้ได้เหวินฟางกวาดสายตามองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่คือห้องที่เซียวหงเย่ใช้พำนักชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็นชั่วคราวราวสามปีเลยทีเดียว คิดดูเถิดว่าเขารวยปานใดแม้เขามาเพื่อทำงานหนักสะสางปัญหาทางการค้า ทว่ามูลค่าเงินที่สกุลเซียวให้เขาใช้จ่ายนั้นเรียกได้ว่ามหาศาล นี่ขนาดกินนอนตอนกิจการของสกุลมีปัญหานะ หากไม่มีปัญหาจะสุขสบายปานใด หญิงสาวได้ข่าวว่าเซียวหงเย่จัดการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าเก่งกาจมากทีเดียว ตอนนี้พวกเขาหันมาร่วมลงทุนแล้ว คาดการณ์ว่าปีหน้าผลกำไรจะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวอา...แค่คิดว่าจะได้เป็นฮูหยินเอกของบุรุษที่รูปงามปานเทพเซียน ทั้งยังร่ำรวยมีอำนาจเทียบเคียงขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักแล้ว เหวินฟางก็แทบเก็บรอยยิ้มเอาไว้มิได้นางรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจรวบรัดเขาคืนนี้ และเมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายหล่อเหลาเหนือคำบรรยาย ความสง่าง
ชั้นสองของโรงเตี๊ยมยู๋อี้มีห้องรับรองพิเศษสำหรับลูกค้าต้องการดื่มกินแบบส่วนตัว“หา! แม่นางชุดแดงผู้นั้นที่แท้คืออดีตภรรยาของเจ้า” ไป๋ซั่วแทบสำลักเหล้าที่เพิ่งกรอกเข้าปาก เขาเริ่มมีอาการเมามาย โวยวายต่อเนื่องว่า “เหตุใดไม่บอกข้าแต่แรกเล่า”เซียวหงเย่เองก็เริ่มมึนเมาเช่นกัน เหล้ายุคนี้รสชาติดี แต่ร้อนแรงเป็นบ้า “ข้ากำลังจะบอกตอนงานเลี้ยงวันนั้น ทว่าเจ้ากลับเดินไปอีกทางไม่ตามข้ามา พอหันหลังไปอีกที เจ้าหายไปไหนล่ะ เหตุใดไม่อยู่ฟัง”“อ้อ...” ไป๋ซั่วพยักหน้าหงึกหงักรินเหล้าลงจอก วันนั้นเขาเห็นแม่นางชุดสีครามลายบุปผา งดงามบาดตา นางยืนอยู่กับฮูหยินเกา เขาจึงเข้าไปทักทาย แล้วก็ได้คุยกัน ตอนนี้ยังได้สานสัมพันธ์กันเรียบร้อย หลังจากสกุลไป๋ยกเลิกการเจรจาเกี่ยวดองกับสกุลเว่ยนั่นแล ชายหนุ่มยกจอกเหล้ากระดกน้ำเมาเข้าปาก แล้วว่าต่อ “นี่คือเหตุผลที่เจ้าถีบข้ากระมัง? หวงก้างยิ่งนัก! หย่าร้างเลิกรากันไปแล้วแท้ๆ” ซักพักไป๋ซั่วพลันตระหนัก“อ่า...ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบนาง ออกจะรังเกียจด้วยซ้ำ ยังบอกว่านางชั่วร้าย ท้ายที่สุด นางยังวางยาเจ้า ต่อมาจึงถูกนายท่านผู้เฒ่าเซียวขับไล่ ไ
นางเคยอยู่กับเขาสองต่อสองในโรงเตี๊ยมบ่อยครั้ง ทั้งยังปล่อยข่าวแพร่กระจายแต่ก็ยังมิได้หมั้น เพราะตอนนั้นเขายังไม่ได้หย่า แต่ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้วอีกทั้งยังอยู่ไกลหูไกลตานายท่านใหญ่เซียว ไม่มีผู้อาวุโสคอยควบคุมความประพฤติ นับเป็นโอกาสอันดีเหวินฟางตัดสินใจได้ทันที “มิสู้ ใช้ยาปลุกกำหนัดเผด็จศึกพี่หงเย่ไปเลยเจ้าค่ะ ช่วงนี้ เขาเย็นชากับข้ายิ่งนัก เกรงว่าแค่ทำตัวเองให้งามจะไม่พอ ขอแค่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง สุภาพชนเช่นนั้น ย่อมเห็นข้าเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่า ทะนุถนอมในอุ้งมือทุกวันเป็นแน่เจ้าค่ะ”ได้ยินเช่นนั้นซูหลินให้รู้สึกตื่นตะลึงอย่างคาดไม่ถึง ตัวนางเองไหนเลยจะเคยใช้ยาปลุกเร้าถึงขั้นนั้น แค่ใช้ยาดีและแต่งหน้าตามนังติงยวี่ถิงก็สามารถดึงความงามเฉิดฉันออกมาประดับใบหน้าจนเพริดพริ้งเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนแล้ว ทำเอาท่านพี่หานจงซานรักนางแทบคลั่งทุกวันซูหลินตัดสินใจถามเหวินฟาง “น้องพี่ คุณชายเซียวเปลี่ยนไปถึงเพียงใดกัน? มิใชว่า หมดรักเจ้าแล้วกระมัง?”“พี่หญิง!”เห็นญาติผู้น้องกระทืบเท้าเตรียมโวยวาย ซูหลินรีบยกมือห้าม “ก็ได้ๆ ข้าจะส่งคนไปหามาให้”เหวินฟางจึงกลับมาสงบ “เดี๋ยวนี้เลยได้หรือไม่?”ซูหลินเลิก
“จริง! ข้าจะบอกให้ บุรุษน่ะชอบเรื่องแบบนี้ที่สุด ดูข้าสิ จะได้แต่งเดือนหน้าแล้วปะไร เพราะเหตุใดกันเล่า?”เรื่องของซูหลิน เหวินฟางย่อมล่วงรู้ อีกฝ่ายหมั้นกับคุณชายหานมานานมิได้ฤกษ์งามเสียที ครั้นมีค่ำคืนวสันต์ กระทั่งติดอกติดใจกันและกัน วันมงคลพลันถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าเหวินฟางพึมพำ “จะดีหรือพี่หญิง”“ดีสิ ย่อมดีแน่นอน” ใบหน้าซูหลินฉาบรอยยิ้ม “หากถูกจับแต่งงานโดยไม่เคยพบพานว่าที่สามีก็แล้วไปเถิด แต่เมื่อชายหญิงคบหาจนรู้ใจปานนั้น การที่เรายอมทำตามความปรารถนาในส่วนลึกของหัวใจ ย่อมมิใช่เรื่องผิด เจ้าเองคบหากับเขาตั้งนาน ก่อนนังติงยวี่ถิงถูกขับไล่มิใช่หรือไร?”หญิงสาวหน้าม้าน “ข้าก็มีความปรารถนาอยู่หรอก แต่ไม่กล้านี่นา มันผิดประเพณีนะเจ้าคะ อีกอย่าง ครั้งก่อน ข้าก็เคยเสนอตัวแล้ว แต่ไม่เป็นผล ยังถูกไล่ด้วย”แววตาซูหลินแฝงความเอือมระอา“โธ่เอ๋ย! น้องพี่ ครั้งนั้นเจ้าเข้าหาตอนเขามีโทสะ บุรุษผู้หนึ่งเนื้อตัวสกปรกเกรอะกรังจากเลือดไก่ ไหนเลยจะมีอารมณ์หวานชื่น” เหตุที่รู้เพราะอีกฝ่ายเอามาเล่าให้ฟัง ร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่ นางจำได้ดีเชียวล่ะ เหวินฟางเงียบ ครั้งก่อนเป็นเช่นนั้น แต่ครั