“เจ้าไม่ดีใจหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“เชอะ ข้าเลือกได้หรือ พวกเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะให้ข้าเป็นหรือตายมันก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ ชีวิตของข้า ไม่ใช่ของข้าด้วยซ้ำ”
“แล้ว หากว่าเจ้ามีโอกาสได้เลือกหนทางที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เจ้าสามารถช่วยชีวิตของพี่น้องของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะทำหรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“หากมันช่วยได้ ต่อให้ต้องทำงานสกปรก ใครกันจะไม่ยินดี” อาหงว่า
“อืม ดี” หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าขอถาม เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง สิ่งที่ถนัด หรือศิลปะ การแสดง ร้องเพลง สมัยที่อยู่ในร้านน้ำชาหรือหอนางโลม เจ้าได้เรียนรู้งานพวกนี้หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“ข้าถนัดทำให้ผู้ชายครวญครางหอบถี่” อาหงยิ้มมองอย่างเย้าแหย่
หลี่เฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆๆ ดูเจ้าทำหน้าเข้า ไม่ใช่ว่าแต่งงานแล้วหรือ เหตุใดพูดเรื่องเช่นนี้ยังจะทำเขินอาย เอ๊ะ หรือพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าหอ!!” อาหงทำเป็นตกใจยกมือปิดปาก ใส่จริตเช่นสาวงามในหอโคมเขียว
“ไร้สาระ ..ข้า ข้าถามเรื่องของเจ้าอยู่นะ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าแดง ไม่ตอบก็เหมือนตอบ
“หึ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” อาหงยังหัวเราะต่อไป
“ตกลงเจ้าจะตอบข้าหรือไม่!” หลี่เฟิ่งเซียนทำเป็นโกรธเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
“ได้ ข้าทำเป็นทุกอย่าง ทั้งดีดพิณ ร่ายรำ เย็บปัก ชงชาและวาดรูป”
“อะไรนะ เจ้าเป็นหมดนั่นเลยหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตกใจอยู่บ้าง เพราะขนาดนางเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ท่านย่าเชิญอาจารย์มาสอนบ่อยครั้ง แต่นางกลับทำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เรื่อง สุดท้ายสิ่งที่ทำได้ดียังเป็นการจับกระบี่ไล่ฆ่าโจร ทำท่านย่าร้องไห้ตั้งหลายครั้ง
“ข้าต้องเอาชีวิตรอดนะ ฝึกไม่ได้ข้าก็ถูกส่งไปนอนอ้าขาบนเรือให้พวกคนงานเหม็นเหงื่อรุมโทรมน่ะสิ” อาหงพูดยิ้มคล้ายเป็นเรื่องตลกที่นางไม่ใส่ใจ แต่หลี่เฟิ่งเซียนยามนี้เข้าใจดีว่าความจริงต้องดิ้นรนขนาดไหน
“ข้าขอฮ่องเต้ให้รับเจ้าเป็นสนม เพื่อจะได้ประกาศออกไปทั่วสารทิศว่าหญิงคณิกาไม่ได้ต้อยต่ำ เมื่อเจ้าเป็นสนมให้โอรสสวรรค์แล้ว ผู้คนจะเห็นว่าแม้แต่โอรสสวรรค์ก็ยังรับเจ้าเป็นภรรยา พี่น้องหญิงที่เคยทำงานในหอคณิกาเมื่อออกมาแล้วก็สามารถหางานทำได้ ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกพวกเจ้าอีก” หลี่เฟิ่งเซียนบอกอาหงในสิ่งที่นางตั้งใจจะทำ
“....!!” อาหงได้แต่ตกตะลึงพูดสิ่งใดไม่ออก
“เพียงแต่ หนทางในวังหลัง มันน่ากลัว ทุกข์ทรมานและโดดเดี่ยว ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังจะยินดีเดินไปบนเส้นทางนี้หรือไม่ หากเจ้ายินดี ข้าจะช่วยเต็มที่ สิ่งที่เจ้าทำจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของผู้คน เพื่อชีวิตของหญิงสาวที่ไร้ทางเลือกอีกมากจะได้ไม่ต้องถูก..ถ่วงน้ำ”
“ข้ายินดี!!” อาหงตอบอย่างไม่ลังเล
“เจ้าแน่ใจหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนถามย้ำ
“เจ้าก็เห็นข้าในตรอกนั่น ในชีวิตที่เหลือของข้า ยังจะมีอะไรให้ต้องกลัวด้วยหรือ”
“เจ้า..ไม่เสียใจหรือ จ้าวเหลียงกับเจ้า..” หลี่เฟิ่งเซียนพยายามหาคำอธิบาย
“เชอะ เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร ข้ารังเกียจเจ้าเด็กนั่น เด็กนั่นก็ไม่ต่างจากผู้ชายหัวหงอกหัวดำคนอื่นๆ เห็นข้าแก้ผ้าก็กระสันอยากจะทิ่มใส่ข้า ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นข้าเป็นคน ต่างมองด้วยสายตาที่ใช้มองหมูตัวเมีย ข้าขยะแขยง”
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้าตอบ แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดเท่าไหร่
“ฮ่องเต้ก็เป็นผู้ชายนะ เป็นท่านอาของข้า รักข้ามาก ข้าก็เคารพเขา แต่เขา..เขาก็..” หลี่เฟิ่งเซียนอยากพูดว่าฮ่องเต้ก็ชอบมองผู้หญิงเป็นหมูตัวเมีย แต่ไม่กล้าพูดออกมา
“ข้าไม่รังเกียจที่จะขึ้นเตียงกับใครก็ตามที่สามารถช่วยให้ความต้องการของข้าสำเร็จ” อาหงพูดยิ้มๆ
“อ้อ ข้าเพียงเห็นว่าจ้าวเหลียงดูหลงใหลเจ้าไม่น้อย”
“เด็กน้อย เจ้าไม่รู้จักผู้ชาย ที่เด็กนั่นหลงใหลไม่ใช่ตัวข้า แต่เป็นลูกท้อตรงนี้ของข้าต่างหาก” อาหงพูด มือก็ลูบไปที่ตรงหว่างขา หลี่เฟิ่งเซียนกะพริบตาหลายครั้งก่อนจะหันหน้าหนี
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละ ทุกคนจริงๆหรือ?.. เวลาที่ข้า..ที่ข้า อยากสัมผัส ข้าไม่ได้..หลงใหลตรงนั้น เขาก็ดูไม่ได้หลงใหลอย่างที่จ้าวเหลียงเป็น ข้า..ข้าอยากจูบ..เขายัง” หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มพูดติดขัดเรื่อยๆ
อาหงยกมือขึ้นมาปิดปากและมองนางยิ้มๆอีกแล้ว
“ข้า ข้าไปก่อนนะ อีกสองสามวันจะมีคนมา เราค่อย...ค่อย..ว่ากัน” หลี่เฟิ่งเซียนลุกขึ้นจะเดินหนีออกไป
“คุณหนูใหญ่ ท่านสามารถมาถามข้าได้ทุกเรื่องที่ข้องใจ ข้าเชี่ยวชาญเรื่องนี้ท่านก็รู้ใช่หรือไม่ ถือว่าข้าตอบแทนบุญคุณให้ท่านเป็นอย่างไร” อาหงตะโกนตามหลังไปเช่นนั้นพร้อมกับรอยยิ้ม
ช่วงบ่ายหลี่เฟิ่งเซียนขอไปส่งลู่มู่เฉินไปรักษาอาการป่วยในวังกับท่านหมอหลวง ท่านย่าไม่อนุญาต นางจึงทำได้เพียงกำชับพ่อบ้านให้ช่วยดูแลท่านเขยให้ดีๆ มอบหนังสือที่ท่านพ่อฝากมาให้ท่านหมอหลวงอิ่นไปกับพ่อบ้านด้วย นางยังยืนส่งรถม้าหน้าจวนอยู่นาน จนรถม้าหายไปจากถนนแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าบ้าน
ตกเย็นหลี่เฟิ่งเซียนยังไปยืนรอรับลู่มู่เฉินหน้าจวนอยู่นาน แต่รอจนค่ำก็ยังไม่กลับ ท่านย่าให้กินข้าวนางก็ยังไม่ยอม จะรอเขาก่อน
ยามเฉินเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็อ้างว่ากินข้าวมาแล้วที่บ้านท่านหมอหลวง ทั้งเขายังต้องรักษาโรคจึงไม่สะดวกพักห้องเดียวกับนาง เขายังพูดขออนุญาตแยกห้องกับท่านย่าอย่างเป็นทางการด้วย ท่านย่าที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้วยิ่งสนับสนุน
หลี่เฟิ่งเซียนด้วยความเป็นห่วงโรคของเขา กลัวว่าอาจร้ายแรงจนถึงชีวิต นางจึงไม่ได้ทักท้วงหรือไม่พอใจ แม้นางจะอยากอยู่ห้องเดียวกับเขา จะได้หาโอกาสกินเต้าหู้เขาอีก แต่ห่วงร่างกายของเขามากกว่า อย่างไรก็ต้องยอมตามที่เขาต้องการ ไม่ได้สังเกตว่าเขาแทบจะไม่สบตานางเลย
วันต่อมา มีขันทีน้อยมาหาหลี่เฟิ่งเซียนตั้งแต่เช้า นางต้องรีบจัดการเรื่องอาหงให้เร็วที่สุด กลัวว่ายิ่งช้าอาจมีหญิงสาวหลายชีวิตต้องตาย นางเคยไปช่วยชีวิตของลู่มู่เฉินช้า จนต้องเสียมือซ้ายไปแล้ว ยามนี้นางจึงตั้งใจจัดการให้เร็วที่สุด จึงมัวแต่พูดคุยธุระกับขันทีน้อย จนลืมลู่มู่เฉินไป
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ