“เช่นนั้นข้าแทงสูง”
หลี่หยวนจื่อวางเงินมากถึงสามร้อยตำลึงทอง ส่วนเหวินมู่หยางหยิบจำนวนเงินทั้งหมดออกมาวาง
“หากครั้งนี้ท่านชนะก็เอาเงินของข้าไปได้ทั้งหมดเลย”
“โอ้...ท่านกุนซือช่างใจป้ำเสียเหลือเกิน งั้นข้าจะบอกแล้วกันว่าอนุของข้าถึงนางจะผิวกายขาวเนียนละเอียด กลิ่นกายหอมกรุ่น แต่ใบหน้าของนางกลับอัปลักษณ์ เหตุเพราะอุบัติเหตุจากการโดนน้ำร้อนลวก แต่ข้าขอรับประกันได้เลยว่านางยังคงความบริสุทธิ์อยู่ขอรับ”
จางเฟินเยว่กำมือแน่นด้วยความโกรธ ถ้าไม่เห็นว่าครั้งนี้อู๋ซานจะมอบสัญญาการเป็นทาสของเหยาเหยามาเป็นการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ด้วย นางคงไม่ยอมมาเป็นของเดิมพันที่มีชีวิตของเขาหรอก ครั้งนี้สามีผู้นี้ยังกล้านำเรื่องของนางมาพูดราวกับจะประจานนางเสียอย่างนั้น รอให้นางหลุดพ้นจากที่นี่ไปก่อนเถิด นางจะต้องให้คนตระกูลอู๋ชดใช้อย่างสาสม
“ข้าไม่รังเกียจ เช่นนั้นเรามาต่อกันเถอะ”
จางเฟินเยว่มองเหวินมู่หยางนิ่ง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ทุ่มเงินหมดหน้าตักขนาดนี้ ที่บอกว่าไม่รังเกียจเพราะไม่สนใจ หรือไม่ให้ค่านางกันแน่
เสียงลูกเต๋าครั้งสุดท้ายดังกริ๊งได้เรียกสติของจางเฟินเยว่ให้กลับมา ก่อนที่เหวินมู่หยางจะเปิดชามกระเบื้องออกเพื่อเผยให้เหินลูกเต๋าด้านใน ลูกเต๋าสองลูกแรกออกหนึ่งแต้ม อู๋ซานก็กระหยิ่มยิ้มดีใจ ครานี้เขาจะต้องชนะเป็นแน่ แต่เมื่อแต้มของลูกเต๋าที่สามออกหนึ่งแต้มเช่นกัน เขาก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี
“ออกสามแต้ม ครั้งนี้ข้าก็ชนะสินะ ฮ่าฮ่า”
เหวินมู่หยางหัวเราะขำ “ลูกเต๋าทั้งสามออกแต้มหนึ่งเท่ากับว่าเป็นเลขตอง ครั้งนี้ข้าชนะ”
“ฮะ! ทำไมกัน” อู๋ซานใบหน้าเลิ่กลั่ก ออกสามแต้มเขาชนะมิใช่หรือ
“นี่เจ้าไม่ได้ฟังเลยหรือ หากออกเหมือนกันทั้งสามลูก เจ้าจะเป็นฝ่ายชนะ”
หลี่หยวนจื่อไขความเข้าใจผิดของอู๋ซาน ก่อนเขาจะนำเงินมอบให้กับเหวินมู่หยาง
“ยินดีด้วย ครานี้เจ้าได้สตรีนางนี้ไปครองเสียแล้ว จวนของเจ้าก็คงจะไม่ร้างไร้สตรีเสียที”
“ขอบคุณขอรับท่านแม่ทัพ”
เหวินมู่หยางก้มศีรษะยิ้มรับ แล้วหันหน้าไปมองจางเฟินเยว่นิ่ง ดวงตาคู่คมมองสบประสานดวงตาคู่กลมโตเนิ่นนานกว่าที่เขาจะผละออกมา
“ข้าแพ้แล้ว ท่านเอานางไปได้เลยท่านกุนซือ นางมีนามว่าจางเฟินเยว่ ตอนนี้นางมิใช่อนุของข้าแล้ว”
อู๋ซานเอ่ยพลางดันหลังจางเฟินเยว่ไปหาเหวินมู่หยาง เขายื่นมือมาจับข้อมือเล็กอันแสนบอบบางนั้นด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณท่านมาก”
ภายในรถม้าที่มีตราประจำตระกูลเหวินกำลังมุ่งหน้ากลับจวน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีต่างนั่งเงียบ จนบรรยากาศระหว่างทั้งสองนั้นแสนอึดอัด จางเฟินเยว่วางมือประสานกันบนตัก ก่อนจะมองสามีคนใหม่เต็มตา
กุนซือหนุ่มผู้นี้ช่างมีรูปโฉมมิสามานย์เลย องคาพยพทั้งห้าของเขาล้วนคมคายสมกับเป็นบุรุษ แต่สิ่งที่ดูน่าดึงดูดเห็นจะเป็นแววตาคมเข้มที่อยู่ภายใต้คิ้วกระบี่นั้น นางมิอาจจะละสายตาไปจากเขาได้เลย กลิ่นอายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาให้ความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด บางคราคล้ายกับคนรู้จักแต่บางคราก็ราวกับคนแปลกหน้า นางรู้สึกสับสนนัก
จางเฟินเยว่เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้
“ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากขอร้องท่าน ไม่รู้ว่าท่านกุนซือที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจะอนุญาตหรือไม่เจ้าค่ะ”
ข้าเอ่ยยกยอถึงเพียงนี้ ท่านก็รีบตอบตกลงมาเร็ว ๆ เสีย หญิงสาวครุ่นคิดในใจ
“มีสิ่งใด” คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม
“ข้ามีสาวใช้ผู้หนึ่งที่ติดตามมาด้วย นางมีชื่อว่าเหยาเหยา หากข้าอยากพานางไปอยู่ด้วยกัน ท่านกุนซือจะว่าอย่างไรเจ้าคะ”
นางกลั้นหายใจเพื่อรอคอยคำตอบ หวังว่าเขาจะใจกว้างมากพอนะ
“ย่อมได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” รอยยิ้มหวานประทับไปทั่วใบหน้างาม จนดวงตาของนางเล็กหยีคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว
เหวินมู่หยางชะงักไปเล็กน้อย ตัวเขาไม่ค่อยชมชอบรอยยิ้มของสตรีนัก เพราะเขามองว่าเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้ง ปั้นแต่งจนรู้สึกอึดอัดใจ แต่กลับสตรีตรงหน้ารอยยิ้มของนางกลับดูจริงใจนัก
“เจ้าไม่คิดจะเปิดเผยใบหน้ากับข้าหรือ ถึงใบหน้าของเจ้าจะมีรอยแผล แต่ข้าเป็นบุรุษที่อยู่แต่ในสนามรบ ย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว”
จางเฟินเยว่ชะงักค้างไปครู่ ก่อนจะค่อย ๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออกมา ทันทีที่ผ้าคลุมหน้าหลุดออกไป เหวินมู่หยางที่เคยสุขุมกลับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
สตรีตรงหน้ามีผิวกายที่ขาวเนียนอยู่แล้ว แต่ใบหน้าของนางกลับดูขาวอมชมพูระเรื่อ แก้มทั้งสองข้างมีเลือดฝาดสีแดงที่ขับให้นางดูน่ารักอ่อนหวาน ดวงตากลมโตที่เขามองว่าน่าสนใจนั้น แวววาวคล้ายดั่งดวงตากวาง จมูกโด่งเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ
หากกล่าวว่านางไม่ใช่หญิงงาม เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีใครงดงามได้เท่านางอีกแล้ว ไม่คิดเลยว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นเพียงอนุของอู๋ซานเท่านั้น คนผู้นั้นขึ้นชื่อว่าชมชอบสาวงามมิใช่หรือ เหตุใดจึงปล่อยให้นางหลุดมือมาถึงเขาได้กันนะ
ชายหนุ่มขบคิดจนหัวแทบจะระเบิด เขาไม่สามารถขจัดความสงสัยนี้ไปได้เลย
“เจ้า...ไม่ได้มีรอยแผลเป็นนี่” กว่าเขาจะหาเสียงของตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจแล้ว
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้ามีรอยแผลเป็นนี่เจ้าคะ เป็นผู้อื่นที่คิดเช่นนั้น”
หญิงสาวหัวเราะขำกับท่าทางของเขา นางเองที่เห็นใบหน้านี้ครั้งแรกก็อดใจเต้นแรงไม่ได้
จางเฟินเยว่ผู้นี้คือโฉมสะคราญที่แท้จริง!!
ตอนพิเศษ 2หวนคืนสู่นิรันดร์18 ปีผ่านไปเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหลที่ไม่ไหลย้อนคืนกลับมา บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวในวัยเยาว์ของทั้งสองได้เติบโตขึ้นมาอย่างสง่างามและงดงาม สมกับที่เหวินมู่หยางและจางเฟินเยว่เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความอบอุ่นคุณชายใหญ่เหวินมู่เฉินถอดแบบบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาได้กลายเป็นท่านกุนซือน้อยที่คอยช่วยงานของกองทัพคุณชายรองเหวินอี้หานชมชอบการฟันดาบ ด้วยอายุยังน้อยและการสนับสนุนจากบิดา เขาจึงสามารถไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของเมืองหวงซ่างคุณชายเล็กเหวินอี้เจ๋อชมชอบเรื่องการค้าขาย เมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลร้านผิงเยว่ เขาสามารถขยับขยายร้านผิงเยว่จนตอนนี้มีสาขาย่อยทุกหัวเมือง กิจการเติบโตอย่างรวดเร็วจนแผ่ขยายไปยังเมืองหวงของแคว้นเจียงหนานส่วนคุณหนูหนึ่งเดียวเหวินอ้ายเยว่ นางได้ถอดแบบความงามและความสามารถด้านการทำอาหารมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนในเมืองหวงซ่างจึงยกย่องให้นางเป็นยอดพธูและเพราะความงามที่ร่ำลือไปไกลนั้น จึงทำให้มีบุรุษมากมายพากันส่งแม่สื่อมาทาบทามเหวินอ้ายเยว่ แต่ทุกคนต้องรีบถอยทัพกลับไปเป็นการด่วน เพราะเหว
ตอนพิเศษ 1ลูก ๆ ของจางเฟินเยว่เวลาผ่านไปราวสองปีนับตั้งแต่เหวินมู่เฉินได้กำเนิดขึ้นมา เขาที่เป็นคุณชายของบ้านถูกดูแลอย่างประคบประหงม ทั้งจากบิดาผู้ใจดีและมารดาที่อ่อนโยน ทำให้เด็กชายที่อายุแค่สองหนาวมีนิสัยที่โอบอ้อมอารี และเป็นเด็กยิ้มง่าย เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือต้องรู้สึกเศร้าเสียใจเลยแต่ในวันที่อากาศเย็นลงนั้น เหวินมู่เฉินกลับเริ่มคิดหนัก เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ และยิ่งได้ไปเห็นว่าเพื่อนเล่นของเขามีน้องน้อยที่น่ารัก เขาเองจึงรู้สึกอยากมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง“ทั่นแม่ ทั่นแม่ ข้ายั่กมีน้องขอยับ”เหวินมู่เฉินในวันสองหนาวออกเสียงอ้อแอ้ เขาเดินเตาะแตะมาออดอ้อนผู้เป็นมารดา หญิงสาวหัวเราะขำด้วยความเอ็นดู“อาเฉินของแม่เหงาหรือ”“ขอยับ ข้ายั่กมีน้อง ยั่กมีฉองคนขอยับ”“ฮ่ะฮ่ะ เช่นนั้นพ่อคงต้องรีบมีน้องให้แล้วสินะ”เหวินมู่หยางที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพอดี“ทั่นพ่อ ทำน้องให้ข้านะขอยับ ข้าขอฉองคน”“ได้สิ งั้นคืนนี้อาเฉินของเรานอนคนเดียวได้หรือไม่”เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดเขาต้องนอนคนเดียวด้วย แต่เพราะเขาอยากมีน้องมากจึงยอมพยักหน้าต
จวนตระกูลเหวินหลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว จางเฟินเยว่กลับมาใช้ชีวิตของนางดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข่าวการตั้งครรภ์ของนาง สิ่งที่นางสงสัยนั้นเป็นจริงตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษแล้ว!เหวินมู่หยางที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข่าวดีนี้เขาจึงได้ประกาศแต่งตั้งให้จางเฟินเยว่เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินรอง โดยหลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว เขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาเอกหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถมาโต้แย้งได้ แต่ถึงจะกล้าโต้แย้งคงต้องถามดาบในมือของเขาเสียก่อน จางเฟินเยว่ที่คราแรกอยากเป็นเพียงแค่อนุ แต่เพราะนางนึกถึงฐานะของบุตรที่จะกำเนิดมาจึงได้ยินยอมทำตามที่เหวินมู่หยางต้องการในยามพลบค่ำที่ห้องนอนของทั้งคู่ จางเฟินเยว่นั่งพิงหน้าอกแกร่งของเหวินมู่หยาง ในมือของนางกำลังจดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในยามตั้งครรภ์ ทั้งที่เคยได้ยินจากชีวิตก่อน และจากคำแนะนำของท่านหมอที่ดูแลนาง“ไม่นอนก่อนหรือเยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าใกล้เสร็จแล้ว”หญิงสาวกลับมาจดจ่ออีกครั้ง เวลาผ่านไปก
บทส่งท้ายเหวินมู่หยางกับจางเฟินเยว่กลับมาที่เมืองหวงซ่างในยามสาย บ้านพักของอู๋ซานที่พาจางเฟินเยว่ไปนั้นอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกันจึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ผู้คนที่เห็นว่าท่านกุนซือขี่ม้าตัวเดียวกันกับจางเฟินเยว่ต่างพากันประหลาดใจขบวนของเหวินมู่หยางตรงไปยังค่ายทหารทันที เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะยังมีอีกคนที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ เหวินมู่หยางได้พาจางเฟินเยว่ให้ไปรอเขาที่เรือนพักของเขาที่ค่ายทหารก่อน ส่วนเขาจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดเองทหารของท่านแม่ทัพใหญ่บุกเข้าไปยังจวนตระกูลลู่ พวกเขาจับกุมตัวลู่เสียนผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของที่นี่โดยไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับชาวเมือง“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากร่างของชายสูงวัยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นเคร่งขรึมลงด้วยความเคร่งเครียด เขากังวลว่าอาจจะมีคนรู้เรื่องที่เขาแอบทำลับหลังแล้วก็เป็นได้‘ไม่ใช่ว่าพวกมันรู้แล้วนะ บัดซบ!!’ลู่เสียนสบถในใจด้วยความหวาดหวั่น ความกริ่งเกรงที่มีต่อท่านแม่ทัพใหญ่และกุนซือ
เหวินมู่หยางกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผาก เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้าจางเฟินเยว่ที่ควรจะนอนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว กลับนอนยั่วยวนเขาบนเตียงเสียอย่างนั้น อาภรณ์สีแดงที่เนื้อผ้าบางเบาเผยออกมาจนเห็นเนินอกขาวผ่องของนาง รอยยิ้มมุมปากที่แสนยั่วยวนของนาง ราวกับกำลังเชิญชวนเขาให้รีบมาจัดการนางโดยเร็ว“จะ เจ้าไม่นอนหรือเยว่เอ๋อร์” กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจ“ข้ารู้สึกอากาศมันร้อนเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ข้าอยากได้อ้อมกอดจากคนที่ข้ารักเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าความปรารถนาของข้าจะเป็นจริงหรือไม่”เหวินมู่หยางก้าวเดินเข้าไปหาคนช่างยั่วพลางหัวเราะออกเบา ๆ“เยว่เอ๋อร์คงจะเสียขวัญมาก พี่คงต้องปลอบเจ้าทั้งคืนใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพี่”จางเฟินเยว่ยิ้มยั่ว ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกไป จนตอนนี้ร่างกายของนางเหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดก้อนเต้าหู้อวบใหญ่ของนางได้เลย“อ่า...คนช่างยั่วต้องโดนอะไรนะ” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากลำคอหนา สายตาคู่คมมองร่างเย้ายวนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตรง
บทที่ 13อ้อมกอดของคนรักเหวินมู่หยางโอบประคองจางเฟินเยว่ด้วยความหวงแหน สีหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัว นางที่เพิ่งมาอยู่ในยุคนี้คงไม่เคยเห็นการฆ่าฟันกันมาก่อน แต่เขาที่มาอยู่ที่นี่นับสิบปี และอยู่แต่ในสนามรบจึงชินชากับเรื่องนี้ ฝ่ามือหนาที่ปิดดวงตาของนางเอาไว้คลายออก พร้อมกับช้อนร่างของนางเข้ามาในวงแขนของขา เขาพานางออกไปจากห้องที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและศพของอู๋ซาน“นี่มืดแล้ว เราคงต้องพักกันที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านของเรากันนะเยว่เอ๋อร์”เหวินมู่หยางวางร่างที่แสนบอบบางของจางเฟินเยว่ที่เตียงกว้าง เขาได้สั่งให้สาวใช้ที่นี่นำทางเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่เว้นว่างเอาไว้“เจ้าค่ะท่านพี่แล้วเหยาเหยาเล่าเจ้าคะ”“เหยาเหยาปลอดภัยดี ตอนนี้พี่ให้นางนอนพักอีกห้องหนึ่งแล้ว”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ผู้คนที่นี่ที่นางพอจะรู้สึกเป็นห่วงก็มีเพียงเหยาเหยาคนเดียวเท่านั้น เหยาเหยาไม่ใช่เพียงสาวใช้ข้างกาย แต่นางรู้สึกรักและเอ็นดูเหยาเหยาเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งเลย“ขออภัยขอรับ เราพบคุณหนูรองลู่ที่ห้องด้านข้างขอรับ”องครักษ์ของเหวินมู่หยางเอ่ยรายงานเสียงเข้มที่หน้าห้อง ในตอนที่พวกเขากำลังจัดการคนทั้งหมดนั