"องค์หญิงสามกับองค์หญิงเก้า มาร่วมดื่มชาพระชายาเอกเชิญนายหญิงที่เรือนบุปผา"
"ข้าได้ยินแล้ว"
"นายหญิงเจียวหยูห่วงใยนายหญิงยิ่งนัก นายหญิงพอจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับนายหญิงชายาเอกบ้างไหม"
อ้ายฉิงยิ้มบางๆ
"ไม่ต้องกังวลบอกนางว่าข้ากำลังแต่งหน้า ไปช้าหน่อยคงไม่เป็นไร"
"ให้เจียวหยูช่วย"
"ไม่ต้อง ข้าลงมือเองจนชินแล้วเจียวหยู เจ้าเองก็คงเคยได้ยินเรื่องของข้าหากใครเกี่ยวข้องกับข้ามักจะถูกดึงดูดโชคดีไปเสียสิ้น ข้าชอบเจ้ามากไม่อยากให้เจ้าต้องโชคร้าย”
เจียวหยูยิ้มนึกสงสารอ้ายฉิง แต่งหน้าหรือ….
เรือนบุปฝาในจวนอ๋อง
"ฮะๆๆๆ แต่งหน้า อย่างนางอัปลักษณ์สิ้นดียังกล้าอ้างว่าแต่งหน้าความจริงไม่อยากพบพวกเราละสิไม่ว่า"
องค์หญิงเก้าที่วัยไล่เลี่ยกับอ้ายฉิงยิ้มหยันก่อนจะพูดอย่างดูแคลน
"น้องสาว เป็นหญิงมักจะห่วงหน้าตา สวยงามหรืออัปลักษณ์ก็ย่อมจะรักสวยรักงาม"องค์หญิงสามปรามน้องสาวร่วมบิดา
"ลืมไปเสียสิ้น ข้าพูดจาแบบนี้เกรงว่านางจะร่ายมนตร์ดำนำความโชคร้ายมาให้ข้า555น่ากลัวจริงๆ "
หลุนฟางหลินยกชาขึ้นจิบช้าๆ
"นางแต่งเข้ามาเป็นชายารองเช่นไรจึงกล้าทำตามใจ หากนางทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรฟางหลินในฐานะชายาเอกดูแลทุกข์สุขในจวนอ๋องจะลงโทษนางเอง"
องค์หญิงเก้ายิ้มสาใจ
"เจิ้งอ้ายฉิงคารวะองค์หญิงสามองค์หญิงเก้า และชายาเอก"
เสียงใสของนางฉุดความคิดขุ่นมัวให้มลายไปได้ องค์หญิงสามยิ้มอย่างเป็นมิตร
"เงยหน้าเจ้าขึ้นไม่ต้องอาย ไหนบอกว่าแต่งหน้ามาดูสินั่นงดงามเพียงใด"
พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"พี่สาวหากไม่กลัวว่ารสชาดีจะแย่ลงก็มองหน้านางเสียหน่อยแต่ข้าไม่เอาด้วยหรอก น่าเกลียดน่ากลัว หากท่านอาเฉิงอู๋อ๋องมีลูกกับนาง ลูกของนางมีใบหน้าอัปลักษณ์เหมือนแม่คงเป็นที่ขบขัน"
"จิวฮัวนางเป็นญาติของเจ้า มารดานางมีศักดิ์เป็นถึงท่านป้าจะพูดจะจาระวังคำพูดด้วย"
องค์หญิงสามยังปรามน้องสาว จิวฮัวพึมพำเบาๆ
"ข้าไม่ได้อยากมีญาติเช่นนางเสียหน่อยอับอายคนอื่นเสียเปล่า"
ก่อนจะหดหัว เพราะมองเห็นเฉิงอู๋อ๋องก้าวเข้ามาในเรือนบุปฝา
"ท่านอา ท่านอา ท่านพี่"
ทั้งสามนางลุกขึ้นย่อกาย เว้นแต่อ้ายฉิงที่ยืนก้มหน้านิ่งเช่นเดิม
"พวกเจ้าแวะมา เพื่อดื่มชากับหวางเฟยอย่างนั้นหรือ"
จิวอัน องค์หญิงสามมองเฉิงอู๋ตาละห้อย ส่วนจิวฮัวรีบเข้าไปเกาะแขน
"ท่านอาของหลานมีชายาใหม่ทั้งทีเรามาร่วมแสดงความยินดี"
เหลือบตามองอ้ายฉิงก่อนจะเบ้ปาก
"ไม่มีอะไรน่ายินดี เพียงเพราะขัดบัญชาฝ่าบาทกับฮองเฮาไม่ได้"
"เสด็จพ่อกับเสด็จแม่หวังดีกับท่านอา"
จิวอันออกรับแทน
"หวังดีก็น่าจะหาหญิงงามมิใช่หญิงอัปลักษณ์"
จิวฮัวพูดแทนความในใจของเฉิงอู๋ที่ยิ้มหยัน แต่อ้ายฉิงไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
"จิวฮัว"จิวอันยังปรามเหมือนเดิม
"ดูหน้านางสิ ท่านอาหล่อเหลาเพียงนี้ให้แต่งกับนางได้อย่างไร"
"เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดค่อนแคะนางเสียที"
จิวอันส่งเสียงดุ
"ท่านอาดื่มชากับพวกเรา"
เฉิงอู๋เหลือบตามองอ้ายฉิงส่ายหน้าไปมา
"ไม่ดีกว่า"
"ท่านพี่มาเหนื่อยๆ ฟางหลินให้บ่าวต้มน้ำให้ท่านพี่แช่น้ำอุ่นเสียหน่อยนี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว"
"เจ้ารู้ใจข้ายิ่งหวางเฟย"
ยิ้มส่งสายตาคม
"เห็นท่านอากับอาหญิง รักใคร่กันอย่างนี้อีกหน่อยคงมีหลานให้จิวฮัวได้ดูแล"
ฟางหลินอมยิ้ม อ้ายฉิงเหมือนดังส่วนเกิน จิวอันเหลือบตามองเห็นใจอ้ายฉิงยิ่งนัก
"ข้าไปแช่น้ำอุ่น ดีกว่า"ก้าวขาจากไป
"นั่งลงดื่มชา เสียหน่อยเช่นนั้นคนเขาจะพูดเอาได้ว่าจวนอ๋องของเราใจร้ายกับเจ้ายิ่งนัก"
"ให้จิวฮัวทายนะอาหญิงเมื่อคืนท่านอาคงไม่กล้าร่วมเตียงกับนางแม้จะไปที่ห้องของนางคงไม่กล้าเห็นได้ชัดว่าท่านอารังเกียจนางเพียงนี้"
"ท่านอ๋องไปที่ห้องของนาง แต่ว่าที่ไปเพราะมีคนร้ายเข้ามาสอดแนมในจวนอ๋อง คนร้ายเองเห็นหน้านางก็คงหนีลนลานเช่นกัน"
"อ้ายฉิงขอตัว ในเมื่อเรื่องที่พระชายากับองค์หญิงคุยกันมีแต่เรื่องว่าร้ายอ้ายฉิง อยู่รึไม่ มีค่าเท่ากันในเมื่อกล้าว่าร้ายต่อหน้าเท่ากับมิได้มีความเกรงใจต่อกันเลยอ้ายฉิงเองจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกท่าน"
"เจ้าทนคำพูดถากถางของพวกข้าแค่นี้ไม่ได้ เจ้าคิดว่าเจ้าทนความเย็นชาของท่านพี่ได้หรือ ข้ากว่าจะถูกเรียกว่าหวางเฟยต้องใช้เวลาแรมปีเจ้าแค่นี้ทนไม่ได้อย่างนั้นก็หย่าไปเสีย"
"ข้าเองก็ต้องขอตัวเหมือนกันหากๆๆๆ การดื่มชาในวันนี้ ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจไปอีกหลายวัน"จิวอันขยับกาย
"องค์หญิง ฟางหลินไม่ส่ง"
จิวอันดึงมืออ้ายฉิงจากไป
ค่ำคืนนั้น ลานจวนเต็มไปด้วยแสงโคมไฟที่ประดับเรียงรายราวท้องฟ้า ดนตรีบรรเลงอย่างต่อเนื่อง เสียงหัวเราะ เสียงชนจอกเหล้า และเสียงเพลงแห่งความสุขดังไม่ขาดสายและนี่คือการเริ่มต้นบทใหม่ ของ ไป๋อวี้กับอี้หลิน ที่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของคู่รักหนุ่มสาว หากแต่เป็นสายสัมพันธ์แห่งครอบครัวในจวนอ๋องไร้พ่าย ที่เข้มแข็งและอบอุ่นไปพร้อมกันแสงโคมแดงส่องพร่างพรายทั่วเรือนหอ ผ้าแพรแดงปักลายหงส์มังกรถูกคลุมไว้บนเตียงกว้าง กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้งในอากาศ บรรยากาศอบอุ่นจนหัวใจเต้นแรงอี้หลินนั่งอยู่บนเตียงในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ผมเกล้าสูงประดับปิ่นทอง แววตาแอบหลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าแก้มแดงซ่าน ยิ่งยามเงียบสงัดยิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นส่ำ“ขาจะได้ยินเสียงหัวใจข้าไหมนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงประตูเปิดเบาๆ ไป๋อวี้ ก้าวเข้ามาในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ สายตาที่ทอดมองเจ้าสาวของตนเต็มไปด้วยแววลุ่มลึก เขาเดินเข้าไปช้าๆ และนั่งลงตรงหน้าของอี้หลินพรางหยิบหยกคู่ขึ้นมาประกบกันแนบสนิท“ในที่สุด…เจ้าก็เป็นของข้าอย่างแท้จริงแล้ว เหมือนหยกคู่สองชิ้นนี้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชิดใบหูอี้หลินมือใหญ่ยกถ้วยสุรามงคลขึ้นม
“อีกไม่กี่วันจะมีการสถาปนาข้าในตำแหน่งฮ่องเต้อย่างเป็นทางการข้าให้คนรับบิดากับมารดาของเจ้า รวมทั้งอี้หลินมาที่นี่เพื่อยินดีกับตำแหน่งฮองเฮาของเจ้า ฉะนั้นอดทนอีกนิดฝึกฝนท่าทีให้สง่างามให้ผ่านพ้นงานพิธีจึงค่อยทำตามใจ”อี้เหยายิ้มกว้าง คิดถึงตงเกาเจียวหยูและอี้หลินไม่น้อยตลอดวัน ฝึกซ้อมตั้งแต่การเดิน การคำนับ การนั่ง การถือของ ใช้เครื่องหอม การวางตัวต่อผู้หลักผู้ใหญ่ และวิธีสนทนาอย่างสุภาพ ทุกอย่างถูกฝึกอย่างเข้มงวด แต่เว่ยจินไม่เคยปล่อยให้อี้เหยาผิดพลาดเพียงลำพัง เขาคอยชี้แนะ และยังแอบยิ้มชมความพยายามของเธอค่ำคืนแรกหลังการฝึก อี้เหยานั่งอยู่ริมระเบียง มองแสงจันทร์สะท้อนบนคูน้ำ วังเงียบสงัด เว่ยจินเดินมานั่งข้างๆ“เจ้าทำได้ดีแล้ววันนี้” เขาพูด พร้อมเอื้อมมือแตะหลังของเธอเบาๆ ให้กำลังใจอี้เหยาหันไปยิ้มให้ น้ำตาแห่งความตื้นตันเล็กๆ ไหลริน“ข้าเหนื่อย แต่มีความสุข ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นไท่จือเฟยจริงๆ”เว่ยจินมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ความรู้สึกภูมิใจปนห่วงใย ดวงตาของเขาเปล่งประกาย“เจ้าไม่ใช่ไท่จือเฟยเจ้าคือฮองเฮาของข้า ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ อี้เหยา ไม่ว่าอะไรจ
ไป๋อวี้ยิ้มพยักหน้ากับไป๋ฮวา“สมใจแล้วพี่สาว ท่านอย่าลืมดูแลพี่สาวข้าให้ดีนะพี่ซางหลาง” ซางหลางยิ้มพยักหน้าขึ้นลง“ข้าสัญญา จะไม่มีคนอื่นนอกจากไป๋ฮวาคนเดียว และตลอดไป” ไป๋อวายิ้มกว้างสดใส ซางหลางคว้ามือบางมากุมไว้สบตานิ่งจากนั้นเสียงกลองมงคลก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่ก้าวเคียงข้างกันออกจากท้องพระโรง ท่ามกลางเสียงอวยพรและกลีบดอกไม้โปรยปรายห้องโถงประดับด้วยโคมแดงนับร้อย แสงไฟสว่างอบอุ่น ไป๋ฮวาถูกส่งเข้ามานั่งรออยู่บนแท่นนอนห้องหอ ใบหน้านางแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย“พวกเราไปแล้วขอให้เจ้าโชคดีนะไป๋ฮวา” อี้หลินกับอ้เหยาที่เปิดประตูก้าวออกไปโบกมือลาไป๋ฮวาเพียงไม่กี่อึดใจทว่านานชั่วกัปป์ที่ไป๋ฮวานั่งบีบมือเย็นเฉียบของตัวเองแน่นซางหลางผลักประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบ สายตาคมทอดมองไป๋ฮวาในชุดเจ้าสาวที่บัดนี้คือ ภรรยาของเขาที่เกือบจะสมบูรณ์แล้ว เขาก้าวเข้ามานั่งเคียงข้าง มือใหญ่เอื้อมไปยกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นอย่างแผ่วเบา ดวงตาของทั้งสองสบกันในแววตานั้นไม่มีคำพูดใดอีก มีเพียงความรู้สึกที่ต่างเข้าใจ“ไป๋ฮวา” ซางหลางเอ่ยเสียงต่ำ อบอุ่นแต่หนักแน่น “นับจากคืนนี้ไป... เจ้าไม่ใช่เพียงหญิงสาวที
ไป๋อวี้ ที่เพิ่งกลับมาจากตรวจแนวกำแพงยิ้มตาหยี เมื่อเห็นสภาพนั้นก็อดไม่ได้จะเอ่ยล้อขึ้นมา “เฮ้อ... ไท่จือผู้สง่างามของพวกเรา บัดนี้กลายเป็นคนเจ็บที่ให้สาวน้อยคอยดูแลเสียแล้วนะ”เว่ยจินชำเลืองมองพร้อมถอนหายใจ แต่ใบหน้าแดงเรื่อทำให้ทุกคนในเรือนหลุดหัวเราะออกมาอีกมุมหนึ่งของห้อง ซางหลาง ที่ยังคงสีหน้าเคร่งขรึมนั่งนิ่ง ทว่าแขนข้างหนึ่งกลับจับมือไป๋ฮวา ไว้อย่างแนบแน่นไม่ปล่อย ราวกับยังไม่เชื่อว่าตนจะได้เห็นไป๋ฮวาปลอดภัยกลับมา ไป๋ฮวายิ้มบางๆ พลางกระซิบเบาๆ “ท่านนี่ก็ชอบทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบจะถล่ม ทั้งที่ข้าอยู่ตรงนี้แล้วแท้ๆ”ซางหลางเหลือบตามองไป๋ฮวา คำพูดมีเพียงประโยคสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าอย่าหายไปอีก...อย่าทำแบนั้นอีกข้าใจหายที่สุดเมื่อรู้ว่าคนภายใต้คมกระบี่ของเป่ยซวีเป็นเจ้า”ไป๋ฮวาหัวเราะเบาๆ พยักหน้ารับ รอยยิ้มชวนให้บรรยากาศในโถงคลายความตึงเครียดลง“ข้าสัญญา จะไม่ไมีครั้งที่สองอีกแล้วครั้งนี้ก็โดนท่านแม่ตักเตือนเสียยาว”ใกล้ๆ กันนั้น ตงเกา กำลังนั่งฟังเรื่องราวการศึกจากไป๋อวี้ ทว่าดวงตากลับเหลือบมองบุตรสาวอย่าง อี้หลิน ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินเม
เสียงกลองรบค่อยๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงไฟไหม้ตำหนักและเสียงร้องคร่ำครวญของผู้บาดเจ็บเป็นฉากหลัง กลิ่นควันและเลือดลอยคลุ้งไปทั่ววังหลวงเป่ยเอียน ราชวังที่เคยยิ่งใหญ่กลับเหลือเพียงซากปรักหักพังกลางลานหินเปื้อนเลือด ร่างไร้ลมหายใจของเป่ยซวี นอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่เคยเย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์บัดนี้แข็งค้างไร้ประกายเว่ยจิน จ้องมองภาพนั้นด้วยหัวใจสั่นสะท้าน เขารู้สึกเหมือนก้อนหินหนักมหึมาที่กดทับอยู่บนอกมาตลอดหลายปี ในที่สุดก็ถูกยกออกไปเสียที“ท่านพ่อ... ข้าทำได้แล้ว!” เว่ยจินทรุดกายลงคุกเข่าบนพื้นหิน มือสั่นเทา น้ำตาเอ่อล้นราวสายน้ำที่แตกทะลัก เขาก้มหน้าลงร้องไห้ เสียงสะอื้นดังสะเทือนหัวใจผู้คนรอบข้าง ความแค้นที่แบกเอาไว้ตั้งแต่วัยเด็ก ในที่สุดก็ได้รับการสะสางซางหลาง ที่ยืนไม่ห่างกัน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก วิ่งเข้าไป รวบกอดร่างบางของไป๋ฮวาแน่น ใบหน้าที่เคร่งเครียดมาตลอดการรบ สั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่าไป๋ฮวายังปลอดภัย“เจ้าปลอดภัยแล้ว... ไป๋ฮวาของข้า” น้ำเสียงเขาแตกพร่า ดวงตาแดงก่ำ กอดรัดแน่นราวจะละลายอีกคนเข้ามาในอก ไม่ยอมให้เลือนหายไปอีกไป๋
“พร้อมหรือยังเรามาดูกันว่า... ใครจะได้คำตอบที่ต้องการก่อน” เสียงคมกระบี่ปะทะกันดังลั่นเมื่อซางหลางพุ่งเข้ามาใช้กระบี่ในมือกางกันคมกระบี่ก่อนที่จะถึงลำคอขาวของไป๋ฮวาที่นั่งหลับตาปี้ด้วยความกลัวตงเกา กระโดดเข้าไปข้างหน้าและปัดดาบของทหารที่ตรงหน้าก่อนจะบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขวางไม่ให้ทหารทำร้ายอี้หลินและไป๋ฮวา ท่ามกลางการต่อสู้ที่มีเสียงโลหะกระทบกันเป่ยซวี ไม่ยอมให้โอกาสหลุดมือไป เมื่อเห็นว่า ซางหลาง และ ตงเกา กำลังตกอยู่ในวงล้อมเขาจึงสั่งให้ทหารของเขาล้อม ไป๋ฮวา และ อี้หลิน ทันทีเว่ยจิน ตะโกนลั่น “ข้าจะไม่ให้ใครทำร้ายพวกนาง” พร้อมกับวิ่งไปข้างหน้าแต่ เป่ยซวี ก็ยิ้มเหยียดก่อนที่จะเล็งดาบไปที่ เว่ยจิน เขาพยายามจะฟันเข้ามา แต่ เว่ยจิน หลีกหลบได้อย่างรวดเร็วและสวนกลับไปด้วยการใช้ดาบในมือปัดดาบของ เป่ยซวี ออกไปซางหลาง ใช้โอกาสนี้จู่โจมเข้าที่ทหารของ เป่ยซวี ที่ยืนคุ้มกัน ไป๋ฮวา และ อี้หลิน เขารัวดาบออกไปอย่างแม่นยำ ทำให้ทหารของ เป่ยซวี ตกอยู่ในความอลหม่านในขณะที่ ตงเกา เข้าปะทะกับทหารหลายคน เขาควบคุมสถานการณ์ได้ดีพอสมควร แต่ยังไม่สามารถเข้าช่วย ไป๋ฮวา และ อี้หลิน ได้ทันทีไป๋ฮวา ที่เห