Mag-log in
‘เหมือนเป็นส่วนเกิน’
เป็นความรู้สึกของพราวฟ้า หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปี เธอยืนอยู่ในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของยุรนันท์หรือเฮิร์ปไฮโซชื่อดัง เพื่อนสนิทของปรินทร์ คนรักที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่ไร้งานวิวาห์แล้วดูเหมือนว่า ชาตินี้ทั้งชาติเธอจะไม่ได้สวมชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวที่รักสุดใจ
สถานที่จัดงานคือคือห้องสูทสุดหรูชั้นบนสุดของโรงแรมชื่อดังย่านฝั่งธน ห้องนี้เหล่าคนมีชื่อเสียง หรือไม่ก็ดารานักแสดง นิยมกันมาจัดงานปาร์ตี้ เนื่องจากมีระเบียงส่วนตัวพร้อมสะว่ายน้ำขนาดพอเหมาะ จึงเหมาะกับการจัดงานเลี้ยงสังสรร
แขกในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของยุรนันท์ที่มาร่วมงานมากกว่าสี่สิบคน เป็นเพื่อนสนิทและค่อนข้างสนิทสนม อีกทั้งยังมีเพื่อนร่วมรุ่นระดับมหาวิทยาลัยอีกราวสิบกว่าคน หนึ่งในสิบกว่าคนที่ว่านี้ เป็นสตรีสาวสวย นอกจากความสวย เธอยังมีบุคลิกภาพโดดเด่นที่สุดในงาน เธอได้รับความสนใจจากผู้คนทันทีที่ย่างก้าวเข้าในงาน รวมทั้งสามีของเธอ ที่พราวฟ้าเพิ่งมารู้ว่า สาวสวยคนนั้นคือคนรักเก่าของปรินทร์ ที่คบหากันมานานสิบสองปี
ตั้งแต่ทิวาทิพย์ปรากฏตัวขึ้นในงานพราวฟ้าก็เหมือนส่วนเกินของสถานที่แห่งนี้มากที่สุด เธอไม่ได้รับความสนใจจากทุกคนในงานที่กำลังครื้นเครงกับงานปาร์ตี้พราวฟ้าก็รู้สึกแย่มากแล้ว พอปรินทร์จับกลุ่มคุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรสโดยมีทิวาทิพย์อดีตคนรักนั่งอยู่เคียงข้างอย่างสนิทสนมแล้วนั้นพราวฟ้ายิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมเป็นสิบเท่า ที่ตรงนั้นควรเป็นเธอ คนที่ปรินทร์ควรหัวเราะด้วยอย่างมีความสุขก็คือเธอ
ไม่ใช่...ทิวาทิพย์
สองปีอีกหกเดือนที่อยู่กับปรินทร์ พราวฟ้าไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นนี้ของเขามาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ชวนให้รู้สึกว่า การพบเจอใครบางคนในค่ำคืนนี้ทำให้ปรินทร์มีความสุขมาก และอาจเป็นคนที่เขาเฝ้ารอคอย คนๆ นั้นก็คือหญิงสาวที่นั่งข้างเขา ปรินทร์จึงไม่สนใจเธอสักนิดเดียว เขาปล่อยให้เธอนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษ
เท้าเล็กพยุงร่างบอบบางก้าวเดินออกจากงานทั้งน้ำตา พราวฟ้าไม่อาจทนนั่งเป็นส่วนเกินต่อไปได้ เธอไม่เหมาะกับที่นี่ ไม่เหมาะกับสังคมแบบนี้ และไม่ควรมาตั้งแต่แรก
ขณะที่พราวฟ้าเดินกลับเข้าไปห้องด้านใน ปรินทร์ไม่แม้จะสนใจมอง สายตาเขามองทิวาทิพย์ตลอดเวลา ราวกับว่าไม่อยากคลาดสายตาจากเธอแม้วินาทีเดียว
5 เดือนต่อมา
ประตูห้องนั่งเล่นเปิดออก พราวฟ้าเดินเข้ามาในห้องพร้อมเครื่องดื่มและของว่าง ที่วันนี้เป็นชามะลิร้อนกับสาคูไส้หมู เธอวางถาดลงโต๊ะตัวเตี้ย ก่อนหยิบของบนถาดวางลงตรงหน้าหญิงสูงวัยที่ปลายตามองเธอเพียงแวบเดียวก็หันไปสนใจทีวีต่อ
“คุณย่าคะ ทรายได้ยินคุณย่าบ่นอยากกินสาคูไส้หมู เมื่อตอนเที่ยงทรายไปตลาดเลยแวะซื้อร้านเจ้าประจำให้คุณย่าค่ะ” พราวฟ้าบอกบุหงัน ย่าของปรินทร์ผู้เป็นสามี
“ฉันอยากกินเมื่อวานนี้ ไม่ใช่วันนี้” น้ำเสียงไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ มองหลานสะใภ้ที่ไม่ปรารถนาด้วยความรู้สึกสองทาง หนึ่งไม่ชอบหน้า สองคือสงสาร แต่ดูเหมือนว่า นางจะเปิดเผยความรู้สึกแรกมากกว่า
“เมื่อวานคุณย่าบ่นอยากกินตอนค่ำ ทรายออกไปหาซื้อให้ไม่ได้ค่ะ เลยซื้อมาให้กินวันนี้ค่ะ” พราวฟ้าพยายามเอาใจบุหงันและทุกคนในบ้าน แต่ยิ่งทำก็เหมือนยิ่งไม่ถูกใจใครทั้งสิ้น “ทรายขอโทษค่ะที่ทำให้คุณย่าไม่พอใจ”
บุหงันมองพราวฟ้าที่ยกมือไหว้แล้วถอนหายใจพรืดยาว จะว่าไปเรื่องนี้พราวฟ้าไม่ผิด เป็นนางเองที่ใส่อารมณ์กับหลานสะใภ้
“มันก็ไม่ใช่ความผิดของแกหรอกนะ ฉันอารมณ์เสียไปเองแหละ” แล้วความสงสารก็วกเข้ามาในจิตใจ มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบส้อมอันเล็กจิ้มสาคูไส้หมูก่อนนำเข้าปาก ตามด้วยผักเครื่องเคียง พราวฟ้าหยิบถ้วยชาให้บุหงันที่รับขึ้นไปจิบ
“ทรายนวดให้คุณย่านะคะ” เป็นปกติทุกวันที่พราวฟ้าจะเข้ามาบีบนวดบุหงัน หญิงสูงวัยที่คนในบ้านเคารพรัก เธอไม่ได้ทำดีเอาหน้า แต่เต็มใจทำเพราะคิดว่า บุหงันคือญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของตน แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบหน้าตนก็ตาม
ขณะที่พราวฟ้ากำลังนวดบุหงัน ประตูห้องนั่งเล่นเปิดออกอีกครั้ง คนที่เดินเข้ามาคืออรุณ ลูกสะใภ้บุหงันและเป็นแม่สามีพราวฟ้า นางทรุดตัวลงนั่งข้างบุหงัน
“มาเสนอหน้าอยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาซะทั่ว” อรุณเปิดฉากพูดใส่หน้าพราวฟ้า “ประจบประแจงล่ะเก่งนัก คิดเหรอว่าทำดีกับคุณแม่แล้วคุณแม่จะรักแก”
“ทรายไม่ได้คิดอย่างนั้นค่ะ” ลูกสะใภ้ตอบกลับเสียงเบา
“ก็ยังดีกว่าเธอก็แล้วกัน เป็นลูกสะใภ้ฉันมาสี่สิบปี เอามือแตะขาแตะแขนฉันยังไม่เคย ฉันก็ไม่เห็นจะพูดกระแหนะกระแหนเธอสักคำ”
บุหงันอดรนทนไม่ไหว พูดใส่หน้าลูกสะใภ้พอหอมปากหอมคอ
“แหมคุณแม่ก็ คุณแม่ก็รู้นี่คะว่า อรุณแรงน้อย บีบนวดให้คุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่ามือเบา ต้องอย่างมันค่ะ มือคนชั้นต่ำ แรงเยอะอย่างวัวอย่างควาย จับเส้นคุณแม่ได้ลึกถึงใจ” ไม่วายพูดกระทบพราวฟ้า คนถูกเปรียบเทียบไม่โต้เถียง ได้แต่ทำหน้าเศร้า
“เผอิญฉันชอบแรงวัวแรงควายของมันมากกว่าแรงผู้ดีอย่างเธอ” บุหงันโต้แทนพราวฟ้า “แล้วตามหาตัวมันทำไม จะใช้มันทำอะไรอีกล่ะ”
“มื้อเย็นวันนี้ เปิ้ลจะมาทำกับข้าวให้เรากินค่ะ เปิ้ลบอกเมนูมาแล้วว่าจะทำอะไร อรุณเลยจะให้มันไปซื้ออาหารสดกับผักมาเตรียมไว้ให้เปิ้ลค่ะ”
พราวฟ้าใจร้าวทันใดเมื่อได้ยินชื่อเล่นชื่อนี้ ชื่อเต็มของนิกเนมว่าเปิ้ลคือ ทิวาทิพย์ อดีตคนรักของปรินทร์ ที่ดูเหมือนว่าจะเข้ามาในชีวิตของสามีเธออีกครั้ง
Chapter 41“แล้วเธอไม่นึกถึงใจโดมบ้างหรือไง โดมเป็นลูกเธอนะ เธอทนเห็นลูกชายเจ็บปวด เสียใจอย่างนี้ได้เหรอ ใจเธอแข็งมากเลยนะอรุณ” บุหงันเสียงเรียบ “บ้านหลังนี้เมื่อก่อนมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะและมีความสุข แต่เธอดูตอนนี้สิว่า มันมีที่ฉันพูดไหม ไม่เลย ไม่มีเลย ทุกคนไปตามทางของตัวเอง ไม่มีจุดศูนย์รวมเหมือนก่อน เธอไม่คิดหรือว่า มันเป็นความผิดของเธอ ผิดที่เธอยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเอง ไม่เปิดใจยอมรับทราย”“อย่างที่เคยบอกคุณแม่ไปค่ะว่า เวลาจะทำให้โดมดีขึ้นเอง” อรุณตอบเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกใครทั้งนั้น “คุณแม่พูดเหมือนอรุณผิด อรุณจะผิดได้ไงคะ ในเมื่ออรุณอยู่บ้านหลังนี้มาก่อนมัน มันซะอีกที่เข้ามาทำลายความสุขของอรุณ ทำให้อรุณเกลียดมัน เรื่องมันเป็นแบบนี้ ความผิดก็ต้องอยู่ที่มัน ไม่ใช่อรุณ”“เธอนี่ทิฐิแรงมากเลยนะ ฉันไม่คิดเลยว่า เธอจะเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่า เวลาจะทำให้โดมดีขึ้น เพราะเวลาก็เยียวยาบางเรื่องไม่ได้” บุหงันคร้านจะพูดอะไรต่อ อรุณถลำลึกยากเกินเยียวยา ความเกลียดชังในจิตใจบดบังความถูกผิด และสามัญสำนึกของคำว่าแม่ “ระวังนะอรุณ ระวังความเกลียดชัง ความไม่นึกถึงใครจะย้อนเข้าหาตัวเธอ
Chapter 40หนึ่งปีต่อมา บ้านศรุตจันทร์ที่เคยมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเวลานี้แทบไม่มีเลย กลับมีแต่ความห่างเหินจนเรียกไม่ได้ว่าเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างปุริมกับอรุณที่ดูเหมือนว่าปกติ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ปุริมเบื่อหน่ายอรุณมาก ที่นับวันจะยิ่งเอาแต่ใจ ยึดความคิดตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนใจความรู้สึกของใคร แม้แต่ลูกชายตัวเอง อรุณรู้ทั้งรู้ว่า ปรินทร์รักและตามหาพราวฟ้ามาตลอดหนึ่งปีหกเดือน รู้ว่าปรินทร์ไม่มีวันเปลี่ยนใจรักใคร หรือปลงใจกับหญิงสาวคนใด ทว่าอรุณก็ยังหาลูกคุณหญิงคุณนายหรือลูกหลานคนมีชื่อเสียงมาทำความรู้จักกับปรินทร์เสมอ แม้ว่าปรินทร์จะแสดงออกทันทีว่าไม่สนใจ แต่คนเป็นแม่ก็เหมือนอยากเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ พาหญิงสาวมาให้ลูกชายดูตัวเสมอ ยิ่งลูกไม่ยอม นางยิ่งทำมากขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไม่เหมือนเดิม ปรินทร์ตัดสินใจไปอยู่คอนโดอย่างถาวรเพื่อไม่ให้ตนเองปะทะกับอรุณ เป็นการเลี่ยงไปในที ทว่าอรุณก็ไม่ยอม ไปหาลูกชายที่ห้องชุดบ้าง ที่ทำงานบ้าง โวยวายยกใหญ่ก่อนลงเอยที่การทะเลาะ คำพูดของอรุณทำให้ปรินทร์ถึงกับกุมขมับ และเป็นทุกข์ “แกรักทราย
Chapter 39 “ถ้ามันอยากให้ทรายกลับมาเป็นเมียอีกครั้ง มันต้องตัดสินใจและทำอะไรสักอย่าง ให้คนสองคนอยู่ข้างกายมันได้โดยไม่มีผลกระทบไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ถ้ามันไม่ทำ ชาตินี้ทั้งชาติมันไม่มีความสุขแน่นอน” ยุรนันท์รู้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่ปรินทร์ต้องทำให้ได้ ต้องคิดหาทางออกด้วยตัวเอง “มันเป็นอย่างนี้จะหาทางออกได้ไง เลิกงานปุ๊บมานั่งเฝ้าผับปั๊บ แดกเหล้าอย่างกับน้ำ กูกลัวมันจะเป็นตับแข็งก่อนเจอทรายน่ะสิ” ดลภพเป็นห่วงปรินทร์มาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ “มันเลือกเอง เลือกที่จะพูดไม่ดีกับทราย เลือกให้เปิ้ลเข้ามาอยู่ในบ้าน มันก็ต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเอง” ไม่มีคำพูดใดของยุรนันท์ที่ผิด เขาพูดถูกทุกคำ “ทรายอยู่หน่ายยยย...พี่คิดถึงทราย...พี่ร๊ากกกทราย...พี่ขอโทษ...กลับมาพี่...กลับมาหาพี่...ฮือ” ปรินทร์รำพึงรำพันถึงพราวฟ้าตบท้ายด้วยการร้องไห้...เหมือนคนใจจะขาด ยุรนันท์กับดลภพมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสมเพชและสงสาร เพื่อนของพวกเขาทำตัวเองทั้งนั้นในความมืดท่ามกลางราตรีกาล อรุณนอนไม่หลับ สมองนางนึกถึงทิวาทิพย์ หญิงสาวที่นางมอบความร
Chapter 38ตามที่บุหงันพูดก่อนหน้านี้ นางไม่ใช่คนโง่และมีเส้นสายอยู่มาก ทุกเรื่องที่ทิวาทิพย์ทำนางรู้หมด แต่ที่ไม่พูดเพราะต้องการหลักฐานเรื่องการเป็นภรรยาน้อยเศรษฐีก่อน ทิวาทิพย์จะได้ไม่มีข้อแก้ตัว คนที่บอกเรื่องนี้ให้นางรู้ เป็นคนใกล้ตัวทิวาทิพย์ คนที่เธอไม่มีวันสงสัย และไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกเพื่อนคนนี้หักหลังเพียงเพราะต้องการเงิน บุหงันหน้าชามากขึ้น ความตกใจเกิดขึ้นกับนางซ้าๆ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ซึ่งยังไม่หมด บุหงันยังมีคำพูดมากมายกับลูกสะใภ้“ฉันไม่ชอบเธอ อยากให้ปุ๊มีเมียที่ดีกว่านี้ สมฐานะกัน แต่เมื่อปุ๊เลือกเธอเป็นเมีย ฉันก็ไม่ห้ามเพราะเคารพการตัดสินใจของลูก เมื่อฉันนิ่งเฉยปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไก บ้านก็สงบสุข เธอต่างหากที่ทำให้บ้านหลังนี้ลุกเป็นไฟ ทำตัวต่ำ เปิดเผยตัวตนออกมา แล้วเธอก็ยังไม่รู้สำนึกว่า เรื่องที่ตัวเองทำลงไปผิดหรือไม่ ทำให้โดมเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน เธอนึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงความพอใจ นึกถึงหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต” บุหงันมองลูกสะใภ้นิ่ง ก่อนพูดต่อ “เธอคงเห็นผลของการกระทำของตัวเองแล้วนะ โดมเสียใจที่ทรายจากไป เจ็บปวดที่เลือกทำตามคำสั่งแม่ที่บังคับโน่น
Chapter 37“นี่แม่อรุณ เธอจะพูดให้ตัวเองดูโง่ทำไม เรื่องที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดเพราะเธอนั่นแหละตัวดี มองเห็นก้อนกรวดเป็นเพชร มองเห็นเพชรเป็นเม็ดทรายไม่มีค่า เป็นไงล่ะ รู้ด้วยตัวเองแบบนี้สะอึกไหม ฉันไม่อยากด่าว่าเธอหรอกนะ ด่าว่าโง่เหมือนควายยังสงสารควาย” บุหงันได้ทีว่าลูกสะใภ้ “ไม่พอนะ ยังโง่ให้เปิ้ลหลอกให้ซื้อของอีกตั้งเท่าไหร่ อย่างนี้จะเรียกว่าโง่คงไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด เปิ้ลหลอกให้เธอซื้อรถให้ราคาสามสิบล้านกว่า เธอก็ยังซื้อให้ โง่แล้วโง่อีก โง่ซ้ำโง่ซาก โง่อย่างนี้ไงล่ะถึงถูกเปิ้ลหลอก”คนถูกว่าหน้าเศร้าลง เถียงไม่ออก คำพูดมันจุกในลำคอ เหมือนยอมรับว่าตัวเองโง่ เจ็บใจที่ตัวเองถูกหลอก ทว่าคำต่อว่าของบุหงันดูน้อยลง เมื่อทิวาทิพย์ตอกย้ำความโง่แบบจมดิน“แต่ก็จะมาโทษเปิ้ลคนเดียวไม่ได้นะคะ คุณแม่โง่เอง เปิ้ลพูดอะไรก็เชื่อหมด แถมยังเป็นคนคิดแผนให้เปิ้ลกับโดมจัดฉากว่ามีอะไรกันเพื่อให้นังทรายทนไม่ได้ เป็นฝ่ายไปจากโดมเอง สุดท้ายมันก็ไปจริงๆ ก็ถือว่าเปิ้ลทำคุณประโยชน์ให้คุณแม่นะคะ เพราะถ้าไม่มีเปิ้ล คุณแม่คงจะต้องทนเห็นหน้านังทรายต่อไป” ทิวาทิพย์ลอยหน้าลอยตาพูด “ส่วนเรื่องของต่างๆ ที่คุณแม่ซื้
Chapter 36“ผับกว่าจะลงตัวมันต้องใช้เวลาค่ะคุณแม่ แค่เดือนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามสี่เดือน เอาไว้ลงตัวจริงๆ เปิ้ลจะห่างๆ ก็แล้วกันค่ะ” ทิวาทิพย์ตอบกลับ “ส่วนเรื่องถูกนินทา คนอื่นจะนินทาเปิ้ลได้ไงคะ เปิ้ลไปช่วยงานเพื่อน ไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย”“แน่ใจเหรอว่าไปช่วยงานเพื่อน” บุหงันเอ่ยขึ้น คันปากยิบๆ “เพื่อนเธอไม่มีผู้จัดการผับหรือไงถึงได้ไปช่วย ปกติน่าจะมีนะ ขนาดผับบาร์เล็กๆ ยังมีผู้จัดการคอยดูแลเลย”ทิวาทิพย์รู้ได้ทันทีว่า บุหงันตั้งใจหาเรื่อง ความเบื่อที่มีมากกับความอดทนที่ลดลงทุกวัน ส่งผลให้เธอโต้เถียงกลับ ทว่าก็ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง“มีค่ะ แต่เปิ้ลอยากไปช่วยเพื่อนค่ะ”“เปิ้ลเป็นคนดีไงคะคุณแม่ มีน้ำใจช่วยเพื่อน” อรุณพูดเสริม“ฉันให้เธอเตือนเปิ้ลนะ ไม่ได้พูดเข้าข้าง สมองเสื่อมหรือไง” แม่ผัวสวนกลับลูกสะใภ้“แม่เข้าใจนะที่เปิ้ลไปช่วยเพื่อน แต่เว้นๆ หน่อยก็ดีนะลูก คุณย่าเป็นห่วง ไม่อยากให้ใครมานินทาว่าร้ายเปิ้ล มันจะส่งผลถึงแม่ด้วย” อรุณทำตัวเป็นลมเปลี่ยนทิศ อบรมทิวาทิพย์พอเป็นพิธี เพื่อไม่ให้แม่สามีสาดลูกกระทบใส่ “หันมาเอาใจโดมก็ดีนะลูก เอาอกเอาใจโดม โดมจะได้สนใจ”“โอ๊ยคุ







